ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 813 เตรียมเปิดโรงเรียนสอนเสริมสวยและทำผม
ตอนที่ 813 เตรียมเปิดโรงเรียนสอนเสริมสวยและทำผม
หลังจากเข้าสู่ฤดูหนาว เมืองไห่เฉิงก็ได้ต้อนรับหิมะแรกของปี 1990 ผืนแผ่นดินถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลน และนักเรียนฝึกหัดรุ่นที่สองของหลินเซี่ยก็ได้จัดพิธีสำเร็จการศึกษาท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย
นักเรียนต่างก็อำลาจากชั้นเรียนไปพร้อมกับใบรับรองการจบหลักสูตรและความมั่นใจในฝีมือที่พวกหล่อนได้รับ
หลินเซี่ยและคนอื่นๆ ที่ยุ่งมาตลอดสามเดือนก็ได้เวลาผ่อนคลายสักที
หลินเซี่ยจึงจองโต๊ะที่ร้านอาหารในเมืองไห่เฉิงเพื่อเลี้ยงอาหารทุกคน
หยางหงเสีย หลินเยี่ยน และหลิวน่าต่างก็ทุ่มเทให้กับชั้นเรียนอบรมในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
บนโต๊ะอาหาร หลินเซี่ยยกแก้วขึ้นมาจ้องมองทุกคนพร้อมกับกล่าวอย่างจริงใจว่า
“ในที่สุดชั้นเรียนอบรมของเราก็สำเร็จไปได้ด้วยดี ลำบากทุกคนแล้วค่ะ”
“ฉันขอใช้เครื่องดื่มนี้แทนเหล้า เพื่อเป็นเกียรติแก่ทุกคน” หลินเซี่ยกล่าว “ขอบคุณทุกคนที่ลำบากมาด้วยกันนะคะ”
“เสี่ยวหลิน ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอ” หลิวน่ายกแก้วขึ้นตอบหลินเซี่ยอย่างจริงใจ
หลินเซี่ยเชิญหล่อนมาและตกลงกันว่าจะคิดค่าจ้างตามชั่วโมงสอน ซึ่งช่วงนี้หล่อนว่างพอดี หลินเซี่ยจึงบอกว่าหล่อนใช้เวลาที่เหลือทำงานเสริมที่ร้านถ่ายภาพแต่งงานของพวกเขาได้ เพราะหลินเยี่ยนกับหยางหงเสียค่อนข้างยุ่ง
ดังนั้นในสามเดือนนี้หลิวน่าจึงเท่ากับได้รับเงินเดือนสองทาง
หยางหงเสีย หลินเยี่ยน และชุนฟางก็ได้รับค่าตอบแทนไม่น้อยเช่นกัน
พวกผู้หญิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ และมีความมุ่งมั่นในอาชีพอย่างเต็มเปี่ยม
พวกหล่อนตั้งตารอให้ หลินเซี่ยเปิดการอบรมรุ่นที่สามอีก
อย่างไรก็ตาม คำตอบของหลินเซี่ยทำให้พวกหล่อนผิดหวังกันหมด “ตอนนี้ยังไม่เปิดน่ะ”
หลินเยี่ยนถามอย่างสงสัย “พี่ ทำไมถึงไม่เปิดล่ะ?”
ชุนฟางก็พูดว่า “ใช่แล้วเซี่ยเซี่ย พวกเราแค่เปิดรับสมัคร ก็มีคนหนุ่มสาวมาสมัครเยอะแยะเลยนะ นี่เป็นการให้โอกาสและเวทีสำหรับทุกคนได้เรียนรู้ฝีมือ เป็นการทำประโยชน์ให้สังคม ทำไมถึงไม่เปิดล่ะ?”
แม้หลิวน่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของหล่อนแสดงให้เห็นว่าหล่อนหวังจะมีนักเรียนรุ่นที่สามมากกว่าหลินเยี่ยนและคนอื่นๆ เสียอีก
ในอนาคตก็ค่อยเพิ่มสาขาอื่นๆ อย่างเช่นสาขาการออกแบบเสื้อผ้าที่กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือการฝึกฝนช่างตัดเย็บ
หลินเซี่ยต้องการเปิดโรงเรียนสอนเสริมสวยและทำผม ไม่ใช่แค่เพียงคอร์สอบรมธรรมดา เพราะอย่างแรกคือจะต้องมีขั้นตอนที่สมบูรณ์แบบ ที่ตั้งก็ต้องใหญ่กว่าห้องเรียนอบรมทั่วไป รวมถึงบุคลากรด้านการสอนก็ต้องมีข้อกำหนดที่เข้มงวด
ไม่ใช่ว่าจะหาสถานที่แล้วเปิดโรงเรียนได้เลย
อย่างแรก หากต้องการสอนในโรงเรียนได้ ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
ชุนฟางกับหลินเยี่ยนแน่นอนว่ายังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ แม้จะเป็นอาจารย์สอนปฏิบัติ ก็ต้องให้พวกหล่อนไปสอบใบประกอบวิชาชีพก่อน
ส่วนเรื่องเงินทุน หลินเซี่ยไม่กังวล เพราะเงินปันผลจากอู๋เซิ่งหงงวดแรกจะออกมาแล้ว สามแสนนั้นเธอจึงตั้งใจว่าจะยังไม่คืนเซี่ยอวี่
เธอจะจ่ายดอกเบี้ยตามอัตราของธนาคาร และเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนสร้างโรงเรียน
ส่วนเรื่องอาคารเรียน เธอวางแผนจะซื้อที่ดินแล้วสร้างเอง
เมืองไห่เฉิงพูดได้ว่ายังไม่ได้เริ่มพัฒนา นอกจากในตัวเมืองแล้ว ที่ดินผืนอื่นๆ ล้วนมีราคาค่อนข้างถูก เธอจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนมากมายในส่วนนี้
สำหรับเรื่องการสร้างอาคาร หลินเซี่ยได้โทรศัพท์ไปปรึกษาอู๋เซิ่งหงซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ
พอได้ยินว่าหลินเซี่ยต้องการสร้างอาคารให้เมืองไห่เฉิง อู๋เซิ่งหงก็อาสาอย่างกระตือรือร้นว่า พอเขามาถึงแล้วก็ช่วยวางแผนให้หลินเซี่ย
ถ้าเป็นงานใหญ่ เขาก็สามารถจัดคนงานจากเมืองปินเฉิงมาให้ได้เลย
คำพูดของอู๋เซิ่งหง ทำให้หลินเซี่ยค่อยสบายใจขึ้น
การมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอยู่ข้างกาย ทำให้เธอรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
เมื่อในใจมีแบบแปลนชัดเจนแล้ว เธอก็เริ่มมองหาทำเล
พอเซี่ยไห่ได้ยินว่าหลินเซี่ยกำลังหาซื้อที่ดินเพื่อสร้างอาคารเรียน เขาก็ไม่ได้แสดงความประหลาดใจแม้แต่น้อย
หลินเซี่ยขอให้เขาช่วยพาไปดูรอบๆ เมืองไห่เฉิงหน่อยว่าพอจะมีที่ดินผืนไหนที่เหมาะสมบ้าง
เซี่ยไห่ก็ใจดีขับรถพาไปดู
ทั้งคู่ตระเวนดูทั่วเมืองไห่เฉิง พอออกจากตัวเมืองที่คึกคักแล้ว รอบๆ นอกเมืองก็มีที่ดินมากมายที่ยังว่างเปล่า
ถ้าซื้อก็น่าจะราคาไม่แพง
นักเรียนที่มาจากต่างถิ่นคงหาไม่เจอ
ถ้าโรงเรียนตั้งอยู่ในทำเลที่เปลี่ยวเกินไป ในระยะยาวย่อมมีปัญหาด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบายของนักเรียนอย่างแน่นอน
เซี่ยไห่ขับรถวนกลับเข้ามาในตัวเมือง หลินเซี่ยนึกอะไรขึ้นได้ จึงบอกให้เซี่ยไห่ ขับรถไปที่ลานกว้างใกล้ๆ กับโรงงานผลิตรถของเฉินเจียเหอ
เซี่ยไห่จอดรถ ทั้งคู่ลงจากรถ หลินเซี่ยพาเขาเดินตรงไปข้างหน้า
“ไปไหนน่ะ”
“ฉันจำได้ว่าข้างหน้านี่มีพื้นที่โล่งๆ อยู่ พวกเราน่าจะไปดูแถวนั้นกัน” หลินเซี่ยวิ่งนำหน้าไป ส่วนเซี่ยไห่นั้นใส่รองเท้าหนังหัวแหลมเดินตามหลังมา บนทางที่ขรุขระยังคงมีน้ำขังอยู่ เพราะไม่กี่วันก่อนฝนเพิ่งตก เซี่ยไห่จึงได้แต่ทำใจกับสภาพรองเท้าคู่โปรดของตัวเองพลางเดินตามหลินเซี่ยไป
แถวนี้มีบ้านร้างอยู่หลังหนึ่ง และที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า
เดินต่อไปอีกหน่อยก็เจอกับฟาร์มไก่ร้าง
หลินเซี่ยเดินเข้าไปใกล้รั้วฟาร์มไก่ แล้วมองเข้าไปข้างใน
แม้ยืนอยู่ตรงนี้ กลิ่นเหม็นก็คละคลุ้งไปหมด
“อารอง รีบมาดูเร็ว พื้นที่ฟาร์มไก่รวมกับที่ดินเปล่าๆ ตรงนั้น นับว่ากว้างขวางมากทีเดียว ถ้าซื้อได้ทั้งหมดล่ะก็ ฉันจะเนรมิตที่นี่ให้เป็นอาณาจักรของพวกเราเลย”
ตอนนี้เซี่ยไห่กำลังขูดดินโคลนที่ติดรองเท้าออกอย่างแรง เขามองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าที่ตอนนี้เต็มไปด้วยโคลน แล้วพูดขึ้นเสียงดังว่า “เธอจะหาเด็กนักเรียนได้สักกี่คนกัน จะเอาพื้นที่ใหญ่โตขนาดนี้ไปทำไม ฉันว่าเธอไม่ควรทำอะไรใหญ่โตนักหรอก ไม่อย่างนั้นในอนาคตอาจจะเก็บเงินไม่ไหวก็ได้ สร้างเป็นตึกสักสามสี่ชั้น มีห้องเรียนสักสองสามห้องก็พอแล้ว”
หลินเซี่ยวิ่งเข้ามา มองเขาแล้วแนะนำอย่างมั่นใจ “โรงเรียนของฉันต่อไปสามารถเปิดสาขาวิชาอื่นๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องรับเฉพาะนักเรียนเสริมสวยและทำผมเท่านั้น”
“สาขาอะไรล่ะ?” เซี่ยไห่ถามลอยๆ หลังจากขูดโคลนเสร็จและเหยียบเท้าลงพื้น
“เช่น การขับรถขุด ซ่อมรถยนต์ และการเชื่อมไฟฟ้าอะไรพวกนี้ โรงเรียนอาชีวะเขาสอนอะไร ฉันก็จะสอนแบบนั้น”
“พรืด”
เซี่ยไห่เกือบจะพ่นน้ำลายออกมา
เขามองหญิงสาวผิวขาวนุ่มตรงหน้า ฟังเธอพูดสิ่งที่ไม่เข้ากับบุคลิกของเธอเลย เส้นสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา
หลินเซี่ยเห็นสีหน้าประหลาดใจของเซี่ยไห่ จึงชำเลืองตามองเขาอย่างไม่พอใจ “เป็นอะไรไปล่ะ? สาขาเหล่านี้จะเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตสดใสมากในอีก 20 ปีข้างหน้า หลายเมืองใหญ่มีโรงเรียนเทคนิคแบบนี้แล้ว ฉันสอบถามมาแล้ว เมืองไห่เฉิงยังไม่มีโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน ฉันอาจจะลองดู”
หลินเซี่ยคิดว่าถ้าเธอทำคนเดียวไม่ไหว อาจจะชวนเซี่ยไห่มาทำด้วยกัน
อย่างไรก็เป็นงานที่ทำเงินได้
ถ้าเธอมีเงิน เธอก็ต้องชวนอารองมาหาเงินด้วยกันสิ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลินเซี่ยมีความคิดที่ล้ำเลิศแบบนี้ เซี่ยไห่ต้องคิดว่าเธอเพ้อเจ้อ ฝันกลางวันแน่ๆ
แต่หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย แถมบางครั้งบางคราวเขาก็ได้ผลประโยชน์ไปด้วย ได้เงินเพราะหลานสาวคนนี้ เซี่ยไห่ก็เริ่มเชื่อใจหลินเซี่ยจากก้นบึ้งของหัวใจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสาวน้อยคนนี้มีหัวด้านการค้าจริงๆ
นับตั้งแต่พวกเขารู้จักกันจนถึงตอนนี้ การตัดสินใจครั้งสำคัญหลายอย่างที่เธอชักชวนให้เขาทำ ล้วนถูกต้องทั้งสิ้น
ตั้งแต่การเปิดคาราโอเกะในห้องเต้นรำ ไปจนถึงการนำที่ดินของเขาไปร่วมลงทุนในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของอู๋เซิ่งหง และต่อมาก็คือรูปแบบการดำเนินธุรกิจบางอย่างของห้องเต้นรำ ล้วนประสบความสำเร็จอย่างมาก
“ไป ไปดูที่ฟาร์มไก่กัน พื้นที่ตรงนี้กว้างขนาดไหนนะ ไม่รู้ว่าเขาจะขายที่ดินหรือเปล่า”
หลินเซี่ยดึงเซี่ยไห่ ให้มายืนข้างกำแพงฟาร์มไก่ที่ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวล เธอชี้ไปที่ผืนดินแล้วหันไปพูดกับเซี่ยไห่ ว่า “อารอง ฉันว่าที่ดินตรงนี้ใช้ได้เลยนะ คุณกะดูสิว่ามันกว้างประมาณเท่าไหร่”
เซี่ยไห่บีบจมูกพร้อมกับหายใจทางปาก “ฉันกะด้วยสายตาไม่ได้หรอก ต้องให้คนมาวัดจริงๆ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน อีกอย่างยังไม่รู้เลยว่าจะซื้อได้หรือเปล่า”
“ไป พวกเราสองคนไปสอบถามดูหน่อยว่าฟาร์มไก่นี้เป็นของใคร”
หลินเซี่ยพูดว่าไป เซี่ยไห่ก็รู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับมีลมใต้เท้า
กลิ่นมูลไก่ช่างเหม็นเหลือเกิน
ฟาร์มไก่ล้มละลายไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจัดการมูลไก่ข้างในหรือยัง
สองคนสอบถามไปรอบๆ บริเวณนี้ ได้ยินจากปากคุณลุงคนหนึ่งว่าเจ้าของฟาร์มไก่ที่พังนี้ขาดทุนจากการเลี้ยงไก่ แล้วออกไปทำงานต่างถิ่น
หลินเซี่ยได้ยินคำพูดของคุณลุง จึงถามต่อ “คุณลุงครับ คุณรู้ไหมว่าบ้านของเจ้าของฟาร์มไก่อยู่ที่ไหน ที่บ้านยังมีใครอยู่บ้าง”
คุณลุงยิ้มแล้วพูดว่า “บ้านอยู่ในตรอกข้างหน้านั่นแหละ ที่บ้านมีแค่คุณยายคนหนึ่ง คนนั้นก็กล้าดีนะ ตอนที่มากที่สุดเลี้ยงไก่ตั้งหลายพันตัว ขนาดใหญ่มาก สุดท้ายโรคระบาดไก่มาทีเดียวก็หมดเกลี้ยง”
“ผมได้ยินว่าเขาขาดทุนไปหลายสิบหมื่นหยวนเลยนะ” คุณลุงพูดถึงตัวเลขหลักหนึ่งแสนราวกับกำลังเล่าเรื่องผี
ไม่ว่าเซี่ยไห่กับหลินเซี่ยจะตกใจหรือไม่ อย่างน้อยคุณลุงเองก็ตกใจแล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะเจรจาขอซื้อต่อที่ดินสำเร็จไหมนะ ?
ไหหม่า(海馬)