ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 816 คำพูดที่ยากจะเอ่ย
ตอนที่ 816 คำพูดที่ยากจะเอ่ย
เซี่ยไห่ขับรถมาส่งหลินเซี่ยตรงหน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านทหาร เธอหันไปบอกเขาว่า “อารอง เรื่องสัญญาไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจัดการเองได้ พรุ่งนี้ตอนบ่ายถ้าคุณว่างเราค่อยไปกันอีกที”
“ตกลง พรุ่งนี้ค่อยติดต่อกัน”
หลังจากที่หลินเซี่ยกลับถึงบ้าน เธอก็รีบไปล้างมือเปลี่ยนเสื้อผ้าและอุ้มลูกน้อย
เสี่ยวหู่มีอายุได้ห้าเดือนแล้ว เขาเป็นเด็กที่ฉลาดและจำคนได้ พอหลินเซี่ยยิ้มและโบกมือเรียก เขาก็ยิ้มแป้นและพยายามตะกายเข้าหาอ้อมกอดของเธอ
โจวลี่หรงเห็นดังนั้นก็เอ่ยอย่างเอ็นดู “ดูเด็กคนนี้สิ พวกเราเลี้ยงเขาทั้งวัน พอแม่กลับมา ก็มองเห็นแต่แม่คนเดียว”
คุณย่าเฉินหัวเราะ “ก็แน่สิ เด็กออกมาจากท้องแม่ เจอหน้าแม่ก็ต้องติดเป็นธรรมดา”
พูดถึงตรงนี้ คุณย่าเฉินก็นึกถึงเรื่องราวในอดีต ตอนนี้นางกลับกล้าแม้กระทั่งจะแซวลูกสะใภ้ “แต่ก็ไม่เสมอไปนะ ตอนที่เจียเหอกับเจียซิ่งอายุเท่าเสี่ยวหู่ พอเห็นเธอกลับมา พวกเขากลับไม่สนใจเลยสักนิด”
โจวลี่หรงได้ยินแม่สามีพูดเช่นนั้นก็นึกถึงตอนที่บรรดาลูกชายของหล่อนอายุเท่าเสี่ยวหู ตอนนั้นหล่อนคงยุ่งมากจนไม่มีเวลาดูแลลูก
หลังจากเริ่มทำงานก็ไม่ได้นอนกับลูกอีกเลย
พวกเขาอยู่กับแม่สามีทั้งหมด
ลูกๆ ทั้งสามคนต่างมีอายุห่างกันสี่ปี
พอคราวนี้แม่สามีพูดถึงเรื่องในอดีต โจวลี่หรงก็ดูลำบากใจ
แต่คุณย่าเฉินมีไหวพริบดีเยี่ยม รีบพูดกลบเกลื่อน “ตอนนั้นเธอยุ่งจนไม่มีเวลาดูแลลูกนี่นะ ส่วนเซี่ยเซี่ยเป็นเจ้านายตัวเอง มีอิสระ ตอนกลางคืนยังนอนกับลูก เด็กๆ ก็แบบนี้แหละ แค่ไม่ได้นอนด้วยกันในห้องไม่กี่วัน เขาก็ชินแล้ว”
โจวลี่หรงไม่ได้โกรธ มองหญิงชราด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง “ใช่ค่ะ ตอนนั้นฉันเป็นพวกบ้างาน แทบไม่ได้ดูแลลูกๆ เลย โชคดีที่มีคุณแม่”
ยุคนั้นเป็นยุคที่พิเศษ ความคิดของทุกคนคือการเสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อเรื่องส่วนรวม
สังคมกำลังวุ่นวาย หากเผลอพลั้งเพียงนิดเดียวก็อาจเกิดปัญหาได้
ตอนนั้นหล่อนเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมตัวยง แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจลูกๆ ได้ล่ะ?
หลินเซี่ยอุ้มลูกเข้าไปในห้องเพื่อป้อนนม เมื่อออกมาแล้วก็ยังไม่เห็นผู้เฒ่าเฉิน เธอจึงยิ้มแล้วถามคุณย่าเฉินว่า “คุณย่า คุณปู่ไปไหนแล้วคะ”
“ปู่ของเธอเหรอ? ถูกตาของเธอชวนไปดูคลีนิคของหมอเย่น่ะสิ”
คุณย่าเฉินอธิบาย “คลีนิคของหมอเย่สร้างเสร็จแล้ว ได้ยินว่าจะเปิดในเร็วๆ นี้ พวกเขาเลยไปดูล่วงหน้า”
หลินเซี่ยยิ้ม “จริงเหรอคะ ช่วงนี้ฉันยุ่งๆ เลยไม่ได้ถามเลยว่าคลีนิคจะเปิดเมื่อไหร่”
ตึกในบริเวณลานบ้านของหมอเย่ถูกสร้างเสร็จมานานแล้ว เป็นตึกสามชั้น ข้างในไม่เพียงแต่มีห้องตรวจของหมอเย่เท่านั้น แต่ยังมีห้องทำกายภาพบำบัด ห้องพักผู้ป่วยอีกหลายห้อง
เอ้อร์เลิ่งย้ายเข้าไปอยู่ตั้งแต่ตึกถูกสร้างเสร็จใหม่ ๆ
แต่คลีนิคแห่งนี้ก็ยังไม่รับคนไข้
ในเมื่อจะเปิดคลีนิค ก็ต้องมีขั้นตอนการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงจะสามารถประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ หมอเย่ถือเป็นหมอแผนจีนที่ไม่ได้อยู่ในระบบ มีเพียงใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมในสมัยก่อน ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป ขั้นตอนต่างๆ ก็มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น จึงจำเป็นต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน และตรวจสอบการดำเนินการขอใบอนุญาตใหม่
ตอนบ่าย ผู้เฒ่าเฉินกลับมาบ้านด้วยท่าทางที่สดใสแข็งแรง
หลินเซี่ยเดินเข้าไปใกล้ แล้วถามด้วยความอยากรู้ว่า “คุณปู่คะ ฉันได้ยินมาว่าคุณไปหาคุณปู่เย่มา คลีนิคจะเปิดวันไหนคะ”
“วันเสาร์นี้” ผู้เฒ่าเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่เย่ฝากให้ฉันมาบอกพวกเธอว่าถ้ามีเวลาให้แวะไปหา ถ้าไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไร เขาไม่จัดพิธีอะไรทั้งนั้น ไม่รับของขวัญใดๆ ทั้งสิ้น เขาไม่รับอะไรเลยนอกจากคนไข้”
หลินเซี่ยยิ้ม “ถึงจะไปมือเปล่า พวกเราก็ต้องไปแน่นอนค่ะ”
ส่วนเฉินเจิ้นเจียงเลิกงานแล้วก็แวะไปรับหู่จือที่โรงเรียนกลับบ้านด้วยกัน
หู่จือเห็นหลินเซี่ยก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ
ตกเย็น เฉินเจียเหอก็กลับมาถึงบ้าน
ทุกครั้งที่เฉินเจียเหอกลับเข้าบ้าน ทุกคนในครอบครัวจะมองเขาด้วยสายตาเห็นใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจ
เขาดูเหนื่อยล้ามาก โดยเฉพาะวันนี้ที่เขาใส่ชุดทำงานอันหนาหนักดูเทอะทะ ดวงตาแดงก่ำเห็นเส้นเลือดจนดูน่ากลัว
เขาออกจากบ้านแต่เช้า กลับดึกดื่น กระทั่งเวลาโกนหนวดก็ยังไม่มี
หลินเซี่ยเดินเข้าไปรับกระเป๋าจากมือของเขา แล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้กลับมาเร็วจังนะคะ ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมากินข้าวกันเถอะ”
หลินเซี่ยจูงมือเขาขึ้นบันได เธอได้เตรียมชุดอยู่บ้านเนื้อหนาไว้ให้เขาเปลี่ยนแล้ว
พอเห็นรอยไหม้เป็นจุดๆ บนแผ่นหลังของเขา เธอจึงถามด้วยความเป็นห่วง “นี่ไปโดนอะไรมาคะ?”
“ประกายไฟตอนเชื่อมโลหะกระเด็นใส่โดยไม่ตั้งใจน่ะ”
เฉินเจียเหออธิบายว่า “มีจุดเชื่อมหนึ่งต้องมุดเข้าไปเชื่อมใต้รถ ช่างเชื่อมตัวใหญ่เกินไปมุดเข้าไปไม่ถึง ผมเลยต้องเป็นคนเชื่อมเอง”
ตอนนั้นเขาต้องถอดเสื้อนวมออก เหลือเพียงเสื้อบางๆ เพื่อให้มุดเข้าไปถึงจุดนั้นได้
พอหลินเซี่ยได้ยินว่าเฉินเจียเหอยังทำงานเชื่อมด้วย เธอจึงพูดอย่างมีอารมณ์ขัน “คุณนี่เก่งรอบด้านเลยนะคะ”
“วิศวกรเทคนิคต้องเก่งรอบด้านอยู่แล้ว ตอนผมอยู่ในกองทัพก็เชื่อมเป็น สมัยก่อนตอนซ่อมทางรถไฟ ผมก็เชื่อมเก่งพอสมควร อารองก็เชื่อมเป็น แต่เขาบ่นว่าแสบตาตลอด”
พูดถึงตรงนี้ เฉินเจียเหอก็ขยี้ตาที่แห้งและแสบอย่างทรมาน แล้วพูดว่า “อ้อ วันนี้ผมได้ยินมาว่า…”
เขามองหลินเซี่ย เลื่อนสายตาไปมาคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็อึกอัก
“ได้ยินอะไรมาเหรอคะ” หลินเซี่ยถามขึ้นขณะติดกระดุมเสื้อให้เขาอย่างนุ่มนวล
เฉินเจียเหอกลืนคำพูดลงคอไป “ไม่มีอะไรหรอก”
“มีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ”
พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานขนาดนี้ เพียงแค่สบตากันก็รู้ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
เฉินเจียเหอมีท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
มันเป็นคำพูดที่พูดยากขนาดนั้นเชียวหรือ?
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่เหอไปเจอเรื่องอะไรมานะ ถึงทำท่าอึกอักพูดไม่ออก
ไหหม่า(海馬)
………………..