ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 810 คุณพูดอะไรก็ถูกถ้าคุณมีเงิน
ตอนที่ 810 คุณพูดอะไรก็ถูกถ้าคุณมีเงิน
หลินเซี่ยนอนซบเขาอยู่ในอ้อมแขน มองเขาแล้วพูดว่า “ฉันอยู่บ้านก็ได้ แต่คุณต้องไปบอกแม่ให้ดีนะว่าอย่าทำตัวเหมือนเมื่อก่อนที่ขี้โมโหแล้วดื้อรั้นทำอะไรตามใจตัวเอง ต้องรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่บ้าง เรื่องของลูกมีอะไรก็ปรึกษาฉันเยอะๆ แล้วก็ตอนที่ครอบครัวฉันอยากมาเห็นหน้าหลาน แม่ก็ต้องให้ทุกคนมาเยี่ยม อย่าทำเหมือนเมื่อก่อนที่ทำตัวเป็นผู้นำสั่งนั่นสั่งนี่ ฉันไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกับแม่เพราะเรื่องแบบนี้อีก”
“วางใจเถอะ สหายโจวลี่หรงเปลี่ยนความคิดไปหมดแล้ว”
เฉินเจียเหอพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าปู่กับย่ามีความคิดเห็นอะไรที่ไม่ตรงกับเรา คุณบอกผมนะ ผมจะเป็นคนไปคุยกับพวกท่านเอง ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา คุณตั้งใจทำงานของคุณไป ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น”
มีเฉินเจียเหอเป็นคนกลางประสานรอยร้าว หลินเซี่ยก็ค่อยๆสบายใจขึ้น
พวกเขาจึงย้ายบ้านอย่างเป็นทางการ โดยที่สองผู้เฒ่าตระกูลเฉินและโจวลี่หรงเป็นคนดูแลหลานๆ
ทางไปที่ทำงานของเฉินเจิ้นเจียงผ่านโรงเรียนประถมที่หู่จือจะสมัครเรียนพอดี เมื่อใดที่เปิดเทอม เฉินเจิ้นเจียงก็จะปั่นจักรยานไปส่งหู่จือที่โรงเรียนแล้วก็ไปรับกลับบ้านทุกวัน
พอคอร์สฝึกอบรมของหลินเซี่ยเปิดสอน นักเรียนก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเทอมที่แล้ว จำนวนครูก็เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากหลิวน่าช่างแต่งหน้าที่รู้จักกันในกองถ่าย เจียงอวี่เฟยยังแนะนำช่างเสริมสวยให้เธอรู้จักอีกคน
หลินเซี่ยแบ่งสอนนักเรียนคลาสความงามกับทำผม ทำให้เธอมีคลาสสอนแทบทุกวัน ส่วนเวลาปกตินอกจากนี้ยังต้องคอยแวะเวียนไปดูร้าน
ช่วงที่หลินเซี่ยยุ่ง โจวลี่หรงจะพาเสี่ยวหู่มาหาหลินเซี่ยในตอนกลางวัน ให้เธอช่วยให้นมลูกทีหนึ่ง นอกนั้นก็ให้ลูกกินนมผงที่บ้าน
เพราะลูกยังเล็กอยู่ หลินเซี่ยจึงไม่กล้าและไม่ยอมห่างลูกนานๆ เธอจึงไม่ได้ไปร่วมงานพิธีเปิดอาคารสำนักงานของอู๋เซิ่งหง เซี่ยไห่เลยไปเป็นตัวแทนเธอ
เซี่ยไห่เลยอาศัยจังหวะนี้กลับไปตรวจบัญชีที่เซินเจิ้น
เฉียนต้าเฉิงบริหารจัดการร้านเต้นรำที่เซินเจิ้นเป็นอย่างดี ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการแล้ว ทั้งเงินเดือนและตำแหน่งที่สูงขึ้นทำให้เขามีแรงทำงานมากขึ้น พอได้มาบริหารงานเองที่นี่ เขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่และสุขุมขึ้นมาก
หลังจากร่วมงานเปิดอาคารเสร็จ เซี่ยไห่ก็อยู่คุยธุระกับอู๋เซิ่งหงที่เซินเจิ้นอีกสองสามวัน แถมยังได้รู้จักเพื่อนที่ทำอสังหาริมทรัพย์หลายคนจากการแนะนำของอู๋เซิ่งหงอีกด้วย
พออาคารสำนักงานเปิดขาย ก็ดึงดูดสายตานักธุรกิจจากโรงงานและนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในเซินเจิ้นได้มากมาย ในที่สุดอู๋เซิ่งหงก็พลิกสถานการณ์ได้สำเร็จ
คนเราเมื่อพบเรื่องน่ายินดี จิตใจก็สดชื่น อู๋เซิ่งหงจึงมีสีหน้าเปล่งปลั่ง แม้จะยังคงแต่งตัวเรียบง่าย แต่คนทั้งคนก็ดูเปล่งประกายสดใส มองดูแล้วมีพลังชีวิตเป็นพิเศษ
เซี่ยไห่มองดูชายที่ยังคงสวมรองเท้าผ้าคู่เดิมและชุดจงซานแบบเรียบง่าย พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพมากขึ้น “คุณดูสิ ทำไมต้องสุภาพขนาดนี้ด้วย? เงินทุนพร้อมเมื่อไหร่ พวกเราจะมารับเอง”
อู๋เซิ่งหงส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ไม่ได้หรอก ผมต้องไปด้วยตัวเองสักครั้ง ขนาดงานเลี้ยงฉลองครบเดือนของลูกเสี่ยวหลิน ผมยังไม่มีเวลาไปร่วมเลย คราวหน้าที่ผมไป ต้องชดเชยให้ด้วย”
“ได้ๆ ตามใจคุณ”
ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยไห่กับอู๋เซิ่งหงก็ใกล้ชิดมากขึ้น
อู๋เซิ่งหงพาเขาไปสำรวจสถานที่อื่นๆ ในเซินเจิ้น และเปิดใจเล่าถึงแผนการในอนาคตของเขาให้เซี่ยไห่ฟัง
เซี่ยไห่มองดูชายร่างเล็กที่ยืนอยู่บนซากปรักหักพังแห่งหนึ่งกำลังจินตนาการถึงอนาคต เขารู้สึกว่าภาพลักษณ์ของชายคนนี้ดูสูงส่งขึ้นมาทันที
ใจกว้างเท่าใด เวทีก็กว้างเท่านั้น
ซากปรักหักพังแห่งนี้คือเวทีในอนาคตของอู๋เซิ่งหง
ในเมื่อเขาสร้างตึกสำนักงานได้หนึ่งหลัง เขาก็สร้างตึกได้อีกเป็นหลังที่สอง หลังที่สาม…
เขามีความสามารถ มีความกล้าหาญและมุ่งมั่นมาก มองภายนอกดูซื่อๆ แต่จริงๆ แล้วกล้าคิดกล้าทำ
เซี่ยไห่ก็มีความคิดที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับการพัฒนาในอนาคตของเขาเช่นกัน
เขาไม่สามารถทำธุรกิจบันเทิงไปได้ตลอด หลินเซี่ยเคยพูดไว้ตอนที่ลงทุนกับอู๋เซิ่งหงว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์จะเป็นอุตสาหกรรมหลักในอนาคต พวกเขาจะแล่นเรือไปกับอู๋เซิ่งหง
มองจากทิศทางลมในตอนนี้ สิ่งที่หลินเซี่ยพูดนั้นถูกต้องมาก
หลังจากรับประทานอาหารกับเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายคนที่อู๋เซิ่งหง แนะนำให้รู้จัก เขาก็เข้าใจแนวโน้มการพัฒนาของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคตคร่าวๆ แล้ว
บางทีอู๋เซิ่งหงอาจเป็นหุ้นส่วนระยะยาวที่ไว้ใจได้จริงๆ
เซี่ยไห่ บอกว่าพรุ่งนี้จะกลับเมืองไห่เฉิง อู๋เซิ่งหงจึงกำชับเขาเป็นพิเศษว่าตอนเช้าให้รอเขาไปหาก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง เขาจะฝากของไปด้วย
ยามเช้า แสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาในห้อง เซี่ยไห่ก็ยืดเส้นยืดสายอย่างมีความสุข ก่อนลุกจากเตียง
หลังจากตื่นนอน เขาได้เรียกหัวหน้าเล็กๆ ในห้องเต้นรำมาประชุมเพื่อจัดการงาน จากนั้นก็ออกเดินทางกลับเมืองไห่เฉิง
เซี่ยไห่กลัวว่าจะตกเครื่องจึงโทรหาอู๋เซิ่งหง แต่ปรากฏว่าไม่มีคนรับสาย
เขาถือกระเป๋าเอกสาร มองนาฬิกาด้วยความกระวนกระวายใจ
ในใจก็อดที่จะบ่นอู๋เซิ่งหงไม่ได้ เป็นถึงเจ้าของบริษัทใหญ่โต แต่กลับไม่รักษาเวลาเอาเสียเลย
หลังจากโทรไปสองสามสายแล้วก็ไม่มีคนรับ เขาจึงตัดสินใจไม่รออีกต่อไป
เขาจึงกำชับกับเฉียนต้าเฉิง บอกว่ารออู๋เซิ่งหงกลับมาแล้วค่อยอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน
เซี่ยไห่กำลังจะออกรถ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เถ้าแก่เซี่ย รอก่อน”
อู๋เซิ่งหงลงจากรถแล้ววิ่งตรงมาทางเซี่ยไห่
เขารีบร้อนมาในสภาพเหงื่อท่วมหัว ใบหน้าที่ไม่ค่อยขาวอยู่แล้วยิ่งกลายเป็นสีแดงคล้ำเพราะวิ่งอย่างเร่งรีบ
อู๋เซิ่งหงยิ้มกว้างให้เซี่ยไห่ เผยให้เห็นฟันขาวสะอาด
“ผมขับรถอยู่ อาจจะปิดเครื่อง”
อู๋เซิ่งหงเปิดประตูฝั่งคนขับอย่างสุภาพ “เถ้าแก่เซี่ย เชิญครับ ขึ้นรถผม ผมไปส่งที่สนามบินเอง”
“ช่างเถอะ คุณเอาของมาให้ผมเร็วๆ แล้วไปทำธุระของคุณเถอะ”
แต่อู๋เซิ่งหงยืนกรานที่จะไปส่งเซี่ยไห่ด้วยตัวเอง บังคับให้เขาขึ้นรถให้ได้
เซี่ยไห่อธิบายเท่าใดอู๋เซิ่งหงก็ไม่ยอมฟัง เขาจึงจำใจขึ้นรถไป
ลีลาการขับรถของอู๋เซิ่งหงก็เหมือนกับนิสัยของเขา คือช้าเป็นเต่าคลาน
เซี่ยไห่กำลังรีบไปขึ้นเครื่อง แต่ด้วยความเร็วขนาดนี้ ต่อให้เครื่องบินจะขึ้นแล้วเขาก็คงยังไปไม่ถึงสนามบิน
เขาพยายามระงับความร้อนใจไว้ในใจ แล้วหันไปเสนออู๋เซิ่งหงว่า “นี่แก จอดรถข้างทางเดี๋ยวนี้เลย ฉันขับเอง”
“หา?”
“ฉันขับเอง รถแกมันช้าแบบนี้ เดี๋ยวตกเครื่องแน่”
เมื่ออู๋เซิ่งหงได้ยินเช่นนั้น ก็ยอมจอดรถแต่โดยดี
ทำเอาอู๋เซิ่งหงตกใจแทบแย่
เซี่ยไห่ขับรถไปสักพักจึงรู้สึกว่าพอมีเวลาเหลือบ้าง เลยค่อย ๆ ผ่อนความเร็วลง
“คุณจะฝากอะไรไปหรือ?” เซี่ยไห่เหลือบมองอู๋เซิ่งหง ก่อนจะเอ่ยแซวพลางกลั้วหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าตั้งใจมาส่งผมหรอกนะ”
อู๋เซิ่งหงยิ้มแห้ง ๆ “ใช่ มาส่งคุณ”
“คุณดูตัวเองสิ หาเงินได้ตั้งเยอะขนาดนี้ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ซื้อรองเท้าหนังดี ๆ สักคู่ก็ยังดี”
เซี่ยไห่มองอู๋เซิ่งหงตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความรังเกียจอยู่กลายๆ
เกี่ยวกับเรื่องภาพลักษณ์ของเขา ดูเหมือนว่าปีที่แล้วเขาจะเคยพูดไปครั้งหนึ่งแล้ว
บอกว่าที่เขาเป็นแบบนี้เรียกว่าสมถะ
ตอนนี้ธุรกิจของเขากำลังไปได้สวย ต้องติดต่อกับนักธุรกิจมากมาย เรื่องภาพลักษณ์ก็น่าจะปรับเปลี่ยนบ้างแล้วไม่ใช่หรือ?
อู๋เซิ่งหงขยับเท้าเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า
“รองเท้าผ้าใบแบบนี้ผมใส่สบาย เดินไม่เมื่อย รองเท้าหนังมันกัดเท้า ผมใส่ไม่ชิน”
เซี่ยไห่มองบนอย่างเอือมระอา ไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย
“เรื่องอะไรจะไปดูออกกันที่หน้าตา”
ตอนเจอกันครั้งแรก เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าผู้ชายหน้าซื่อๆ คนนี้จะสามารถสร้างตึกสำนักงานบนที่ดินรกร้างผืนนั้นได้
แล้วตอนนี้…
ตึกสำนักงานก็ผุดขึ้นมาเสียดฟ้าเรียบร้อย
เซี่ยไห่รู้สึกเลื่อมใสในตัวชายวัยกลางคนที่ดูซื่อสัตย์คนนี้อยู่ไม่น้อย
“เออ จริง คุณมีเงิน พูดอะไรก็ถูกหมดแหละ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ร้อยวันพันเหตุการณ์มากเซี่ยไห่ การไปเซินเจิ้นครั้งนี้ก็ถือว่าได้คอนเนคชันใหม่ๆ ละนะ
ไหหม่า(海馬)