ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 824 จางเหมยหายไปไหน
ตอนที่ 824 จางเหมยหายไปไหน
เมื่อเซี่ยไห่ได้ยินหลินเซี่ยพูดถึงจางเหมย ดวงตาก็วาวโรจน์ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หล่อนเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ หล่อนคงจะคิดได้แล้วล่ะว่าไม่อยากมารบกวนหู่จือ เพื่อที่เขาจะได้ใช้ชีวิตดีๆ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิคะ กลัวแต่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับหล่อนข้างนอกเท่านั้นแหละ” หลินเซี่ยมีความรู้สึกซับซ้อนมากต่อจางเหมยผู้หญิงคนนี้
ในเมื่อหล่อนฟังคำสอนจากครอบครัวตัวเองทิ้งลูกไปแต่งงานใหม่ มองจากมุมของหู่จือกับเซี่ยไห่แลเว พวกเขาก็เห็นว่ามันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวและขาดความรับผิดชอบ
แต่ถ้ามองจากมุมของจางเหมย ตอนนั้นหล่อนก็น่าจะลำบากใจมาก
หลินเซี่ยมองออกว่าจางเหมยเป็นหญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนที่ไร้ความสามารถไร้จุดยืน ผู้ชายคือทุกสิ่งทุกอย่างของหล่อน เมื่อวันที่ท้องฟ้าถล่มลงมา หล่อนก็ไม่มีปัญญาจะรับไว้ได้
ต้องจำยอมทำตามคำสั่งพี่ชายของตัวเองเท่านั้น
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไขว่คว้าหาความสุขด้วยตัวเองทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นจางเหมยในตอนนั้นก็มีอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ
แต่ในขณะเดียวกัน หลินเซี่ยก็นึกดูถูกหล่อนอยู่บ้าง สามียังไม่ทันได้เผา หล่อนกลับทิ้งลูกในไส้ ทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ไปแต่งงานใหม่ตามคำพูดของทางบ้าน
ในสถานการณ์แบบนั้น เหล่าสหายร่วมรบของสามีหล่อนคงไม่มีทางปล่อยให้แม่ลูกต้องอยู่อย่างลำบากลำบนหรอก
ต่อให้หล่อนจะไม่รีบร้อนแต่งงานใหม่ก็ตาม
อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้ เฉินเจียเหอกับเซี่ยไห่คงจะไม่เกลียดหล่อนมากขนาดนี้
เพราะฉะนั้น ต่อให้โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับหล่อนส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะกรอบที่สังคมในยุคนั้นตีเอาไว้ แต่สาเหตุหลักก็มาจากการที่หล่อนเห็นแก่ตัวและไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
หลินเซี่ยตามเซี่ยไห่กลับไปเยี่ยมคุณย่าที่บ้านตระกูลเซี่ย
คุณแม่เซี่ยเห็นหลินเซี่ยกลับมาแล้วก็ดีใจมาก แต่พอเห็นว่าเธอไม่ได้พาหลาน ๆ มาด้วย สีหน้าก็แฝงไปด้วยความผิดหวังอยู่เล็ก ๆ
บ้านหลังนี้ทั้งว่างเปล่าและเงียบเหงา จนหัวใจคนอาศัยอยู่เศร้าหมองตามไปด้วย
นางจับมือหลินเซี่ยพลางถอนหายใจ “เซี่ยเซี่ย ตอนนี้เธอกับอาหญิงแต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปจริงๆ อาหญิงเธอไม่รู้จักกลับบ้านมาเยี่ยม ส่วนเธอก็ไม่พาลูกกลับมาหา พวกเธอยังมีคนแก่อย่างฉันอยู่ในหัวใจกันบ้างไหม?”
หลินเซี่ยกอดแขนคุณแม่เซี่ยแล้วกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “คุณย่า ฉันขอโทษค่ะ คอร์สอบรมของฉันพึ่งจะจบ แถมช่วงนี้ฉันกำลังวุ่นวายกับการเลือกสถานที่สร้างโรงเรียน แล้วอากาศข้างนอกก็หนาวมาก ฉันเลยไม่กล้าอุ้มเสี่ยวหู่ไปไหน เด็กตัวเล็กแค่นั้นภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง ฉันกลัวว่าเขาจะเป็นหวัดน่ะค่ะ”
พอแต่งงานแล้วก็มีเรื่องให้ไม่เป็นตัวของตัวเองเยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอมีลูกแล้ว ทุกเรื่องก็ต้องคิดถึงลูกเป็นอันดับแรก
หลินเซี่ยกล่าวว่า “คุณย่า พรุ่งนี้หนูจะกลับไปนอนที่บ้าน คุณย่ากับแม่ไปอยู่ที่บ้านหนูด้วยกันไหมคะ จะอยู่กับพวกหนูสักสองสามวันก็ได้ค่ะ”
“ได้ เดี๋ยวฉันจะไปอยู่กับพวกเธอสักสองสามวัน”
พอคุณแม่เซี่ยได้เจอกับหลินเซี่ยแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นบ้าง
ถึงปากจะบ่นไม่หยุด บอกว่าเซี่ยอวี่ไม่มีห่วงใย แต่แววตาของนางก็ปิดบังความคิดถึงเอาไว้ไม่อยู่
เซี่ยไห่ได้ยินมารดาบ่นเซี่ยอวี่ เขาก็รีบอธิบายว่า “แม่ ผมบอกให้แม่ไปหาพี่ที่บ้านตระกูลเย่แล้วไงครับ แต่พี่ก็ไม่ยอมออกจากบ้าน พี่สาวผมท้องแก่แล้ว หล่อนเป็นคุณแม่มือใหม่ จะให้วิ่งไปวิ่งมาได้ยังไง อีกอย่างเมื่อวันก่อนหิมะก็ตก เกิดลื่นล้มขึ้นมาจะทำยังไง แม่แก่ขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงไม่รู้จักคิดให้มันรอบคอบหน่อยล่ะครับ”
หลินเซี่ยเองก็คิดถึงเซี่ยอวี่ ทั้งอยากปรึกษาเรื่องสร้างโรงเรียนอบรมวิชาชีพกับหล่อนด้วย
เดิมทีเธอบอกว่าปีนี้จะคืนเงินให้ แต่ตอนนี้เธอมีแผนการอื่น ดังนั้นจึงต้องบอกเรื่องนี้กับเซี่ยอวี่ให้ชัดเจน ถ้าหล่อนต้องการใช้เงินก็จะได้วางแผนใหม่
หลินเซี่ยจึงบอกกับคุณแม่เซี่ยว่า “คุณย่า พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี พวกเรากับเด็กๆ ให้อารองขับรถพาไปเยี่ยมอาหญิงกันดีไหมคะ”
หลินเซี่ยตอบว่า “ได้ค่ะ ฉันจะให้พวกเขาใส่เสื้อผ้าหนาๆ ให้อารองมารับถึงหน้าบ้าน เดินออกไปไม่กี่ก้าวก็ถึงรถแล้ว”
“งั้นก็ดี พรุ่งนี้เราไปเยี่ยมอาหญิงกัน”
การตัดสินใจนี้ทำให้คุณแม่เซี่ยรู้สึกดีใจอย่างปิดไม่มิด
เท้าเล็กๆ ของนางก้าวเดินไปมา บ้างก็ว่าจะเตรียมของกินให้เซี่ยอวี่ บ้างก็ว่าจะเอาเสื้อนวมบุฝ้ายที่บ้านไปให้สองตัว
นางเดินวนไปมารอบบ้านด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี
หลินเซี่ยออกจากบ้านตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ยังไม่กลับบ้าน รู้สึกคัดเต้านมไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มคัดจนทรมาน อีกทั้งยังรู้สึกใจคอไม่ดี คิดถึงลูกจนทนไม่ไหว
คุณแม่เซี่ยสังเกตเห็นอาการของหลินเซี่ยอย่างชัดเจน จึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เอาล่ะ กลับไปเถอะ เซี่ยเซี่ยของเราเป็นแม่คนแล้ว ก็ต้องเจอกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย หัวใจของแม่มักจะอยู่ที่ลูกเสมอ”
เซี่ยไห่พูดเสริมขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว หัวใจของแม่อยู่ที่ลูก แต่หัวใจของลูกอยู่ที่ก้อนหิน”
หลินเซี่ย “!!!”
“คุณย่า ฉันกลับก่อนนะคะ”
หลินเซี่ยชวนเขาไปที่บ้านด้วย
เซี่ยไห่เองก็ไม่ได้เกรงใจ เดินตามเข้าไปทันที
เขาเองก็คิดถึงหลานชายคนนี้อยู่เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยกล้ามาที่ชุมชนบ้านพักทหารสักเท่าไร
เพราะทุกครั้งที่เขามา ผู้เฒ่าเฉินจะต้องอบรมสั่งสอนเขาด้วยน้ำเสียงตำหนิ
เอาแต่พูดว่าเขาไม่ทำมาหากิน บอกว่าในฐานะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทหาร การที่เขามาทำงานกลางคืนแบบนี้มันเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงชายชาติทหาร
มองว่าเส้นทางที่เขาเลือกเดินมันเป็นทางลัดที่ไม่ถูกต้อง
แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่แค่สหายพี่น้องของเฉินเจียเหออีกต่อไปแล้ว เขาคืออาของ หลินเซี่ย มีศักดิ์เป็นรุ่นเดียวกับเฉินเจิ้นเจียง ธุรกิจของเขาก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ผู้เฒ่าเฉินจึงทำตัวสุภาพกับเขามากขึ้น
ไม่เอาแต่จับผิดค่อนแคะเขาอีก
แถมยังให้โจวลี่หรงไปหยิบเอาใบชาที่ดีที่สุดในห้องหนังสือออกมาชงให้เซี่ยไห่ อีกด้วย
เซี่ยไห่บอกว่าตัวเองดื่มน้ำเปล่าก็พอ เขาไม่คู่ควรกับการดื่มชาแพงๆ แบบนั้น แต่ก่อนทุกครั้งที่เขามา เขาก็ดื่มแต่น้ำเปล่า
หลินเซี่ยกำลังจะเข้าไปให้นมลูกในห้อง ได้ยินอารองพูดจาประชดประชัน มุมปากของเธอจึงกระตุกเล็กน้อย
คนคนนี้ช่างปากเสียจริงๆ
เธอคิดว่าคุณปู่คงจะรู้สึกอาย แต่ใครจะรู้ ผู้เฒ่าเฉินกลับหัวเราะเสียงดัง “ดูแกสิ นี่แกยังเคืองฉันอยู่อีกเหรอ?”
เซี่ยไห่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “คุณลุงเฉิน ผมกล้าซะที่ไหน”
ผู้เฒ่าเฉินมองเซี่ยไห่ที่นั่งไขว่ห้างอย่างไม่ยี่หระ แล้วยังมาทำเคืองใส่เขาอีก สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น ก่อนจะอธิบายว่า “แต่ก่อนฉันเห็นแกแต่งตัวสีสันฉูดฉาด ไม่น่าไว้ใจ ทำอะไรก็ไม่น่าเชื่อถือ ฉันก็เลยกลัวว่าแกจะออกนอกลู่นอกทาง เลยคอยตักเตือนอยู่เสมอ พวกเราต่างก็เป็นทหาร ฉันจะยอมปล่อยให้เด็กที่อยู่ใกล้ตัวเดินทางผิดต่อหน้าต่อตาไม่ได้เด็ดขาด แม้จะต้องทำให้พวกแกขุ่นเคือง ฉันก็ต้องจัดการ”
เซี่ยไห่พูด “ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วครับนี่ว่าคุณคิดผิด”
ผู้เฒ่าเฉิน “!!!”
ชายชรารู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เขาจ้องเซี่ยไห่ด้วยความโมโห แล้วพูดเสียงเย็นชา “แกจะเห็นแก่ความหวังดีที่ฉันมีต่อแก แล้วไว้หน้าฉันหน่อยไม่ได้รึไง?”
เซี่ยไห่ก็เจ้าเล่ห์ไม่เบา พูดจายกยอปอปั้นไปมา จนเกือบจะประชดประชันอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยอมลดราวาศอกให้คนแก่ “คุณลุงเฉิน ผมล้อเล่นน่ะ ที่จริงการที่คุณคอยกระตุ้นและสั่งสอนผมอยู่เบื้องหลังเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตของผมมาก จริงๆ แล้วผมรู้สึกขอบคุณท่านจากใจจริง”
“ฉันรู้แล้ว เจ้าหนุ่มอย่างแกมีวิสัยทัศน์ รู้จักเหตุผล”
เซี่ยไห่มองผู้เฒ่าเฉิน บนใบหน้าปรากฏรอยความขมขื่นขึ้นมาแวบหนึ่ง
คำพูดที่คอยพร่ำสอนเขาทั้งหมด ควรจะเป็นสิ่งที่พ่อของเขาเป็นคนพูด แต่โชคร้ายที่ชีวิตเขาอาภัพ ตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยมีพ่อที่คอยสอนเรื่องพวกนี้
แต่ก่อนทุกครั้งที่ผู้เฒ่าเฉินแสดงสีหน้าเคร่งขรึมคอยตักเตือนเขา เขามักจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ และเกลียดท่าทางราวกับผู้ใหญ่ของชายชราผู้นี้
ต่อมาก็พบว่าจริงๆ แล้วคำสั่งสอนของผู้เฒ่าเฉินล้วนมีประโยชน์อย่างมาก
เขาฟังทุกอย่างที่ชายชราพูด
ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทที่ห้องเต้นรำเมื่อครั้งก่อน
ตอนนั้นเขาเกือบจะใช้ความรุนแรงเข้าหักหาญแล้วจริงๆ
ทั้งเขาและลู่เจิ้งอวี่ต่างก็ฝึกฝนวิชามาก่อน บวกกับพนักงานคนอื่นๆ ในร้าน การจะจัดการพวกอันธพาลนั่นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
แต่ตอนนั้นก็ยังคงยับยั้งชั่งใจไว้ได้
ไม่มีใครลงมือ
เพราะเขาจำได้ตลอดเวลาว่าตัวเองเคยเป็นทหาร
โจวลี่หรงชงชามาเสิร์ฟ เซี่ยไห่ยิ้มตาหยีพลางกล่าวขอบคุณแม่ยายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
คำว่าแม่ยายทำให้โจวลี่หรงดูอึดอัดใจอยู่บ้าง
“ฉันเรียกตามพี่ชายน่ะ” เซี่ยไห่กระแอมเบาๆ แล้วนั่งตัวตรง
“ตอนนี้พวกเราอยู่รุ่นเดียวกันแล้ว ฉันก็เป็นผู้ใหญ่ของเจียเหอด้วย ฉันต้องทำตัวให้น่าเคารพหน่อย”
เซี่ยไห่ดื่มชาหนึ่งถ้วย เห็นหลินเซี่ยให้นมลูกเสร็จแล้วอุ้มลูกออกมา เขารีบลุกเข้าไปหา
เขาเพิ่งยื่นมือออกไปก็รีบชักกลับ
มองโจวลี่หรงแล้วพูดว่า “เกือบโดนดุอีกแล้ว ฉันไปล้างมือก่อน”
เขาพูดจบก็ยิ้มๆ แล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำ
คุณย่าเฉินชอบนิสัยของเซี่ยไห่มาก นางส่ายหัวพลางยิ้ม “เจ้าเด็กนี่…”
โจวลี่หรงเห็นแบบนั้นก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า บรรยากาศในบ้านช่างผ่อนคลายและอบอุ่น
ดูสิ บรรยากาศตอนนี้กลมเกลียวมากขนาดไหน ก่อนหน้านี้หล่อนไม่รู้วิธีปรับตัว แถมยังชอบทำอะไรตรงไปตรงมาอีก
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จางเหมยหายไปแบบนี้คงจะคิดได้จริงๆ แล้วใช่ไหมนะ?
พอต่างฝ่ายต่างปรับตัวเข้าหากัน มันก็กลายเป็นบ้านอันสงบสุขได้แบบนี้แหละค่ะ
ไหหม่า(海馬)
………………..