ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 825 ไม่อาจใช้ความรุนแรงปราบปรามความรุนแรงได้
ตอนที่ 825 ไม่อาจใช้ความรุนแรงปราบปรามความรุนแรงได้
เซี่ยไห่รับเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของหลินเซี่ยมาอุ้มไว้ ดวงตาของเขาอ่อนโยนลง
“เสี่ยวหู่ จำฉันได้ไหม? ฉันคือปู่รองที่ร่ำรวยของเธอไง คนที่ยังดูหนุ่มไม่เหมือนคนรุ่นปู่น่ะ?”
ทุกคน “!!!”
เซี่ยไห่แนะนำตัวเองกับเด็กทารกในอ้อมแขนต่อไป “ฉันดูอ่อนกว่าวัยมาก เหมือนจะดูเด็กกว่าพ่อเธออีกนะ”
ดวงตาเป็นประกายของเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนจ้องมองไปที่เซี่ยไห่ หลังจากที่เขาพูดจบ เสี่ยวหู่ก็หัวเราะออกมา
เมื่อเห็นทารกในอ้อมแขนหัวเราะ เขาก็ยกเด็กขึ้นด้วยความดีใจ “เสี่ยวหู่เข้าใจที่ฉันพูดด้วยล่ะ เขากำลังตอบฉันอยู่”
หลินเซี่ยเสริมอยู่ด้านข้างอย่างไม่เกรงใจ “หรืออาจจะกำลังเยาะเย้ยคุณอยู่ก็ได้นะคะ”
เซี่ยไห่เหลือบมองหลินเซี่ย “อย่าขัดความสุขฉันน่า”
หลังจากพูดจบ เซี่ยไห่ก็อุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นสูง
“ถ้าหล่นลงไปจะทำยังไง?”
เสี่ยวหู่เป็นเด็กผู้ชาย แน่นอนว่าต้องใจกล้า แม้จะอายุแค่หกเดือน แต่ความกล้าหาญก็น่าทึ่ง ยิ่งถูกอุ้มขึ้นสูงก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ ส่งเสียงหัวเราะชอบใจไม่หยุด
แต่พอวางลงเท่านั้น เสี่ยวหู่ก็ร้องไห้จ้าเพราะความสนุกเมื่อครู่หายไป เซี่ยไห่จึงต้องอุ้มเขาขึ้นสูงอีกครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนแขนของเขาเริ่มเมื่อยล้า
เด็กน้อยที่สัมผัสได้ถึงความสุขบนที่สูงพอถูกวางลงก็ร้องไห้งอแง เซี่ยไห่จึงไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องอุ้มขึ้นอีกครั้ง
เซี่ยไห่เหนื่อยจนพูดไม่ออกจริงๆ
แต่เวลานี้ในบ้านมีแต่คนแก่กับเด็ก ไม่มีใครมาช่วยเขาได้เลย
ตอนแรกหลินเซี่ยกับโจวลี่หรงยังกลัวว่าเด็กจะตก แต่ผู้เฒ่าเฉินกลับบอกว่าเซี่ยไห่ เป็นทหารมาก่อน อุ้มเด็กหนักสิบกว่าชั่งไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ต้องกังวลไป
เด็กผู้ชายต้องเลี้ยงแบบปล่อย โตขึ้นถึงจะมีน้ำอดน้ำทน
ผู้เฒ่าเฉินมองเซี่ยไห่อย่างสนใจ ดูเหมือนอยากจะทดสอบกำลังแขนของเขา
เซี่ยไห่แทบจะร้องไห้
เป็นเถ้าแก่มาตั้งนาน แขนเขาไม่มีเรี่ยวแรงสักนิด จะไปอุ้มไหวได้อย่างไร
หลินเซี่ยเห็นลูกชายเอาแต่ร้องไห้อ้อน เลยรีบรับมาอุ้มไว้ “พอแล้ว มานี่แม่อุ้มเอง”
พอเด็กอยู่ในอ้อมแขนแม่ ถึงจะไม่ได้ถูกอุ้มสูง ๆ เขาก็ไม่ร้องไห้แล้ว
เซี่ยไห่แกว่งแขนไปมา แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางยิ้ม “เขาหนักกี่ชั่งเอง เด็กที่ตัวใหญ่กว่านี้ฉันก็อุ้มไหว”
เซี่ยไห่กำลังจะนั่งลง เฉินเจิ้นเจียงก็พาหู่จือที่เลิกเรียนแล้วกลับมาพอดี
เมื่อครู่ตอนที่หู่จือวิ่งเข้ามา เขาก็เห็นปู่รองกำลังอุ้มน้องชายขึ้นสูงแล้วส่งให้แม่ของเขา
แถมปู่รองยังบอกว่าอุ้มเด็กที่ตัวโตกว่านี้ไหว
ดังนั้นหู่จือจึงวิ่งเข้าไปกอดขาของเซี่ยไห่แล้วพูดว่า “ปู๋รอง ผมก็อยากให้ปู่อุ้มสูงๆ เหมือนกัน”
เซี่ยไห่ “!!!”
หู่จือกอดขาของเขาไว้ แหงนหน้ามองเขาด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม “ปู่รอง คุณอย่าลำเอียงเชียวนะ”
คำพูดนี้มีพลังทำลายล้างยิ่งนัก
สถานะของเด็กคนนี้ละเอียดอ่อนอยู่แล้ว
จะต้องไม่ให้เขารู้สึกว่าเขากับน้องชายถูกปฏิบัติต่างกัน
หลินเซี่ยอุ้มหู่จือไว้ มองเซี่ยไห่อย่างสบายอารมณ์ แล้วพูดเสริมว่า “อารอง คุณต้องวางตัวให้เท่าเทียมกันนะ”
คุณย่าเฉินค่อนข้างใจดี ตอนแรกก็อยากจะบอกว่าหู่จือโตขนาดนี้แล้ว ใครจะอุ้มไหว อย่าไปทำให้เซี่ยไห่ลำบากใจเลย
แต่นางก็เหลือบไปเห็นหลินเซี่ยกับพ่อเฒ่าของนางดูเหมือนจะตั้งตารอคอย
เห็นได้ชัดว่ากำลังรอดูเซี่ยไห่ขายหน้า
คุณย่าเฉินจึงได้แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น
เซี่ยไห่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจ ยกมือขึ้นอุ้มหู่จือ
เจ้าเด็กนี่มีน้ำหนักตั้งห้าสิบกว่าชั่ง เห็นๆ อยู่ว่าหนักมาก
เขาพยายามยกขึ้นสุดแรงจนแขนสั่นไปหมด
แขนของเซี่ยไห่สั่นจนหู่จือเองก็กลัวขึ้นมาเล็กน้อย ต้องรีบบอกให้เซี่ยไห่วางเขาลง
เฉินเจิ้นเจียงทักทายเซี่ยไห่
ผู้เฒ่าเฉินพูดพลางยิ้มว่า
“เสี่ยวเซี่ย มานี่สิ รีบมานั่งเถอะ วันนี้ปู่หลานเราต้องคุยกันให้ดี”
ผู้เฒ่าเฉินไม่มีทีท่าจะให้เซี่ยไห่ออกไป สีหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้ม อีกทั้งยังรินชาให้อย่างกระตือรือร้น บอกให้เขามานั่งฝั่งตรงข้าม เหมือนต้องการจะคุยกับเขา
เฉินเจิ้นเจียงถอดเสื้อหนาวออก แล้วนั่งลง
ผู้เฒ่าเฉินถามเซี่ยไห่ว่า “เสี่ยวเซี่ย ฉันได้ยินมาว่าห้องเต้นรำของเธอรับทหารปลดประจำการเข้าทำงานงั้นเหรอ นี่เรื่องจริงหรือเปล่า”
เซี่ยไห่เดาไม่ออกว่าผู้เฒ่าเฉินถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม
หรือผู้เฒ่าเฉินจะคิดว่าเขาพาทหารปลดประจำการเหล่านั้นไปทำงานที่ห้องเต้นรำจนทำให้พวกเขาเสียคน?
อยากจะติเตียนเขาอีกหรือ?
เขาจึงหันไปมองหลินเซี่ยอย่างขอความช่วยเหลือ
หลินเซี่ยรับรู้ถึงสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเซี่ยไห่ เธอจึงพูดว่า “คุณปู่คะ ฉันแค่มอบโอกาสในการทำงานให้กับเพื่อนทหารผ่านศึกที่ปลดประจำการแล้วไม่มีงานทำ ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันค่ะ ก่อนหน้านี้ตามสถานบันเทิงมักจะมีพวกอันธพาลมาสร้างความวุ่นวาย แต่หลังจากที่มีทหารผ่านศึกมาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ผู้คนที่มาเที่ยวสถานบันเทิงก็บอกว่ารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อก่อนพวกเขาปกป้องประเทศชาติในกองทัพ ตอนนี้พวกเขากลับเข้ามาสู่สังคม ก็ถือว่าเป็นการใช้ความสามารถของพวกเขาในการปกป้องประชาชน แถมยังได้เงินเดือนสูง เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยค่ะ”
ผู้เฒ่าเฉินสังเกตเห็นว่าเซี่ยไห่ดูประหม่า และหลินเซี่ยก็พยายามช่วยพูดแทน เขาจึงพูดขึ้นว่า “ฉันก็แค่เป็นห่วงเรื่องสวัสดิการและลักษณะงานประจำวันของพวกเขาน่ะ”
เขามองเซี่ยไห่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เสี่ยวเซี่ย อย่าได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เพียงเพราะพวกเราเป็นทหาร การข่มขู่ให้น่าเกรงขามนั้นเป็นเรื่องจำเป็น แต่ต้องจำไว้เสมอว่าห้ามใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงเด็ดขาด”
เซี่ยไห่พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย “คุณลุงเฉิน ผมจำได้ครับ”
ที่เขาจ้างทหารผ่านศึกมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เพื่อสร้างความน่าเกรงขาม ไม่ได้ตั้งใจให้ไปทะเลาะวิวาทกับใคร
เฉินเจิ้นเจียงพูดเสริมขึ้นมาว่า “สองปีมานี้บ้านเมืองไม่ค่อยสงบสุข มีแก๊งต่างๆ ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด แถมยังมีพวกเรียกเก็บค่าคุ้มครองเต็มไปหมด นายเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว”
เมื่อสังคมพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ย่อมต้องมีข้อเสียต่างๆ ตามมาเป็นธรรมดา
ได้ยินผู้เฒ่าเฉินพูด เซี่ยไห่ก็หัวเราะ
“คุณลุงเฉิน ผมรู้สึกว่าช่วงนี้คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะครับ เปิดกว้างขึ้น อ่อนโยนขึ้น ใจดีขึ้นเยอะเลย”
ผู้เฒ่าเฉินทำหน้าภูมิใจ “ฉันก็ต้องทำตัวตามยุคสมัยสักหน่อยสิ”
“ฮ่า ๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย เมื่อก่อนใคร ๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้คุณ เจอหน้าทีไรก็เป็นต้องเทศนาผม”
ผู้เฒ่าเฉิน “!!!”
หลังจากหลินเซี่ยบอกว่าจะพาลูกย้ายกลับไปอยู่บ้านตัวเอง สองผู้เฒ่าตระกูลเฉินและโจวลี่หรงต่างก็ไม่ค่อยเห็นด้วย
“แม่ ฉันพาหลาน ๆ ย้ายไปอยู่ด้วยนะคะ จะได้สะดวกเวลาไปทำงานและไปโรงเรียน ทั้งเฉินเจียเหอและหู่จือจะได้นอนเต็มอิ่ม ส่วนพ่อก็ไม่ต้องอ้อมไปส่งเสี่ยวหู่”
ถ้าไม่ต้องไปส่งหู่จือในตอนเช้า คุณพ่อสามีของเธอจะได้เลือกทางลัด ประหยัดเวลาไปได้เยอะ อากาศหนาว ๆ แบบนี้ ลดเวลาขี่จักรยานลงได้ก็เท่ากับหนาวน้อยลง
ทุกคนต่างเห็นกันอยู่ว่าช่วงนี้คุณพ่อสามีของเธอต้องขี่จักรยานอ้อมโลกไปส่งหู่จือทุกวัน
ตอนนี้เธอไม่ค่อยยุ่งแล้ว เริ่มมีเวลาดูแลลูก และแน่นอนว่าเธอหวังว่าเฉินเจียเหอและพวกเขาจะได้ลำบากน้อยลง
“ช่วงนี้พวกคุณคงเหนื่อยแย่ที่ช่วยดูแลลูก ๆ แทนฉัน พวกคุณพักผ่อนสักพักหนึ่งเถอะค่ะ รอฉันยุ่งเมื่อไหร่ พวกเราค่อยย้ายกลับมา เลี้ยงเด็กตลอดเวลาทุกคนคงเหนื่อยแย่”
โจวลี่หรงยิ้ม “พวกเราไม่เหนื่อยหรอก”
“ให้พวกเขากลับไปเถอะ เจียเหอมักจะกลับดึกอยู่แล้ว ย้ายไปอยู่บ้านพักพนักงานน่าจะสะดวกกว่า”
หลังจากคุณย่าเฉินเอ่ย โจวลี่หรงกับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลินเซี่ยเก็บข้าวของสำหรับเด็ก คิดว่าจะขนกลับขึ้นรถไปด้วยในขณะที่เซี่ยไห่อยู่ที่นี่
โจวลี่หรงเป็นกังวลและวางแผนว่าจะติดตามพวกเขาไปด้วย หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา
หู่จืออยู่กับโจวลี่หรงและคนอื่นๆ จนชิน เขาเดินเข้าไปเก็บข้าวของของตัวเองในห้องคุณย่า ก่อนมองคู่ปู่ทวดและคุณย่าทวดด้วยความอาลัย “คุณปู่ทวด คุณย่าทวด อีกไม่กี่วันผมจะกลับมาอีกนะครับ”
“ได้จ้ะ รีบไปเถอะ”
เสี่ยวหู่มองปู่ด้วยความอาลัย ก่อนจะสะพายกระเป๋าออกไป
พอเห็นภาพนี้ สีหน้าของเฉินเจียวั่งก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
เขาเผลอสังเกตสีหน้าของหลินเซี่ยโดยไม่รู้ตัว
หรือว่าเธอจะทะเลาะกับแม่จนต้องหนีออกจากบ้าน?
“น้องสามกลับมาแล้วเหรอ?” หลินเซี่ยเห็นเฉินเจียวั่งก็รีบอธิบายกับเขาว่า “พวกเรากำลังจะย้ายบ้านน่ะ”
พูดจบเธอก็หันไปบอกลูกชายว่า “หู่จือ บอกลาอาสามเร็วลูก”
“ลาก่อนฮะอาสาม”
เฉินเจียวั่งถามอย่างลองเชิงว่า “ทำไมถึงย้ายบ้านกะทันหันแบบนี้ล่ะ พวกพี่…”
เขามองเข้าไปในบ้าน
ความหมายชัดเจนอยู่ในที
หลินเซี่ยจะไม่เข้าใจความหมายของเฉินเจียวั่งได้อย่างไร
เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรง ๆ แต่หันไปตะโกนอย่างอ่อนโยนเข้าไปในบ้าน “แม่คะ เสร็จหรือยัง?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นะ ไม่ต้องกลัวว่าพี่สะใภ้จะไม่ลงรอยกับแม่แล้ว
ไหหม่า(海馬)