ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 814 เจ้าของฟาร์มไก่หวังเหว่ยตง
ตอนที่ 814 เจ้าของฟาร์มไก่หวังเหว่ยตง
เซี่ยไห่หันไปพูดกับคุณลุงว่า “คุณลุงครับ รบกวนช่วยบอกทางไปบ้านเจ้าของฟาร์มหน่อยได้ไหมครับ พวกผมจะไปหาเขาที่บ้าน”
เซี่ยไห่หยิบซองบุหรี่ออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้คุณลุงอย่างสุภาพเพื่อเป็นการขอบคุณ
คุณลุงใจดีปฏิเสธ แต่เซี่ยไห่ก็ยัดใส่มือให้จนได้
คุณลุงพาพวกเขาไปที่ตรอกเหอผิงข้างหน้า ระหว่างทางก็เล่าเรื่องเจ้าของฟาร์มไก่ให้ฟัง
ว่ากันว่าเจ้าของฟาร์มไก่ชื่อ หวังเว่ยตง
เขาอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 31 ตรอกเหอผิง นับว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่งในละแวกนี้
เดิมทีเขาเป็นสัตวแพทย์ หลังจากนโยบายเปิดเสรี เขาก็ลาออกแล้วมาเปิดฟาร์มไก่
เขาเปิดฟาร์มไก่มาได้สามปีแล้ว จากตอนแรกที่เลี้ยงไก่เพียงร้อยกว่าตัว ก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นฟาร์มไก่ขนาดใหญ่
คนแถวนี้ต่างก็รู้จักเขาดี แต่น่าเสียดายที่ปีที่แล้วเกิดโรคระบาดในฟาร์มไก่ ทำให้ฟาร์มของเขาต้องเผชิญกับหายนะ
ไก่จำนวนมากถูกฝังทั้งเป็น เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
ได้ยินมาว่าหลังจากฟาร์มไก่ล้มละลาย เขาก็มีหนี้สินล้นพ้นตัว ทำให้ทุกคนไม่เชื่อมั่นในฝีมือการรักษาของเขาอีกต่อไป เขาจึงกลับไปทำงานที่สถานีรักษาสัตว์ไม่ได้
ได้ยินว่าภายหลังไปทำงานในต่างถิ่นแล้ว
เซี่ยไห่ถามขึ้น “แล้วที่ดินผืนนั้นแต่เดิมเป็นของบ้านพวกเขาหรือว่าซื้อมาจากที่อื่นครับ?”
คุณลุงเล่าว่า “เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่ก่อนเป็นลานบ้านหลังใหญ่ พอผ่านกาลเวลามานาน กำแพงก็พังทลายลง ภายหลังจึงได้ขยับขยายออกไป สร้างเป็นฟาร์มไก่ ส่วนที่ดินเปล่าข้างๆ เป็นของบ้านอื่น”
คุณลุงเป็นคนช่างพูดและอัธยาศัยดี หลินเซี่ยกับเซี่ยไห่จึงพอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ ของเจ้าของฟาร์มไก่แห่งนี้
เพราะได้ยินมาว่ามีคนแก่อาศัยอยู่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง เมื่อครู่นี้หลินเซี่ยจึงตั้งใจซื้อขนมปังสองถุงกับนมผงติดมือมาจากร้านค้าที่ปากซอย
คุณลุงหยุดอยู่หน้าประตูเหล็กสีแดงเข้มที่สีลอกร่อน ยิ้มแล้วพูดกับพวกเขาว่า “ถึงแล้ว เข้าไปข้างในเถอะ ผมไปก่อนนะ”
“ตกลงครับคุณลุง ลาก่อนนะครับ ขอบคุณมากครับ” เซี่ยไห่กล่าวลาคุณลุง จากนั้นจึงเดินขึ้นไปเคาะประตู
ทั้งสองยืนรออยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงไม้เท้าเคาะพื้นดังขึ้น
จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน
คุณยายร่างเล็กหลังค่อมสวมเสื้อแจ็กเก็ตบุฝ้ายเก่าๆ กำลังใช้ไม้เท้าพยุงกาย หลังมองเห็นคนหนุ่มสาวที่ปรากฏตัวหน้าประตู ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของนางก็ปรากฏความหวาดระแวง เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “พวกเธอมีธุระอะไรกันหรือ?”
หลินเซี่ยมองคุณยาย ยิ้มละไมขณะเอ่ยขึ้นว่า “คุณยายคะ พวกเรามาหาลูกชายคุณยายน่ะค่ะ เขาชื่อหวังเว่ยตงใช่ไหมคะ”
สีหน้าของคุณยายที่หวาดระแวงอยู่แล้วยิ่งตื่นตระหนกขึ้นไปอีก ดวงตาสั่นระริก ส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
หลินเซี่ยกับเซี่ยไห่ต่างก็งุนงงกับท่าทางของคุณยาย
คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “พวกเธออย่ามาหาเขาอีกเลย เขาออกไปหางานทำแล้ว ได้เงินเมื่อไหร่จะรีบเอาไปคืนพวกเธอ พวกเราไม่เบี้ยวแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณยาย ทั้งสองก็มองหน้ากันและเข้าใจได้ทันที
คุณยายคงคิดว่าพวกเขาเป็นเจ้าหนี้ที่ตามมาทวงหนี้สินแน่ๆ
ดูจากสถานการณ์แล้ว คงจะมีคนมาทวงหนี้ที่นี่บ่อยๆ
“คุณยายคะ พวกเราไม่ได้มาทวงหนี้ค่ะ” หลินเซี่ยผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม อธิบายนุ่มนวล “พวกเรามีเรื่องอยากจะคุยกับลูกชายของคุณยาย พวกเราไม่ใช่เจ้าหนี้ คุณยายไม่ต้องกังวลนะคะ”
เซี่ยไห่พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ครับ พวกเราไม่ได้มาทวงหนี้ พวกเราอยากจะคุยเรื่องธุรกิจกับลูกชายคุณยายน่ะครับ”
คุณยายดูจะไม่เชื่อในคำพูดของเซี่ยไห่อย่างเห็นได้ชัด
ลูกชายของนางติดหนี้สินล้นพ้นจนต้องหนีออกจากบ้านไปแล้ว จะมีธุรกิจอะไรให้คุยกันได้?
“คุณยายครับ พวกเราขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหมครับ?”
คุณยายยืนถือไม้เท้าขวางประตูไว้ด้วยท่าทางระแวง และไม่มีทีท่าว่าจะให้พวกเขาเข้าไป
นางมองพวกเขาแล้วอธิบายว่า “ลูกชายฉันไม่อยู่บ้าน มีแค่คนแก่ๆ อย่างฉันอยู่คนเดียว เรื่องคุยธุรกิจรอให้ลูกชายฉัน…
“ค่อยกลับมาพูดกันเมื่อกลับจากต่างถิ่นแล้วก็แล้วกัน”
พูดจบ คุณยายก็จะถอยกลับเข้าไปในลานบ้านและปิดประตู
หลินเซี่ยกลัวว่าคุณยายจะปิดประตูใส่พวกเขาจริงๆ จึงรีบพูดว่า “คุณยายคะ พูดตามตรงก็คือพวกเราอยากถามเกี่ยวกับสหายหวังเว่ยตงว่ามีแผนอะไรกับที่ดินฟาร์มไก่ในอนาคตบ้าง ถ้าพวกคุณไม่ได้ใช้แล้วพอจะให้พวกเราเช่าได้ไหม หรือขายให้พวกเราก็ได้ ถือว่าช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนของลูกชายคุณไปด้วยน่ะค่ะ”
ทั้งสองคนมีท่าทางจริงใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน และมองมาที่ตนด้วยสีหน้าจริงจัง คุณยายจึงรู้สึกว่าคนสองคนนี้ไม่เหมือนกับพวกที่มาทวงหนี้ตามปกติ
นางสังเกตเห็นว่าเด็กสาวถือของมาด้วยเหมือนกับมาเยี่ยมญาติ คงไม่ใช่คนไม่ดี
หลินเซี่ยพูดต่อว่า “ลูกชายคุณติดหนี้ใช่ไหมคะ? พวกเราได้ยินมาจากคนแถวนี้ ก็เลยคิดว่าถ้าพวกคุณยินดีคุยกัน เราก็มาปรึกษากันดีๆ ถือเป็นเรื่องดีที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์น่ะค่ะ”
“ได้ พวกเธอเข้ามาก่อนเถอะ”
คุณยายลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมเชิญพวกเขาเข้าไปในลานบ้าน
แม้ลานบ้านจะไม่ใหญ่ และสภาพบ้านก็เก่าโทรม แต่คุณยายก็เก็บกวาดทำความสะอาดลานบ้านเป็นอย่างดี ไม่มีหิมะหรือน้ำแข็งละลายเลย
ตรงลานบ้านด้านทิศใต้เป็นแปลงขนาดเล็กที่ใช้ปลูกดอกเบญจมาศ มีการขึ้นโครงทำเป็นรูปทรงเรือนกระจกคลุมด้วยแผ่นพลาสติก ใช้ไม้ไผ่ค้ำยันเป็นเสาปกป้องดอกไม้เบื้องล่างไว้ ดอกเบญจมาศจึงไม่ถูกน้ำค้างแข็งและยังคงชูช่อบานสะพรั่งงดงาม
ตอนขึ้นบันได หลินเซี่ยเอื้อมมือไปประคองคุณยายตลอด เพราะกลัวว่านางจะเสียหลักลื่นล้ม
การมีผู้สูงอายุในบ้านทำให้การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับหลินเซี่ย แทบจะเป็นสัญชาตญาณที่อยากยื่นมือช่วยเหลือ
“เชิญเข้ามาข้างในก่อนจ้ะ เชิญนั่งตามสบาย”
คุณยายทำท่าจะลุกไปรินน้ำให้ แต่หลินเซี่ยรั้งเอาไว้
เธอวางของในมือลงแล้วเข้าไปประคองคุณยาย “คุณยายคะ พวกเราไม่กระหายน้ำหรอกค่ะ เชิญคุณยายนั่งพักเถอะ ถ้ากระหายน้ำ พวกเราดื่มเองได้ค่ะ”
“พวกเราได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้คุณลุงทำฟาร์มไก่ไว้ใหญ่โต แล้วก็โดนโรคระบาดเล่นงานใช่ไหมครับ?” หลังจากเซี่ยไห่นั่งลง เขาก็เข้าประเด็นทันที
คุณยายถอนหายใจ “ใช่จ้ะ แต่ก่อนเราเลี้ยงไก่ได้ดี ทั้งไก่เนื้อไก่ไข่เลย ลูกชายฉันเป็นคนเก่ง ทั้งขยัน ติดดิน อัธยาศัยดี สองปีมานี้ฟาร์มไก่ของเขาเป็นแหล่งผลิตไข่และเนื้อไก่ให้กับคนในละแวกนี้ แถมยังจ้างคนงานในฟาร์มด้วย ชีวิตน่าจะไปได้สวยแล้วเชียว”
หญิงชราพูดถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา
“เมื่อปีที่แล้วเขายังพูดกับฉันอย่างตื่นเต้นว่าโรงงานรถยนต์กำลังจะย้ายมายังเมืองไห่เฉิงนี่ เขาจะเจรจาเรื่องการจัดหาอาหารให้โรงอาหารของโรงงานรถยนต์ ต่อไปไม่ต้องกังวลว่าเนื้อและไข่ของเขาจะไม่มีที่ขาย แถมยังคิดจะขยายกิจการอีกด้วย แต่ผลคือปีที่แล้วโรงงานรถยนต์ยังไม่ทันย้ายมา ฟาร์มไก่ก็ล้มละลายเสียแล้ว”
หลินเซี่ยได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกเสียใจแทนพวกเขา “ช่างน่าสงสารจริงๆ ค่ะ”
ในยุคนี้ การเผชิญกับโรคระบาดไก่ขนาดใหญ่เกือบจะเป็นหายนะที่ทำลายล้างทุกอย่าง
คุณยายตระหนักว่าตัวเองเสียมารยาท รีบเช็ดน้ำตา มองพวกเขาแล้วถามว่า
“พวกเธอบอกว่าอยากเช่าที่ดินของฟาร์มไก่นั่นหรือ?”
“ถ้าซื้อได้ก็จะดีที่สุด” หลินเซี่ยกล่าว
“เรื่องนี้…”
ด้วยเหตุที่เป็นที่ดินที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ พอได้ยินว่าพวกเขาอยากซื้อ คุณยายก็แสดงสีหน้าลำบากใจ
แต่พอนึกถึงหนี้สินที่ลูกชายติดไว้ และคนที่มาทวงหนี้เป็นระยะๆ คุณยายก็รู้สึกลำบากใจอีกครั้ง
เห็นสีหน้าของหญิงชราบ่งบอกถึงความลำบากใจ เซี่ยไห่จึงเอ่ยถามนางว่า “คุณยายครับ คุณยายพอจะมีวิธีติดต่อลูกชายของคุณยายบ้างไหม? พวกเราพอจะบอกเรื่องนี้กับเขาได้ไหมครับ? พวกเราอยากลองคุยกับเขาดู”
ดูท่าทางแล้ว หญิงชราคงไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้แน่ๆ
เซี่ยไห่คิดว่าหากให้หญิงชราเป็นคนตัดสินใจเรื่องขายที่ดินที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษคงเป็นเรื่องยาก
ระหว่างที่กำลังคิด ก็ได้ยินหญิงชราเอ่ยถามขึ้นมาว่า “พวกเธอต้องการซื้อที่ดินไปทำอะไรกันเหรอ?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
น่าเสียดายและน่าสงสารแทนเจ้าของฟาร์มเลย อุตส่าห์เลี้ยงไก่ไว้ตั้งเยอะ และตัวเองยังเป็นสัตวแพทย์รักษาสัตว์ด้วย
ไหหม่า(海馬)