ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 758 ชอบแต่งเรื่องจากสิ่งที่เห็น
ตอนที่ 758 ชอบแต่งเรื่องจากสิ่งที่เห็น
เฉินเจียเหออยู่เป็นเพื่อนหลินเซี่ยเลี้ยงลูก จนถึงตอนกลางคืน หลินเซี่ยจึงให้เขากลับไปนอนที่บ้าน
โจวเจี้ยนกั๋วกับหวังอวี้เสียยังไม่กลับบ้านเกิด อีกทั้งญาติๆ ยังอยู่ที่บ้าน จะปล่อยให้พวกเขาอยู่กันเองที่บ้านก็ดูไม่ค่อยให้เกียรติเท่าใด
เฉินเจียเหอนั่งมองภรรยาและลูกอย่างลังเล “เซี่ยเซี่ย คุณเลี้ยงลูกคนเดียวตอนกลางคืนไหวเหรอ?”
“มีแม่ฉันอยู่ด้วย คืนนี้ท่านต้องมานอนเป็นเพื่อนฉันแน่ๆ”
ปกติตอนที่เฉินเจียเหอเข้ากะดึก เธอก็เลี้ยงลูกอยู่บ้านคนเดียวอยู่แล้ว
เด็กทารกกินนมแม่ ไม่ต้องลุกขึ้นมาชงนมตอนกลางดึก โดยทั่วไปจึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
เฉินเจียเหอจึงกลับบ้านไปด้วยการคะยั้นคะยอจากหลินเซี่ย
โจวเจี้ยนกั๋วกับหวังอวี้เสียจะกลับบ้านเกิดพรุ่งนี้ตอนบ่าย
วันนี้ตอนกินเลี้ยงได้เจอกับเอ้อร์เลิ่ง จึงได้คุยกับเอ้อร์เลิ่งแล้วว่าจะกลับด้วยกัน
ตอนที่เฉินเจียเหอกลับถึงบ้าน พ่อแม่ของเขายังไม่กลับ ทุกคนได้จัดของขวัญที่ได้รับในตอนกลางวันเรียบร้อยแล้ว
เสื้อผ้าสำหรับหลินเซี่ยและเด็กถูกพับเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าทั้งหมด
รถเข็นเด็กและอื่นๆ วางไว้ในห้องที่ไม่มีคนอยู่
ครอบครัวฝ่ายหลินเซี่ยยังซื้อเสื้อโค้ทให้โจวลี่หรงโดยเฉพาะ
นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
ส่วนใหญ่เพื่อเป็นการขอบคุณแม่สามีที่ดูแลลูกสาวของพวกเขาในช่วงเดือนแรกหลังคลอด
ถือเป็นการตอบแทนแม่สามี
ตอนกลางวันที่โรงแรม ตอนที่หลิวกุ้ยอิงยื่นเสื้อผ้าตัวนี้ให้โจวลี่หรง โจวลี่หรงรู้สึกอับอายมาก
ตอนนั้นคนอื่นๆ ยุให้หล่อนลอง แต่หล่อนปฏิเสธโดยอ้างว่าต้องไปต้อนรับแขก
ตอนนี้ขณะที่กำลังเก็บของแล้วเห็นเสื้อผ้าตัวนี้อีกครั้ง อารมณ์ของหล่อนก็ยังคงซับซ้อน
หวังอวี้เสียหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาถามด้วยความตื่นเต้น “พี่สาว เสื้อผ้าตัวนี้ครอบครัวเซี่ยเซี่ยซื้อให้พี่เหรอคะ ลองหรือยัง?”
โจวลี่หรงดูไม่สบอารมณ์ ตอบกลับไปว่า “ยังไม่ได้ลอง”
“งั้นพี่ลองสิคะ ถ้าไม่พอดี ยังเอาไปเปลี่ยนได้นะ”
หวังอวี้เสียกระตือรือร้นอย่างมาก หล่อนแกะห่อออกแล้วสวมเสื้อผ้าให้โจวลี่หรง
โจวลี่หรงไม่อาจปฏิเสธได้ จึงต้องสวมเสื้อโค้ท
“สวยมากเลยใช่ไหมล่ะคะ” หวังอวี้เสียกวาดตามองเสื้อบนตัวโจวลี่หรงแล้วอุทานออกมา “รสนิยมดีนะคะ ใส่แล้วสวยมาก เหมาะกับบุคลิกของพี่จริงๆ ดูเป็นผู้นำมาก”
คำว่า “ดูเป็นผู้นำ” ของหวังอวี้เสียทำให้โจวลี่หรงรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก
หล่อนรู้สึกว่าหวังอวี้เสียกำลังเยาะเย้ยตน
ตั้งแต่หลินเซี่ยพูดว่าตนใช้อำนาจบาตรใหญ่ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐดูถูกคนทั่วไป หล่อนก็กลายเป็นคนอ่อนไหวมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากได้ยินคำว่า “เจ้าหน้าที่รัฐ”
ไม่รู้สึกว่ามีความคิดแบบนี้ผิดอะไร
การที่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผลมาจากความพยายามในหลายปีของหล่อน
ความตระหนักรู้ทางการเมืองของหล่อนสูงกว่าคนอื่นอยู่แล้ว
เป็นเรื่องที่สมควรแล้วที่คนอื่นจะเคารพยำเกรงหล่อน
ทว่าตั้งแต่หลินเซี่ยแสดงความไม่พอใจออกมา โจวลี่หรงก็อดไม่ได้ที่จะมีมุมมองเปลี่ยนไป
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะในที่ทำงานหรือในชีวิต เหมือนจะไม่มีใครคบหาสมาคมกับหล่อนอย่างจริงใจ
ที่แท้คนอื่นไม่ได้เคารพยำเกรงหล่อน แต่เป็นการขออยู่ห่างๆ อย่างสุภาพ
เมื่ออายุมากขึ้น หล่อนรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ และต้องการที่จะเข้าใกล้ชีวิตของคนรุ่นหลัง แต่กลับพบว่าพวกเขาไม่ค่อยต้อนรับหล่อนเข้าสู่โลกของพวกเขา
หล่อนมีลูกชายสามคน แต่ไม่มีใครสนิทกับหล่อนเลย
หล่อนรู้สึกพ่ายแพ้อย่างบอกไม่ถูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกษียณแล้ว ชีวิตของหล่อนก็เสียศูนย์ ทุกวันนอกจากทำอาหารแล้ว หล่อนก็ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรได้อีก
โจวลี่หรงมองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ ต้องบอกว่ามันสวยและดูเป็นผู้นำจริงๆ
แต่ในใจของหล่อนไม่มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย
เฉินเจิ้นเจียงกับโจวเจี้ยนกั๋วยืนอยู่ข้างๆ ก็ชมว่าพ่อตาแม่ยายมีรสนิยมดี
เสื้อผ้าที่ซื้อมาเหมาะกับโจวลี่หรงมาก
เมื่อพูดถึงเซี่ยเหลย พวกเขาก็พูดไม่หยุดด้วยท่าทางปลื้มปิติและเคารพยำเกรง
โจวลี่หรงได้ยินน้องชายของตนยกย่องครอบครัวเซี่ยเหลยอีกครั้งผ่านเสื้อผ้าที่หล่อนสวมใส่
อารมณ์ของหล่อนก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น
คำสรรเสริญและความเคารพยำเกรงเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริง
ต้องยอมรับว่า สิ่งที่หล่อนต้องการก็คือแบบนี้
โจวลี่หรงถอดเสื้อผ้าออกแล้วเก็บใส่ถุง
หล่อนตั้งใจจะกลับไปกับเฉินเจิ้นเจียงเร็วหน่อย
เฉินเจิ้นเจียงมองไปที่ลูกชายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อาเขยแกแต่งงานเมื่อไหร่?”
ตอนที่เฉินเจิ้นเจียงถามคำถามนี้ เขาจงใจพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
เห็นได้ชัดว่ากำลังเยาะเย้ยที่เฉินเจียเหอเรียกเย่ไป๋ว่า “อาเขย” ต่อหน้าธารณชน
ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้แต่งงาน เด็กเหลือขอนี่กลับเรียกว่า “อาเขย” ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย
“พ่อ เขาแต่งงานแล้ว” เฉินเจียเหอเผชิญหน้ากับสีหน้าบึ้งตึงของพ่อของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ตอนนี้เขาเป็นอาเขยของผมอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ต่อไปนี้เจอหน้ากันก็ต้องเรียกแบบนี้”
เฉินเจิ้นเจียง “…” ไม่กวนแล้ว
เฉินเจิ้นเจียงคร้านจะสนใจเฉินเจียเหอ พูดกับโจวลี่หรงว่า “ไปกันเถอะ กลับบ้านกัน”
“พ่อ พรุ่งนี้พ่อตาผมอยากชวนน้ากับน้าสะใภ้ไปกินข้าวที่บ้าน เขาจะลงมือทำอาหารเองครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเจียเหอ โจวเจี้ยนกั๋วก็ตอบรับทันที “ดีเลย พอดีเลย ฉันจะได้คุยกับพ่อตาเธอ วันนี้ไม่มีโอกาสได้นั่งคุยกันเลย”
โจวเจี้ยนกั๋วกลัวว่าเฉินเจิ้นเจียงจะมีความเห็นบางอย่าง เขายิ้มแล้วพูดว่า
“พี่เขย ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ พี่เป็นคนงานยุ่ง ทำงานของพี่ไปเถอะ พรุ่งนี้พวกเรายังอยากไปดูเซี่ยเซี่ยกับเด็กด้วย แล้วก็ไปรับหู่จือ ไม่ต้องไปกินข้าวนอกบ้านหรอก ปล่อยให้พี่เซี่ยทำอะไรให้กินก็ได้ พวกเรากินง่ายอยู่ง่าย กินอาหารภัตตาคารติดกันสองวันท้องจะผูกเอา”
โจวเจี้ยนกั๋วพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อเฉินเจิ้นเจียงกับโจวลี่หรงได้ยิน พวกเขากลับรู้สึกเจ็บแปลบในใจ
และรู้สึกผิดหวัง
ก่อนหน้านี้ เมื่อมีคนมาจากบ้านเกิด การที่พาอีกฝ่ายไปกินอาหารภัตตาคารได้ถือเป็นการต้อนรับระดับสูงสุดแล้ว
แต่ตอนนี้…
เฉินเจิ้นเจียงกับโจวลี่หรงออกจากไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เอ้อร์เลิ่งก็มาเคาะประตู
เขาแบกถุงไนลอนใบใหญ่ที่ข้างในเต็มไปด้วยของ
เฉินเจียเหอเปิดประตู เห็นเอ้อร์เลิ่งที่เหมือนกับกำลังขนย้ายบ้าน จึงรีบเชิญเข้ามา “นายแบกอะไรมาน่ะ?”
เอ้อร์เลิ่งหอบหายใจ วางถุงไนลอนไว้ที่ประตู
“นี่เป็นของที่ฉันเอาไปให้พ่อแม่ หมอเย่เขารื้อบ้าน ทิ้งของไปเยอะเลย ฉันรู้สึกเสียดาย ก็เลยเก็บมา คิดว่าจะเอาไปที่บ้านเกิด”
เฉินเจียเหอมองเข้าไปในถุงไนลอนของเขา
มีทุกอย่างปะปนกันไปหมด
เฉินเจียเหอเห็นว่าของในถุงไนลอนของเอ้อร์เลิ่งกองรวมกันอยู่ ไม่ได้จัดให้ดี เขาจึงพูดว่า
“นายแบกเข้ามาเถอะ เดี๋ยวฉันช่วยแยกประเภทให้ นายแบกแบบนี้ เดี๋ยวกลับถึงบ้านเครื่องเล่นเทปจะกระแทกพังหมด”
เอ้อร์เลิ่งลังเลอย่างอายๆ “เอาเข้าบ้านมันจะรกน่ะสิ”
“ไม่เป็นไร”
เฉินเจียเหอถือถุงไนลอนด้วยมือข้างเดียวแล้วยกเข้าไปในห้องนั่งเล่น
จากนั้นเขาก็รื้อของทั้งหมดออกมา
มีเครื่องเล่นเทปหนึ่งเครื่อง รองเท้าผ้าใบเก่าๆ ที่ซักสะอาดแล้วสองสามคู่ เสื้อผ้าเก่าๆ อีกสองสามตัว
แม้จะบอกว่าเก่า แต่เสื้อผ้าและรองเท้าเหล่านี้คุณภาพดีมาก เห็นได้ชัดว่าไม่เคยใส่เลย
เอ้อร์เลิ่งชี้ไปที่กองเสื้อผ้าและรองเท้าแล้วพูดว่า “เสื้อผ้าพวกนี้เป็นของหมอเย่ รองเท้าเป็นของญาติผู้ป่วยสองสามคน พวกเขาไปแล้วขนไปด้วยไม่ไหว ก็เลยวางรองเท้าไว้ให้ฉัน ฉันเห็นว่ามันยังใหม่อยู่ ก็เลยจะเอาไปให้พ่อกับพี่ชายฉันใส่”
ในถุงยังมียาที่หมอเย่ให้เอ้อร์เลิ่งเอาไปให้พ่อแม่ของเขาด้วย
เอ้อร์เลิ่งบอกว่าพ่อของเขามักจะปวดหลังเวลาทำงาน หมอเย่จึงจ่ายยาจีนบดผงให้ตามอาการ
โดยสรุป ถุงไนลอนใบนี้ก็เต็มไปด้วยของมากมาย
โจวเจี้ยนกั๋วได้ยินว่านี่เป็นของเก่าที่เอ้อร์เลิ่งจะเอาไปบ้านเกิด ก็รีบหาถุงมาช่วยเขาแยกประเภท
เฉินเจียเหอบังเอิญได้ยินว่าบ้านข้างๆ เพิ่งซื้อเครื่องเล่นเทป เขาจึงวิ่งไปที่บ้านข้างๆ เพื่อขอกล่องกระดาษที่ใส่เครื่องเล่นเทป นำเครื่องเล่นเทปของเอ้อร์เลิ่งใส่ลงไปอย่างดี แล้วปิดผนึกด้วยเทปใส
จากนั้นก็ช่วยเอ้อร์เลิ่งจัดเสื้อผ้าและรองเท้าอื่นๆ ให้เรียบร้อย ทันใดนั้นถุงไนลอนก็ยังไม่เต็ม
เฉินเจียเหอสังเกตเห็นว่าเอ้อร์เลิ่งยังคงสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เขาเคยให้ ในใจก็รู้สึกทนไม่ได้
ออกจากบ้านมานานแล้ว ตอนนี้จะกลับบ้านเกิดแล้ว จะปล่อยให้แต่งตัวมอซอแบบนี้ตลอดก็ไม่ได้
เฉินเจียเหอมองนาฬิกา ยังพอมีเวลา เขาจึงพูดว่า “เอ้อร์เลิ่ง ไป ฉันจะพานายไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ข้างนอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เอ้อร์เลิ่งก็โบกมือปฏิเสธทันที “ต้าเหอ ไม่ต้องหรอก ดูเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่สิ ยังดีอยู่เลย ใส่สบายกว่าของใหม่เยอะ”
เขาสะบัดเสื้อยืดที่ซักจนซีดและกางเกงผ้าสีดำของเขาแล้วยิ้ม
แต่เฉินเจียเหอกลับทนไม่ได้ เขาไม่พูดอะไร ดึงอีกฝ่ายออกไปข้างนอก “นายไปกับฉันก็พอ ไม่ได้เสียเงินเยอะหรอก”
เอ้อร์เลิ่งไม่ไป เฉินเจียเหอจึงบอกว่าเขาจะไปซื้อเสื้อผ้าให้ตา ยาย แล้วก็ซื้อให้เขาด้วย
โจวเจี้ยนกั๋วกับหวังอวี้เสียหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “เอ้อร์เลิ่ง เธอไปกับเจียเหอเถอะ ตอนกลับหมู่บ้านถ้าเธอไม่ใส่เสื้อผ้าใหม่ ชาวบ้านจะคิดว่าเธออยู่ลำบากในเมือง พ่อแม่เธอก็จะเป็นห่วง คิดว่าเจียเหอดูแลเธอไม่ดี เธอต้องนึกถึงคนอื่นบ้าง แต่งตัวดีๆ แล้วค่อยกลับไปนะ”
เมื่อเอ้อร์เลิ่งได้ยินเช่นนั้น ก็คิดได้
บางครั้งคำพูดของชาวบ้านก็ฆ่าคนได้
ทุกคนชอบแต่งเรื่องจากสิ่งที่เห็น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหมือนสิ่งที่เคยทำมันย้อนมาเข้าตัวยังไงก็ไม่รู้ คุณแม่จะปรับตัวทันไหมนะ
อันนี้เป็นเรื่องจริงที่ว่าทุกคนชอบแต่งเรื่องจากสิ่งที่เห็น บางเรื่องก็ด่วนตัดสินกันไปโดยที่ไม่รู้ความจริงแล้ว
ไหหม่า(海馬)
………………..