ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 81 คุณโดนแม่นั่นหลอกแล้ว (1)
ตอนที่ 81 คุณโดนแม่นั่นหลอกแล้ว (1)
ตอนที่ 81 คุณโดนแม่นั่นหลอกแล้ว (1)
ตระกูลเฉิน
วันนี้เย่ไป๋สหายแพทย์ของเฉินเจียเหอมาเยี่ยมตระกูลเฉินเพื่ออวยพรปีใหม่ เฉินเจียเหอจึงใช้โอกาสนี้ปรึกษาเรื่องการรักษาเฉินเจียวั่ง และยังถามว่ากรณีของเขาสามารถรักษาด้วยการผ่าตัดได้หรือไม่
เย่ไป๋เกิดมาในตระกูลแพทย์แผนจีน แต่ต่อมาเขาเรียนแพทย์แผนตะวันตกและกลายเป็นแพทย์ศัลยกรรมประสาทในไห่เฉิง
ปีนี้มีเย่ไป๋อายุยี่สิบแปดปี สวมแว่นตาขอบทอง บุคลิกดูเหมือนลูกชายตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่อ่อนโยนราวกับหยกล้ำค่า
เนื่องจากการมาถึงของเย่ไป๋ในวันนี้ เฉินเจียวั่งจึงยอมออกจากห้องไปร่วมมื้อเย็นกับทุกคน
เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงเริ่มทำงานกันแล้ว มีแค่ผู้อาวุโสของตระกูลเฉินและหลานทั้งสามเท่านั้นที่นั่งคุยกับเย่ไป๋
ระหว่างรับประทานอาหาร เฉินเจียเหอปรึกษาเย่ไป๋เกี่ยวกับการผ่าตัดรักษาโรคลมบ้าหมู
“เหล่าเฉิน เทคโนโลยีทางการแพทย์ของโรงพยาบาลไห่เฉิงยังไม่ทันสมัยมากนัก จนถึงตอนนี้ยังอยู่ในขั้นทดลองใช้ เราเลยไม่สามารถทำการผ่าตัดในพื้นที่นี้ได้”
เฉินเจียเหอถาม “แล้วในต่างประเทศล่ะ?”
เย่ไป๋สบตากับคนในตระกูลเฉิน ตอบอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยไปก่อนว่า “ผมจะกลับไปถามผู้อำนวยการแล้วจะให้คำตอบทีหลังนะครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเย่ไป๋ ผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าผิดหวัง
จากคำพูดของเย่ไป๋ แสดงให้เห็นว่าแผนการรักษาโดยการผ่าตัดดูไม่น่าเชื่อถือมากเท่าใด
“แล้วคุณได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน?” เย่ไป๋ถาม
เฉินเจียเหอตอบว่า “ภรรยาผมว่ามาอย่างนั้น”
“ภะ… ภรรยา?” แว่นตาของเย่ไป๋บนดั้งจมูกเกือบร่วงหล่นด้วยความตกใจ เขามองเฉินเจียเหออย่างประหลาดใจเพื่อรอคำอธิบายจากเขา
เฉินเจียเหออธิบายด้วยน้ำเสียงสงบเรียบเฉย “ผมแต่งงานตอนกลับไปบ้านเกิด ไว้ผมจะจัดงานเลี้ยงที่ไห่เฉิงทีหลังแล้วจะส่งคำเชิญไปให้นะ”
เย่ไป๋ไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นขนาดนั้น เขาจึงไม่ถามอะไรอีกต่อไป ทำเพียงยิ้มและพยักหน้าตอบ “ตกลง”
“แล้วคนรักของคุณรู้จักการรักษานี้ได้ยังไง?” เย่ไป๋ถามอีกครั้ง
เฉินเจียเหอส่ายหน้า “ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ หล่อนเป็นช่างทำผม คงชอบอ่านแผนการรักษาจากหนังสือพิมพ์ต่างประเทศก็ได้”
เฉินเจียซิ่งซึ่งกำลังกินข้าวอยู่ข้าง ๆ ก็หัวเราะเยาะเสียงเบาออกมา “ช่างตัดผมอะไรเล่า เป็นแค่เด็กฝึกงานเองนี่ คงจะทุ่มเงินไปมากเพื่อหน้าของตัวเองสิไม่ว่า”
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาไม่ค่อยญาติดีต่อกัน เย่ไป๋ก็หัวเราะก่อนหันไปมองเฉินเจียวั่ง “ดูเหมือนพี่สะใภ้ของคุณจะกังวลมากเกี่ยวกับอาการป่วยคุณเหมือนกันนะ ผมจะกลับไปตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้และดูว่ามีแบบอย่างการผ่าตัดในโรงพยาบาลอื่นบ้างไหม”
เฉินเจียวั่งก้มหน้าลงกินข้าว หลังจากได้ยินคำพูดของเย่ไป๋ก็หยุดตะเกียบและตอบอย่างใจเย็นว่า “พี่ใหญ่ กลับไปแล้วก็ฝากขอบคุณแทนผมด้วยนะ”
เย่ไป๋พูดต่อ “พี่สะใภ้คนนี้ต้องฉลาดมากแน่ ๆ”
“ใช่แล้ว ทั้งฉลาดและสวยด้วยแหละ”
ทุกคน “…”
หลังเย่ไป๋จากไป ผู้เฒ่าเฉินมองเฉินเจียเหออย่างจริงจังและถาม
“เจียเหอ หลานรู้จักผู้หญิงตัวน้อยที่ชื่อหลินเซี่ยดีแล้วเหรอถึงพูดอย่างนั้น?”
หลานชายของเขามักสงบนิ่งอยู่เสมอ หากเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอ คงไม่ยอมรับตัวตนของเธอต่อหน้าเย่ไป๋แบบนั้น
การแสดงออกของเฉินเจียเหอจริงจังพอ ๆ กัน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ปู่ครับ เราก็จัดงานแต่งในบ้านเกิดไปแล้ว ถือเป็นการแต่งงานโดยพฤตินัยด้วย หวังว่าทุกคนจะอวยพรผมกันบ้าง และผมหวังว่าครั้งต่อไปที่เธอเข้าบ้านเรามาจะไม่โดนดูถูกอีก”
“ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรพิเศษกัน? อะไรที่ทำให้หลานมีความมุ่งมั่นมากขนาดนี้” ผู้เฒ่าเฉินถาม “ความจริงแล้วเกณฑ์การเลือกสะใภ้ของตระกูลเฉินไม่ได้สูงส่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยหล่อนควรดีพร้อมสำหรับหลาน เพราะปู่ไม่อยากขัดขวาง หลานเข้าใจใช่ไหม?”
“ปู่ครับ ถ้าถามว่าหล่อนดีพร้อมสำหรับผมไหม ผมกลับคิดว่าตัวเองคงไม่ดีพอสำหรับหล่อนมากกว่า หล่อนฉลาดหลักแหลมมากทั้งที่อายุเพียงยี่สิบปี อนาคตต้องมีความก้าวหน้าด้านอาชีพอยู่แล้ว ผมต่างหากที่มีบุคลิกน่าเบื่อและชีวิตไม่มีอะไรนอกจากงาน หล่อนยินดีแต่งงานกับผม ก็ถือเป็นโชคของผมแล้วล่ะครับ”
เมื่อผู้เฒ่าเฉินฟังเฉินเจียเหอดูถูกตัวเอง เขายิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีแต่ต้องให้ความรักช่วยเปลี่ยนตัวตน
“แล้วช่างตัดผมจะมีความเจริญก้าวไปทางไหนได้บ้าง? หลานอายุจะสามสิบแล้ว ปู่คิดเสมอว่าควรหาผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ในวัยเดียวกันเพื่อมีชีวิตที่มั่นคงแทนที่จะเลี้ยงหล่อนเหมือนลูกสาว ปู่มีเวลาไม่มากนะ ไม่เหมือนหลานที่ยังมีเรี่ยวแรงเหลือและต้องเจือจุนตระกูล”
ครั้งล่าสุดที่หลินเซี่ยมาหา ผู้เฒ่าเฉินรู้สึกซับซ้อนมากหลังจากพบเธอได้ไม่นาน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่พอใจในตัวหลินเซี่ย แต่เหตุผลหลักคือเธอยังเด็กเกินไป
เธอเพิ่งอายุแค่ยี่สิบปี ดูเหมือนเพิ่งบรรลุนิติภาวะมาหมาด ๆ นอกจากนี้เวลาเธอกับหู่จือยืนอยู่ด้วยกัน กลับเหมือนพี่น้องกันไม่มีผิด
ชายชรากังวลมากว่าในอนาคตจะต้องมีใครบางคนมาเกลี้ยกล่อมให้สาวน้อยคนนั้นเปลี่ยนใจแน่ ไหนจะเรื่องที่เธอต้องคอยดูแลหู่จื่อ ซึ่งเป็นเรื่องยากมากสำหรับหลานชายของเขา
นอกจากนี้ตระกูลเสิ่นยังพยายามขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้อย่างจริงจัง อีกหน่อยชีวิตของพวกเขาคงไม่มีวันสงบสุข ชีวิตแต่งงานของเฉินเจียซิ่งจะได้รับผลกระทบเช่นกัน
สถานะปัจจุบันของหลินเซี่ยนั้นพิเศษมากจนส่งผลต่อทุกคนในตระกูล
พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่าถังหลิงที่พวกเขาสนใจในตอนแรก ก็ยังไม่ใช่ผู้หญิงที่เหมาะสมกับเฉินเจียเหอเช่นกัน
ช่างน่ากังวลนัก
การหาคนที่เหมาะสมนับวันยิ่งเป็นเรื่องยาก เมื่อหลานชายคนโตถึงวัยที่พร้อมจะมีลูกแล้ว!
ดวงตาของเฉินเจียเหอส่องประกายด้วยความมุ่งมั่น ก่อนมองผู้เฒ่าเฉินและพูดอย่างเคร่งขรึม “ปู่ครับ ผมไม่ต้องการใครมาสนับสนุนหรอก แม้หล่อนจะทำอะไรไม่เป็น ผมก็ต้องรับผิดชอบชีวิตหล่อน ในเมื่อเลือกที่จะแต่งงานแล้ว ผมก็เชื่อมั่นว่าตัวเองมีความสามารถที่จะสนับสนุนและเลี้ยงดูหล่อนได้”
ในที่สุดเฉินเจียซิ่งซึ่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ยินเรื่องดี ๆ จากปู่ จึงรีบพูดทันทีว่า “คุณปู่พูดถูก นี่ พี่ใหญ่ ถ้าอย่างนั้นพี่กับถังหลิงคบกันไม่ดีกว่าเหรอ หล่อนช่วยเหลือพี่ได้ทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะอายุหรือประสบการณ์ก็พอ ๆ กัน หล่อนเองก็กำลังเตรียมตัวไปทำงานที่ร้านเสริมสวยอยู่แล้ว จะต้องประสบความสำเร็จในอนาคตแน่ แถมยังช่วยดูแลและลดภาระพี่ได้ แต่ถ้าพี่ใหญ่อยู่กับหลินเซี่ย หล่อนคงช่วยอะไรพี่ไม่ได้เลย เผลอ ๆ คงไม่ต่างจากการเลี้ยงลูกสาว สุดท้ายหล่อนจะเอาแต่ใจ อารมณ์ฉุนเฉียว และเกเร พี่ใหญ่จะต้องทรมานไปตลอดชีวิตแน่นอน”
“หุบปาก” เฉินเจียเหอพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบคมราวกับมีด
เฉินเจียซิ่งอดกลั้นและทำท่าจะร้องไห้ “เสี่ยวเหมยกลับบ้านแม่ของหล่อนไปแล้ว ถ้าพี่ยังยืนกรานจะแต่งงานกับหลินเซี่ย หล่อนต้องทิ้งผมไปแน่ พี่ใหญ่อย่าเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยเลย ช่วยคิดหาวิธีหน่อยได้ไหม?”
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายเมื่อหลินเซี่ยมาที่บ้าน ผู้อาวุโสสองคนของตระกูลเฉินก็ยอมรับว่าหลินเซี่ยเป็นคู่ที่เหมาะสมกับเฉินเจียเหอ เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงกลับไปหาตระกูลด้วยความโกรธ และบอกเฉินเจียซิ่งว่าถ้าหลินเซี่ยเข้าไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกับตระกูลเฉินเมื่อใด หล่อนจะหย่ากับเขาเสีย
ช่วงนี้เฉินเจียซิ่งกังวลมาก เขาไปที่บ้านตระกูลเสิ่นหลายครั้ง แต่เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้ามา
เฉินเจียวั่งซึ่งกำลังก้มหน้ากินข้าวอยู่ ตอบด้วยเสียงเบาว่า “ถ้างั้นก็หย่าเถอะครับ ผมคนหนึ่งที่สนับสนุนการหย่าร้างของพี่”
“เจียวั่ง นายกำลังพูดไร้สาระอะไรอยู่? ลุงของเสี่ยวเหมยเคยเป็นข้าราชการ ต่อให้ตอนนี้เขาจะเกษียณแล้ว แต่อำนาจของเขายังอยู่ ถ้าฉันแต่งงานกับหล่อน ตระกูลของเราต้องรุ่งโรจน์มากแน่ ๆ ลองจินตนาการถึงสถานะของหล่อนสิ ถ้าฉันเสียหล่อนไป ชาตินี้ต้องทรมานมากแน่ ๆ”
ก่อนหน้านี้เฉินเจียซิ่งกำลังติดขัดเรื่องการงาน เสิ่นเสี่ยวเหมยกำลังขอให้เสิ่นเถี่ยจวินจัดเตรียมงานใหม่ให้กับเฉินเจียซิ่งในโรงงานเครื่องจักร ซึ่งเขาจะได้เข้าไปทำงานหลังวันหยุดปีใหม่อยู่รอมร่อ แต่เวลานี้เสิ่นเสี่ยวเหมยกลับมีเรื่องขัดแย้งกับเขา นั่นหมายความว่างานนี้มีสิทธิ์ชวดไปอีกครั้ง
น้ำเสียงของเฉินเจียเหอฟังดูไม่แยแส “เป็นเรื่องของนายที่จะมีกินอย่างสบาย ๆ นี่ มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักอย่าง”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันเนี่ย? ถ้าอย่างนั้นก็แนะนำผมให้ได้งานที่โรงงานพี่ใหญ่แทนสิ ไม่ใช่มาโยนความรับผิดชอบกลับและปฏิเสธกันแบบนี้ เสิ่นเถี่ยจวินกำลังจะตัดขาดผมอยู่แล้ว แถมผมยังต้องเสียเสี่ยวเหมยไปอีก ในเมื่อพี่ไม่ช่วยน้องชายตัวเอง แล้วพี่ไม่อายเหรอถ้ามีคนอื่นมาช่วยผมแทน?”
เฉินเจียเหอยืนขึ้นและถาม “ก็ฉันแนะนำงานให้แล้วไม่ใช่รึไง? สุดท้ายมีงานไหนที่นายทำได้นานบ้างล่ะ?”
เฉินเจียซิ่งตกตะลึงจนพูดไม่ออก
พอเถียงไม่ออกก็ได้แต่หุบปากฉับ
ขณะนั่งข้างกันด้วยสีหน้ามืดมน สุดท้ายเขาก็หยุดโต้เถียง
ผู้เฒ่าเฉินดูโศกเศร้าเมื่อเห็นแบบนี้
หลานทั้งสามเคยสนิทกันมากเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก แต่ตอนนี้กลับไม่ลงรอยกันเลย น่าเศร้าจริง ๆ
เวลานี้เองโทรศัพท์บ้านได้ดังขึ้น
คุณย่าเฉินรับสายและยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย “รอสายสักครู่นะคะ… เจียเหอยังอยู่ที่นี่”
เฉินเจียเหอมารับโทรศัพท์ จากนั้นก็มีเสียงดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
“เจียเหอ นี่น้าเองนะ”
“คุณน้า” เฉินเจียเหอพึมพำ
“เจียเหอ น้ามีข่าวดีมาเล่าน่ะ น้าได้ลองเอาพิมพ์เขียวเครื่องจักรการเกษตรที่เซี่ยเซี่ยออกแบบสำหรับโรงงานของเราให้ผู้อำนวยการโรงงานดู ผู้อำนวยการโรงงานปรบมือเกรียวกราวเลยล่ะ เราเลยวางแผนที่จะผลิตเครื่องหยอดเมล็ดพืชทันที และรอจนกว่าโรงงานจะทำกำไรดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จะได้เตรียมซื้ออุปกรณ์ใหม่เพื่อผลิตเครื่องนวดข้าวโพดและเครื่องรีดแป้ง เซี่ยเซี่ยอยู่ด้วยหรือเปล่า? น้าอยากขอบคุณหล่อนด้วยตัวเองสักหน่อย ทางเราจะยื่นขอสิทธิบัตรด้วย ยกให้หล่อนเป็นผู้ถือสิทธิบัตรไปเลย”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แสดงว่าคุณน้องชายก็รำคาญยัยเสี่ยวเหมยเหมือนกันใช่ไหมคะ ถึงยุให้พี่รองหย่าด้วยอีกคน
ว้าว เซี่ยเซี่ยคือผู้กอบกู้วิกฤตโรงงานน้าที่แท้จริง
ไหหม่า(海馬)