ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 812 ไม่อยากให้จางเหมยมาเจอหู่จือต่อ
ตอนที่ 812 ไม่อยากให้จางเหมยมาเจอหู่จือต่อ
………………..
ตอนที่ 812 ไม่อยากให้จางเหมยมาเจอหู่จือต่อ
ประตูถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน จางเหมยรีบชักมือที่กำลังจะเคาะประตูกลับ
ครั้นเห็นหลินเซี่ยกับเซี่ยไห่ หล่อนจึงยิ้มแห้งแล้วรีบทักทาย “เถ้าแก่เซี่ย เสี่ยวหลิน พวกคุณอยู่บ้านเหรอคะ?”
“พวกเรากำลังจะออกไปข้างนอกน่ะ” หลินเซี่ยถามหล่อน “พี่สาวจาง ทำไมวันนี้ถึงมาที่นี่ได้ล่ะคะ”
จางเหมยฝืนยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “ฉันกะว่าหู่จือน่าจะกลับมาจากบ้านเกิดพอดี ฉันไม่ได้เจอเขามาสองเดือนแล้ว โทรศัพท์หาเถ้าแก่เซี่ยก็ไม่ติด ฉันเลยคิดว่าจะมาถามดูว่าหู่จืออยู่บ้านไหม ใกล้จะเปิดเทอมหรือยัง”
เมื่อวานจางเหมยไปที่บ้านพักแถวโรงงานเฉินเจียเหอ หล่อนเคาะประตูแล้วแต่ก็ไม่มีใครอยู่ เลยไปถามเพื่อนบ้านแถวนั้น ได้ความว่าหลินเซี่ยอุ้มลูกกลับบ้านแล้ว
หล่อนจึงได้แต่มาถามที่นี่
หลินเซี่ยมองเธอแล้วตอบ “หู่จือใกล้จะเปิดเทอมแล้ว เขาพักอยู่ที่ชุมชนบ้านพักทหารค่ะ”
พอได้ยินว่าหู่จืออยู่ที่ชุมชนบ้านพักทหาร ดวงตาของจางเหมยก็ฉายแววผิดหวังออกมา
สถานที่นั้น หล่อนไม่สามารถไปได้จริงๆ
ในตอนนั้นหล่อนแอบเข้าไปด้วยข้ออ้างว่าไปเยี่ยมญาติ แล้วนำเด็กไปวางไว้หน้าบ้านตระกูลเฉินในชุมชนบ้านพักทหาร
นั่นเป็นสิ่งที่หล่อนเสียใจที่สุดในชีวิต
หลังจากนั้นเมื่อกลับไปเมืองปินเฉิง หล่อนก็เคยวางแผนจะแอบเข้าไปดูลูกชายอย่างลับๆ แต่น่าเสียดายที่ชุมชนบ้านพักทหารมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทหารยามที่หน้าประตูไม่ยอมให้เข้าไปเลย
หลินเซี่ยเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “พี่สาวจาง ตอนนี้หู่จือจะเข้าโรงเรียนประถมแล้ว เขาโตเป็นเด็กโตแล้ว เริ่มมีความรู้สึกไวมากขึ้น ฉันหมายความว่า คราวนี้พี่แค่มองดูเขาจากระยะไกลๆ ไม่ต้องรบกวนชีวิตปกติของเขาดีกว่าค่ะ รออีกสองเดือนค่อยมาเจอเขาตัวต่อตัว”
จางเหมยได้ยินดังนั้น ร่างกายก็สั่นสะท้านทันที จ้องมองหลินเซี่ยด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “หลินเซี่ย เธอไม่อยากให้ลูกได้เจอฉันหรือ?”
“พี่สาวจาง ฉันหวังว่าพี่จะเข้าใจพวกเรา หู่จืออายุเจ็ดขวบแล้ว เขาฉลาดมาก การที่พี่มาพบเขาตรงเวลาทุกเดือนโดยไม่มีพลาด เขาจะสงสัยในตัวตนของพี่ ทุกครั้งที่กลับมาเขาก็จะซักไซ้ไล่เลียงว่าพี่เป็นใครกันแน่ พวกเราก็ลำบากใจมาก”
ทุกเดือนที่จางเหมยมาพบหู่จือ เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาปวดหัวที่สุด
หลังจากพบกันเสร็จแล้วกลับบ้าน หู่จือมักจะถามนั่นถามนี่เสมอ
หู่จือหลงเชื่อ เขาบอกว่าถ้าได้เจอน้าจางเหมยอีก เขาจะพาหล่อนไปหาคุณลุงจวิ้นเฟิงเพื่อแจ้งความตามหาลูกให้
คำโกหกเพียงคำเดียว ต้องใช้คำโกหกอีกนับไม่ถ้วนมาปกปิด
ตอนนี้พวกเขายุ่งกันมาก ผู้สูงอายุก็ช่วยเลี้ยงหลาน ถ้าหู่จือถามขึ้นมา พวกเขาก็ต้องเตี๊ยมกันก่อน ไม่อย่างนั้นจะมีคนเผลอหลุดปาก
หลินเซี่ยพยายามพูดโน้มน้าวจางเหมยด้วยความจริงใจ
“ฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้พี่เจอลูกนะ แค่อยากให้รอไปดูเขาตอนวันเปิดเทอม พาพี่ไปมองดูอยู่ไกลๆ หลังจากนี้เราก็ค่อยๆ เจอกันน้อยลง เป็นผลดีกับทุกฝ่าย และจะได้ไม่เป็นการรบกวนการเรียนของลูกด้วย”
จางเหมยอยากเจอหู่จือ แต่หู่จืออาจไม่ได้อยากเจอหล่อน
การแอบดูอยู่ห่างๆ คงพอคลายความคิดถึงลูกของจางเหมยได้บ้าง และไม่ทำให้หู่จือลำบากใจ
ที่สำคัญคือจะได้ไม่เป็นการรบกวนครอบครัวของเขา
จางเหมยก้มหน้าเงียบ ไม่พูดอะไรออกมา
เห็นหล่อนไม่ยอมปริปาก ดูเหมือนยังคงอยากให้พาหู่จือเจอหน้ากันต่อหน้าต่อตา เซี่ยไห่ก็แทบระเบิดโทสะ พูดเสียงเข้มว่า “พวกเราทำแบบนี้กับเธอได้ก็ถือว่ามีน้ำใจมากพอแล้ว ถ้าเธอไม่ยอมก็ช่าง งั้นคราวหน้าอย่ามาเจอกันอีกเลย เกิดเป็นคนอย่าเห็นแก่ตัวเกินไป ลองนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นบ้าง”
จางเหมยน้ำตาคลอ เกรงว่าเซี่ยไห่จะไม่ยอมให้หล่อนเจอลูกอีก สุดท้ายจึงยอมเอ่ยปาก
“ตกลง”
หล่อนหยิบถุงใบหนึ่งที่ถืออยู่ส่งให้หลินเซี่ย “ฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้หู่จือ เขากำลังจะเข้าเรียนชั้นประถมแล้ว ให้เขาได้ใส่ชุดใหม่เถอะ”
“ได้ ฉันจะเอาไปให้เขา”
ครั้นจางเหมยรู้ว่าไม่อาจใกล้ชิดหรือพาหู่จือออกไปกินของอร่อยๆ ได้ จึงมีท่าทางผิดหวังและเสียใจ
หลินเซี่ยเห็นท่าทางนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ
ในฐานะแม่คนหนึ่ง เธอเข้าใจความรู้สึกของจางเหมย
แต่เธอก็ต้องนึกถึงคนอื่นๆ ด้วย
หากพวกเขายังคงพบกันเช่นนี้ต่อไป หู่จือคงจะรู้ความจริงในไม่ช้า
พวกเขาไม่ได้ต้องการกักขังหู่จือไว้ไม่ให้เขาได้รู้จักแม่แท้ๆ ประเด็นสำคัญคือหากหู่จือรู้ความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตัวเองแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อไป?
จางเหมยอาจจะเลี้ยงดูหู่จือให้อิ่มท้องได้ก็นับว่าดีแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น หล่อนเคยทอดทิ้งเขามาก่อน หู่จือจะอยู่กับหล่อนโดยไม่มีความรู้สึกห่างเหินได้อย่างไร?
หากหู่จือรู้ความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตัวเองแล้วยังคงอยู่กับพวกเขา ก็คงไม่สนิทสนมเหมือนตอนนี้
อีกทั้งพวกเขายังมีเสี่ยวหู่ ซึ่งเด็กคนนี้อาจจะรู้สึกไม่มีที่ยืนในครอบครัว
หากเรื่องนี้บานปลายไปถึงที่สุด คนที่จะได้รับบาดเจ็บมากที่สุดก็คือหู่จือ
หากจางเหมยยังคิดไม่ตกในเรื่องนี้ และคิดแต่จะให้ลูกยอมรับหล่อน นั่นก็เป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป
หู่จือเป็นลูกของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเฉินเจียเหอไว้ เขาเลี้ยงดูหู่จือมาด้วยตัวเอง เขาจะไม่มีทางยอมให้จางเหมยพาหู่จือไปลำบากอย่างแน่นอน
“วันนี้ฉันขอพบเขาได้ไหม” จางเหมยยังคงไม่ลดละความพยายาม “ขอแค่เห็นเขาอยู่ไกลๆ ก็พอ เสี่ยวหลิน พาหู่จือมาหาฉันหน่อยได้ไหม”
หลินเซี่ยส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะคะ วันนี้ฉันมีธุระต้องทำ หู่จือไปข้างนอกกับคุณปู่ ไม่ได้อยู่บ้าน”
ฟางจิ้นเป่าบอกให้พวกเขาเห็นแก่ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน พยายามทำดีกับจางเหมยหน่อย
ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จางเหมยก็ต้องรู้จักกาละเทศะบ้าง ในเมื่อหล่อนทำตัวแบบนี้ ใครจะไปทำดีด้วยได้?
หลินเซี่ย ขับมอเตอร์ไซค์ออกไป
เซี่ยไห่กำลังจะไปหาอะไรกินที่ร้านอาหาร
ตอนที่เขาขับรถมาถึงทางแยก เขาก็เห็นจางเหมยยืนอยู่คนเดียวด้วยท่าทางเศร้าสร้อย
เขาจอดรถแล้วบีบแตร
จางเหมยก้าวเท้าอย่างอ่อนล้า หันกลับมาเห็นรถยนต์คันหรูของเซี่ยไห่
เซี่ยไห่เปิดกระจกรถลง
จางเหมยยังคงประหม่า รีบกล่าวทักทาย “เถ้าแก่เซี่ย”
“ขึ้นรถ” เซี่ยไห่พูดเสียงเย็นชาเพียงสองพยางค์
“จางเหมย พวกเราควรจะเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ด้วยความเคารพ”
เซี่ยไห่มองหล่อนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงราบเรียบ “เธอก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง พวกเราไม่อยากทำให้เธออับอายขายหน้าเพราะเห็นแก่หัวหน้า พวกเราหวังว่าเธอจะรู้จักคิด รู้จักถอย รู้จักมองภาพรวม คิดถึงหู่จือให้มาก อย่าเอาแต่คิดถึงประโยชน์ส่วนตัว”
“เธออยากจะรับลูกไปจริงๆ ก็ได้ แต่ถ้าเธอยอมรับเขา เฉินเจียเหอก็จะไม่เลี้ยงดูเขาอีก เธอต้องพาเขาไปด้วย”
เขาจ้องมองหล่อน ถามคำถามที่เสียดแทงใจ “ลองคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองตอนนี้ดู เธอเลี้ยงดูลูกไหวเหรอ เธอทิ้งเขาไปแล้ว ตอนนี้จะมารับเขากลับไป คิดว่าเขารู้ความจริงแล้วจะให้อภัยเธอเหรอ เธอให้ชีวิตแบบที่บ้านตระกูลเฉินให้เขาได้เหรอ เธอจะให้ชีวิตแบบไหนกับลูกในอนาคต”
“เธอกลับไปคิดให้ดีๆ นะ ถ้ารู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถและมั่นใจที่จะดูแลลูกก็พาเขาไปได้เลย ต่อไปนี้พวกเราจะไม่รับผิดชอบเรื่องหู่จือแล้ว”
ฤดูใบไม้ร่วงมาถึง หู่จือได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อย่างเป็นทางการ
โรงเรียนประถมหงซิงจัดพิธีเปิดภาคเรียนให้นักเรียนใหม่อย่างยิ่งใหญ่
สองผู้เฒ่าตระกูลเฉิน เฉินเจิ้นเจียง โจวลี่หรง และหลินเซี่ยอุ้มลูกชาย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดภาคเรียนพร้อมหน้าพร้อมตากัน
มีเพียงเฉินเจียเหอที่ติดธุระ ไม่สามารถมาร่วมงานได้
หลินเซี่ยตั้งใจแจ้งจางเหมยล่วงหน้า เพื่อที่หล่อนจะได้มาชมความน่ารักของหู่จือที่หน้าโรงเรียนในวันเปิดภาคเรียน
หู่จือสะพายกระเป๋าใบเล็ก สวมชุดนักเรียนตัวใหม่ ยืนตรงอยู่ในแถว พอเห็นว่าครอบครัวเขามีคนมามากที่สุดในบรรดานักเรียนทั้งหมด ใบหน้าเล็กๆ ของเขาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส ยืนตัวตรงที่สุด
หู่จือเข้าโรงเรียนประถม เวลาเข้าเรียนแต่ละวันก็เร็วกว่าตอนเรียนอนุบาล หลินเซี่ยกับเฉินเจียเหอต้องทำงาน เฉินเจิ้นเจียงจึงตั้งใจออกจากบ้านเช้าขึ้นเป็นพิเศษทุกวันเพื่อปั่นจักรยานไปส่งหู่จือ ซึ่งสองปู่หลานออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นั่นสิ กลับไปคิดดีๆ ค่ะคุณแม่ ว่าอยากให้ชีวิตแบบไหนกับลูก ทิ้งลูกไปแล้วจะกลับมาพาลูกลำบากอีกเหรอ? คนเป็นแม่ควรให้สิ่งดีๆ กับลูก ทำให้ชีวิตลูกมีความสุขไม่ใช่เหรอ?
ไหหม่า(海馬)
………………..