ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 828 คว้าใจไม่ได้ กระทั่งตัวคนก็รั้งไว้ไม่ได้
ตอนที่ 828 คว้าใจไม่ได้ กระทั่งตัวคนก็รั้งไว้ไม่ได้
พอหลี่เหม่ยเฟิ่งถามหลินเซี่ยถึงเรื่องของจางซ่วน หลินเซี่ยก็กระจ่างใจ
รู้ว่าหลี่เหม่ยเฟิ่งหมายความว่าอย่างไร
เธอตอบกลับ “คุณยายหลี่ จางซ่วนเขาเป็นคนดีมาก ๆ ค่ะ เขาเก่งมาก”
“ได้ยินมาว่าเขาเคยทำงานที่สำนักพิมพ์ ตอนนี้นอกจากร้านของพวกเธอแล้ว เขายังทำงานอย่างอื่นอีกไหม? แล้วเธอคิดว่าเขามีอนาคตไหม?” หลี่เหม่ยเฟิ่งลอบมองเย่เจิ้งหัว แล้วจึงถามหลินเซี่ยเสียงเบา
ลูกสาวของหล่อนเป็นถึงครูสอนดนตรีระดับมัธยมปลาย หากได้แฟนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐก็พอทำเนา แต่ถ้าเขาไม่มีแม้กระทั่งการงานที่มั่นคงสักอย่าง เรื่องนี้ก็คงไม่อาจยอมรับได้
เท่ากับว่าชีวิตในอนาคตจะไม่มีหลักประกัน
แม้งานที่ร้านถ่ายภาพแต่งงานของหลินเซี่ยจะมีผลตอบแทนที่ดี แต่ก็ไม่ได้มีงานเข้ามาทุกวัน
ท่าทางที่ดูเหมือนคนว่างงานสร้างความกังวลให้คนที่ได้เห็น
“เขากำลังงานชุกเลยค่ะ ตอนนี้ถือว่ามีชื่อเสียงในวงการอยู่พอสมควร เคยได้ถ่ายภาพให้นิตยสารหลายฉบับ แถมกองถ่ายละครที่อาหญิงของฉันแสดงเมื่อครึ่งปีก่อนก็จ้างเขาไปถ่ายภาพนิ่งด้วย แม้ตอนนี้จะยังมีประสบการณ์ในวงการไม่มากนัก แต่เขามีพรสวรรค์ด้านการถ่ายภาพมาก และสไตล์การถ่ายภาพของเขาก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้กำกับหลายคนชื่นชมเขามาก เพียงแต่เขาเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ไม่เก่งเรื่องการเข้าสังคม ในฐานะที่เขาเป็นพนักงานของฉัน ฉันก็พยายามแนะนำทรัพยากรงานให้เขาอย่างเต็มที่ ต่อไปเขาจะต้องมีอนาคตไกลในวงการนี้อย่างแน่นอน คุณก็เห็นแล้วว่าตอนนี้สังคมพัฒนาไปมาก โดยเฉพาะด้านบันเทิงและวัฒนธรรมที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แค่มีความสามารถก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกกระป๋องแล้วล่ะค่ะ”
จางซ่วนในชาติก่อนก็เป็นช่างภาพที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
เขายังเป็นช่างภาพประจำตัวของดาราหลายคนด้วย
ทำงานให้กับนิตยสารชั้นนำระดับประเทศ ภาพที่เขาถ่ายออกมาล้วนเป็นที่นิยมอย่างมาก
ส่วนเรื่องส่วนตัวของเขาในชาติก่อน เธอไม่รู้แจ้งชัด
พอหลินเซี่ยพูดจบ หลี่เหม่ยเฟิ่งก็ส่งเสียงอุทานอย่างครุ่นคิด ราวกับเข้าใจคนคนนี้ลึกซึ้งขึ้นอีกระดับ
จริงอยู่ที่ว่าถ้ามีความสามารถก็ไม่ต้องกลัวตกกระป๋อง
สิ่งสำคัญคือต้องมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวหน้า
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าเย่ของหล่อนในตอนนี้ก็นับเป็นปรมาจารย์ในวงการศิลปะและวรรณกรรม ถ้าจางซ่วนเก่งกาจอย่างที่หลินเซี่ยบรรยายจริง ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานทำ
หลี่เหม่ยเฟิ่งต้องคอยดูแลแม่ยายเลยไม่มีเวลาทำอาหาร อีกทั้งยังไม่มั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเอง หล่อนจึงสั่งอาหารจานเด็ดมากมายจากร้านอาหารภายนอกมาเป็นพิเศษ
พนักงานของร้านคุ้นเคยกับบ้านของพวกเขาเป็นอย่างดี ในช่วงเวลาอาหารกลางวัน พนักงานสองคนก็ได้นำอาหารมาส่งถึงที่เป็นพิเศษ
เย่เจิ้งหัวหยิบเหล้าชั้นดีที่เขาเสียดายจะดื่มออกมา และต้อนรับญาติทางฝ่ายเซี่ยอวี่อย่างอบอุ่น
ครั้นคุณแม่เซี่ยเห็นเซี่ยอวี่เข้ากันได้กับครอบครัวของเย่ไป๋อย่างกลมกลืนเช่นนี้ นางก็รู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด
ในอดีต ลูกสาวของนางทั้งอารมณ์ร้ายและขี้เกียจจนกลัวว่าจะขายไม่ออก ทั้งยังกังวลว่าหากแต่งงานไปแล้ว ลูกสาวจะไม่สามารถเข้ากับครอบครัวสามีได้เพราะนิสัยเสียเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
ทุกครั้งที่นางมีความกังวลเช่นนี้ เซี่ยอวี่มักจะนอนเอกเขนกบนโซฟาแล้วพูดว่า “ใครจะแต่งงานกับดาราดังแล้วพาไปทำงานบ้านกันล่ะ?”
พวกเถ้าแก่ใหญ่ในฮ่องกงอยากจะแต่งงานกับหล่อนแล้วทูนขึ้นไว้บนหิ้งเสียด้วยซ้ำ
คุณแม่เซี่ยเพิ่งพบว่าความคิดของตัวเองล้าสมัยไปแล้วจริงๆ
นางมักจะใช้มาตรฐานในยุคสมัยของตัวเองมาตัดสินพวกเขาเสมอ
และมองข้ามสถานะของผู้หญิงในปัจจุบันที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับยุคสมัยของพวกเขา
ลูกสาวและหลานสาวของนางล้วนเป็นผู้หญิงเก่งที่มีอาชีพการงาน มีความสามารถทางเศรษฐกิจที่จะเลี้ยงดูตัวเอง พวกเธอมีความมั่นใจเพียงพอ และไม่จำเป็นต้องมีทักษะงานบ้านอย่างที่แม่บ้านแบบดั้งเดิมต้องมี
พวกเธอสามารถหาเงินได้ แค่จ้างแม่บ้านก็แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง
ไม่เหมือนยุคสมัยของพวกนางที่ผู้หญิงไม่มีทักษะอื่น ไม่มีความสามารถในการหาเงินเลี้ยงครอบครัว หากต้องการมีชีวิตอยู่ก็ต้องพึ่งพาผู้ชาย
ถ้าไม่ขยันก็อาจจะถูกส่งกลับบ้านแม่ตัวเองได้
คุณแม่เซี่ยคิดถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก นางใช้ชีวิตอย่างขยันขันแข็งและเรียบง่ายมาตลอดชีวิต
สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถรักษาหัวใจของคนคนนั้นไว้ได้ แม้แต่ตัวคนก็ยังรักษาไว้ไม่ได้
ตอนนี้เมื่อเห็นลูกสาว ลูกชาย และหลานสาวมีความสุขเช่นนี้ มันก็พอปลอบประโลมจิตใจของนางได้บ้าง
หลังจากรับประทานอาหารที่บ้านตระกูลเย่เสร็จแล้ว คุณแม่เซี่ยก็นั่งคุยกับเย่เจิ้งหัวและคนอื่นๆ ในห้องรับแขก เปิดโอกาสให้เฉินเจียเหอกับเย่ไป๋ได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งเย่ไป๋กำลังขอคำแนะนำจากเฉินเจียเหอและให้เขาถ่ายทอดประสบการณ์การเป็นพ่อ
เฉินเจียเหอกอดลูกชายไว้ในอ้อมแขน แล้วเริ่มสอนวิธีการเลี้ยงดูเด็กให้กับเย่ไป๋
นี่คือห้องหอของเซี่ยอวี่และเย่ไป๋ หลินเซี่ยเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งตอนที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานกัน คราวนี้เมื่อมาอีกครั้ง เธอพบว่าในห้องมีของใช้หายากในยุคนี้เพิ่มขึ้นมากมาย
มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศด้วย
ยังมีตู้เสื้อผ้าแบบประกอบใหม่ ทั้งหมดล้วนดูทันสมัยและสวยงามมาก
“นั่งลงเถอะ มีเรื่องอะไรที่ต้องการปรึกษาฉันเหรอ เป็นเรื่องการสร้างโรงเรียนใช่หรือเปล่า? เรื่องนี้ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนะ”
หลินเซี่ยนั่งลงบนโซฟาและมองเซี่ยอวี่ สีหน้าเธอดูเกรงใจและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากพูด “อาหญิง มันเป็นเรื่องการสร้างโรงเรียนจริงๆ ค่ะ”
“ตอนที่ฉันยืมเงินอาเมื่อปีที่แล้ว ฉันบอกว่าจะคืนเงินให้คุณเมื่อฉันหาเงินได้ในปีนี้ใช่ไหมคะ เถ้าแก่อู๋อาจจะมาให้เงินฉันกับอารองในอีกสองสามวันนี้ ตอนแรกฉันตั้งใจจะคืนเงินให้คุณ
แต่ตอนนี้ฉันวางแผนจะเปิดโรงเรียนสอนเสริมสวย ดังนั้นฉันจึงอยากใช้เงินก้อนนี้ก่อน แล้วค่อยคืนให้คุณปีหน้า”
หลินเซี่ยพูดถึงตรงนี้ แล้วมองเซี่ยอวี่ด้วยน้ำเสียงจริงใจ “แน่นอนว่าถ้าคุณต้องการใช้เงิน ฉันก็คืนให้คุณตอนนี้ได้ พ่อสามีของฉันบอกว่าถ้าอยากได้เงินทุนในการสร้างโรงเรียน เขาจะช่วยฉันขอสินเชื่อให้”
เซี่ยอวี่นั่งอยู่ตรงนั้น มองดูหลินเซี่ยที่พูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวังและสุภาพมาก จึงกลอกตาพลางพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ดูเธอสิ จะดูถูกฉันเกินไปแล้วนะ ถึงฉันจะต้องการเงินด่วนก็ไม่มีทางมาขอเงินแค่สามแสนจากเธอหรอก ฉันเล่นละครมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่ได้ขัดสนเงินทองขนาดนั้น”
จริงสิ คนเราเปรียบเทียบกันไม่ได้จริงๆ
เซี่ยอวี่ได้ผ่านการต่อสู้ดิ้นรนในวงการนั้นมาเกือบยี่สิบปี จากน้ำเสียงของหล่อนก็ดูเหมือนว่าหล่อนได้สั่งสมทรัพย์สินไว้มากมาย
จำนวนเงินสามแสนหยวนนั้นมากพอจะทำให้คนธรรมดาตกใจตาย แต่หล่อนกลับไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
หลินเซี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “อาหญิง งั้นฉันขอยังไม่คืนเงินให้คุณนะคะ ฉันจะเอาไปสร้างโรงเรียนก่อน พอปีหน้าฉันมีเงินคล่องมือ ฉันจะคืนให้อาหญิงทั้งต้นทั้งดอกเลยค่ะ”
เซี่ยอวี่โบกมือด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ พูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “โอ๊ย พอเถอะ ๆ ฉันไม่ได้คิดจะเอาเงินนั่นคืนหรอก เธอมีความกล้าแบบนี้ไม่บ่อยนัก ฉันสนับสนุนเธอเต็มที่ที่จะทำธุรกิจ ถือโอกาสตอนที่ยังหนุ่มสาวลุยให้เต็มที่เลย ถ้าล้มเหลวฉันจะคอยรองรับเธอเอง”
การมีอาหญิงที่เป็นดาราชื่อดังและมีฐานะมั่งคั่งคอยหนุนหลัง ทำให้หลินเซี่ยมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
แน่นอนว่าเธอก็เชื่อมั่นในความสามารถและวิสัยทัศน์ของตัวเอง ในยุคสมัยนี้ เพียงแค่กล้าที่จะบุกเบิกและลงมือทำ มีความกล้าหาญและความสามารถ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
เซี่ยอวี่ถามเธอว่า
“เธอมีเงินติดตัวไหม? โรงเรียนนี้จะต้องใช้เงินทุนประมาณเท่าไหร่ในการสร้าง?”
หล่อนคาดเดาว่าสามแสนหยวนคงไม่พอ
“ถ้าเธอไม่มีเงินก็บอกมาสิ ฉันร่วมลงทุนเป็นหุ้นส่วนได้ แล้วในอนาคตก็นั่งรอรับเงินส่วนแบ่ง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยอวี่ หลินเซี่ยมองหล่อนด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ “อาหญิง พูดจริงหรือคะ?”
เซี่ยอวี่พยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าจริง หลังจากที่ฉันมีลูกแล้วก็คงรับงานแสดงได้ไม่บ่อยแล้วล่ะ พูดตามตรง อายุของฉันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กำลังจะเข้าสู่ช่วงที่ลำบากใจ บทละครที่น่าพอใจก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ฉันต้องหาอาชีพเสริม เพื่อให้แน่ใจว่าหลังเกษียณแล้วยังมีเงินเข้ามา ฉันยังต้องเลี้ยงลูกนะ”
หลินเซี่ยเห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดของเซี่ยอวี่ และเสนอความคิด “อาหญิงพูดถูกค่ะ เอาเงินที่เหลือมาลงทุน แล้วพอว่างๆ เราสองคนไปเล่นหุ้นกัน”
“เลิกพูดเถอะ เธอยังจะไปเล่นหุ้นอีกหรือ อย่าเอาเงินเก็บของฉันไปเสียหมดล่ะ ฉันไม่แตะต้องของพวกนั้นหรอกนะ”
หลินเซี่ยกลับมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ถ้าคุณลงทุนหุ้นตามฉัน รับรองว่าจะไม่มีทางขาดทุนแน่นอน”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คุณแม่เซี่ยสบายใจได้แล้วนะคะ ผู้หญิงยุคใหม่เอาตัวรอดเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายเป็นหลักแล้วค่ะ
ต่อให้รู้อนาคตว่าหุ้นตัวไหนรุ่งก็ต้องระวังไว้นะเซี่ยเซี่ย
ไหหม่า(海馬)