ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 819 แม้จะหนาวกาย แต่อบอุ่นหัวใจ
ตอนที่ 819 แม้จะหนาวกาย แต่อบอุ่นหัวใจ
เช้าวันนี้ในตอนที่หลินเซี่ยอุ้มลูกลงมาข้างล่าง เธอก็พูดกับโจวลี่หรงด้วยท่าทางเกรงใจเล็กน้อย
“แม่คะ วันนี้ฉันต้องออกไปข้างนอกอีกแล้ว รบกวนแม่ช่วยดูแลเด็กๆ อีกสองวันนะคะ พอฉันจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ ฉันจะดูแลเด็กๆ เอง แม่จะได้พักผ่อนบ้าง”
สามเดือนมานี้ที่เธอเปิดคอร์สฝึกอบรม เป็นโจวลี่หรงที่ช่วยดูแลเด็กๆ ช่วงกลางวันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เธอรู้สึกเกรงใจแม่สามีมาก
โจวลี่หรงวางอาหารเช้าบนโต๊ะ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ลูกไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องเด็กๆ เสี่ยวหู่ของเราน่ารักมาก ดูแลง่ายจะตาย แถมยังมีปู่ย่าช่วยอีก”
เด็กที่ว่านอนสอนง่าย ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้มากจริงๆ
เช้านี้หลังจากที่หลินเซี่ยให้นมเสี่ยวหู่เสร็จ เขาก็นอนเล่นบนเตียงของคุณย่า มือเล็กๆ กำของเล่นไว้เต็มไปหมด
ช่วงที่อากาศอบอุ่น พวกเขาจะพาเสี่ยวหู่ออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่พอเข้าสู่ฤดูหนาวแบบนี้ ทุกคนก็อยู่กันแต่ในบ้าน ปู่ย่าช่วยกันเลี้ยงหลาน ส่วนโจวลี่หรงก็ทำกับข้าว ซักผ้าให้ทุกคน
หล่อนเชื่อว่า ทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ต่างเห็นสิ่งที่ตนทุ่มเทแล้ว เมื่อถึงเวลาที่หล่อนแก่ตัวลง ลูกสะใภ้ก็คงจะเป็นที่พึ่งได้
หู่จือได้ยินว่าหลินเซี่ยจะกลับบ้านเล็กของพวกเขา จึงเสนอให้หลินเซี่ยไปส่งเขาที่โรงเรียนในวันนี้
“ตกลง เดี๋ยวแม่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนะ ลูกต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆ สวมถุงมือกับหมวกให้เรียบร้อย เดี๋ยวแม่ไปส่งที่โรงเรียน”
หลินเซี่ยหันไปพูดกับเฉินเจิ้นเจียงว่า “พ่อคะ วันนี้ฉันไปส่งหู่จือแทนนะคะ หรือไม่ก็ให้ฉันขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งคุณพ่อกับหู่จือพร้อมกัน ขี่ไปสองคนไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”
เฉินเจิ้นเจียงได้ยินดังนั้นก็ตีหน้าขรึม สั่งสอนเธอว่า “ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้ต้องปลอดภัยไว้ก่อน อีกอย่างถ้าเธอไปส่งฉันถึงที่ทำงานแล้วไม่ให้ฉันขี่จักรยาน ตอนบ่ายฉันจะกลับบ้านยังไงล่ะ?”
หลินเซี่ยยิ้มแห้ง พูดว่า “ก็จริงค่ะ งั้นฉันไปส่งแค่หู่จือคนเดียวก็ได้”
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เฉินเจิ้นเจียงก็ขี่จักรยานออกไปก่อน
หลินเซี่ยกลัวหู่จือจะหนาว จึงใส่เสื้อหนาวเพิ่มให้อีกตัว ทั้งหน้ากากอนามัยและหมวกก็ใช้แบบที่หนาที่สุด
การขี่มอเตอร์ไซค์ในฤดูหนาวนั้นช่างหนาวเสียจนต้องตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเอง
หลินเซี่ยพยายามขี่ช้าๆ แต่พอถึงหน้าโรงเรียน ทั้งแม่ลูกก็รู้สึกราวกับตนเองกลายเป็นแท่งน้ำแข็งไปเสียแล้ว
หู่จือกระโดดลงจากรถพร้อมกับพ่นลมหายใจ “หนาวจังเลยครับแม่”
“หนาวกว่าตอนซ้อนท้ายจักรยานคุณปู่อีกเหรอ?” หลินเซี่ยถามพลางหัวเราะ
“ครับ ตอนผมซ้อนท้ายจักรยานคุณปู่ คุณปู่จะซื้อขนมปังอบมาให้ผมอุ่นมือ ผมก็จะห่อตัวมิดชิด เลยไม่รู้สึกหนาวแบบนี้”
หู่จือเงยหน้าขึ้น ดวงตาแสนบริสุทธิ์มองไปยังหลินเซี่ยพร้อมกับพูดอย่างใสซื่อ “ถึงการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์แม่จะหนาว แต่ใจของผมอบอุ่นครับ”
หลินเซี่ย “!!!”
เธอหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับพูดหยอกล้อหู่จือ “ลูกเอ๊ย ถ้าให้ปู่ได้ยินแบบนี้ ปู่ต้องใจหายแย่เลย”
หู่จือรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรไม่เข้าท่าจึงรีบแก้ตัว “ผมหมายถึง… ผมไม่ได้เจอแม่มานาน อยากให้แม่ไปส่งบ้าง”
เมื่อลูกชายพูดแบบนั้น ความรู้สึกผิดพลันแล่นเข้ามาในใจหลินเซี่ย เธอจึงสัญญากับลูกชายว่า “รอให้แม่จัดการงานเสร็จก่อนนะ แล้วเราก็จะย้ายมาอยู่ด้วยกัน แม่จะไปส่งลูกทุกวันเลยดีไหม?”
“ดีครับๆ ผมอยากย้ายไปอยู่ด้วย” หู่จือรีบอธิบาย “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่กับคุณปู่คุณย่านะครับ แต่ว่าที่นั่นไกลจากโรงเรียน ผมต้องตื่นเช้าออกจากบ้านแต่เช้า ทั้งหนาวทั้งง่วง”
“ลูกกับพ่อลำบากกันมามากแล้ว หลังเลิกงานวันนี้แม่จะไปบอกกับคุณปู่คุณย่าเอง ว่าขอไปจัดการที่บ้านก่อน พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์พวกเราก็จะย้ายกลับไป”
“เข้าไปข้างในเร็ว” หลินเซี่ยมองดูหู่จือเข้าไปในประตูโรงเรียนแล้วจึงขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน
เธอเพิ่งจะขึ้นรถจักรยานยนต์ก็มีเสียงใสๆ ดังเรียกเธอ
“พี่สะใภ้เซี่ยเซี่ย?”
หลินเซี่ยหันกลับไปมอง เห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อโค้ทยาว พันผ้าพันคอเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้าง
เธอชะงักไปสองวินาที ก่อนจำอีกฝ่ายได้จากน้ำเสียงและรูปร่าง
หลินเซี่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวอวิ๋น?”
ไล่เสี่ยวอวิ๋นดึงผ้าพันคอลงมาเล็กน้อย แล้วถามขึ้นว่า “พี่สะใภ้เซี่ยเซี่ย มาส่งลูกเหรอคะ?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่ วันนี้ฉันผ่านทางมาพอดีเลยแวะมาส่ง ปกติคุณพ่อจะเป็นคนมาส่งน่ะ”
“ฉันว่าแล้ว ตั้งแต่เปิดเทอมมาฉันยังไม่เห็นพี่กับเฉินเจียเหอมารับส่งหู่จือเลย” ไล่เสี่ยวอวิ๋นตั้งใจสังเกตหลินเซี่ยกับเฉินเจียเหอ แต่ก็ไม่เคยเจอเลยสักครั้ง
“ฉันสอนอยู่ชั้น ป.2 ค่ะ”
หลินเซี่ยเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “จริงเหรอคะ ดีจังเลย เด็ก ป.2 โตกว่าเด็ก ป.1 หน่อย คงดูแลจัดการง่ายกว่า”
“พี่สะใภ้ พวกพี่ไม่ได้พักอยู่แถวนี้เหรอคะ”
“อีกไม่กี่วันก็จะย้ายมาแล้วล่ะ ถึงตอนนั้นฉันจะให้คุณตำรวจถังพาเธอมาเล่นที่บ้าน ฉันจะทำของอร่อยๆ ให้พวกเรากิน”
ไล่เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านหรือหลีกเลี่ยงพวกเขาเหมือนเมื่อก่อน หล่อนตอบรับอย่างใจกว้าง “ค่ะ”
“รีบเข้าไปเถอะ เดี๋ยวก็สายหรอก” เธอมองตามร่างของไล่เสี่ยวอวิ๋นที่ดูสดใสร่าเริง มุมปากยกยิ้มอย่างโล่งใจ
ในที่สุดหล่อนก็หลุดพ้นจากความเศร้าโศกเสียที
หันหน้ารับแสงตะวัน เริ่มต้นชีวิตใหม่
หลังจากลาไล่เสี่ยวอวิ๋นแล้ว หลินเซี่ยก็ขี่จักรยานยนต์กลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้านก็นั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แล้วเริ่มร่างข้อตกลง
เพียงแค่รับประกันว่าหลังจากชำระเงินแล้ว สิทธิการใช้ที่ดินจะตกเป็นของเธอ
ไม่ว่าในอนาคตฝ่ายเธอจะพัฒนาที่ดินในรูปแบบใด ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับหลี่เฉวียนอีก
เป็นการซื้อขาดในคราวเดียว
สัญญาถูกพิมพ์ออกมาเป็นสองฉบับ
เธอเพิ่งทำงานเสร็จ ยืดเส้นยืดสาย ก็ได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยไห่
เซี่ยไห่ถามเธอทางโทรศัพท์ว่า “เซี่ยเซี่ย ตื่นหรือยัง เราจะไปกันเมื่อไหร่ เรื่องสัญญาจะเอายังไง?”
“อารอง คุณมารับฉันที่อาคารบริษัทผลิตรถยนต์ได้เลย ฉันอยู่ที่บ้าน เพิ่งทำสัญญาเสร็จ”
คำพูดของหลินเซี่ย ทำให้เซี่ยไห่ประหลาดใจ “ว้าว เธอยังขยันเหมือนเดิมนะ”
เขาในตอนนี้เพิ่งจะตื่น
ผ้าห่มก็เหมือนกับดักในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ นอนลงไปแล้วก็ลุกไม่ขึ้น
บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานาน หลินเซี่ยเลยทำความสะอาด
ประมาณสิบโมงกว่า ๆ เซี่ยไห่ก็มาถึง
“เอาล่ะ ขอดูสัญญาที่เธอร่างหน่อย”
หลินเซี่ยยื่นสัญญาให้เขา เซี่ยไห่นั่งลงบนโซฟาและอ่านอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ
เขาพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีมาก ครอบคลุมทุกอย่าง ฉันกลัวว่าเธอจะตกหล่นข้อนี้ไปแล้วจะทำให้เรามีปัญหาภายหลัง”
สามีภรรยาตระกูลหลี่น่าจะเป็นคนประเภทที่ค่อนข้างเกียจคร้านและเห็นแก่เงิน
หากวันหนึ่งพวกเขาขายที่ดินไปแล้วไม่ได้สร้างโกดัง แต่กลับสร้างตึกขึ้นมา พอรู้ว่าพวกเขามีเงินทุนหนา ก็อาจจะมาเรียกร้องภายหลังว่าขายที่ดินไปในราคาต่ำเกินไป
ดังนั้นตอนนี้ควรระบุรายละเอียดทั้งหมดลงไปในสัญญา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หู่จือพูดอะไรซึ้งๆ อีกแล้ว รอแม่ทำงานเสร็จก่อนนะแล้วจะได้อยู่ด้วยกัน
ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแบบนี้ดีแล้วค่ะ กันปัญหาในภายหลัง
ไหหม่า(海馬)