ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 829 ปากด่า แต่ร่างกายกลับซื่อตรง
ตอนที่ 829 ปากด่า แต่ร่างกายกลับซื่อตรง
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลินเซี่ยได้รับโทรศัพท์จากอู๋เซิ่งหงว่าเขากำลังจะขึ้นเครื่องบินมาเมืองไห่เฉิงเพื่อคุยกับพวกเขาเรื่องเงินส่วนแบ่ง
เรื่องนี้ทำให้หลินเซี่ยตื่นเต้นจนแทบไม่ได้นอนทั้งคืน
แม้เธอจะเปิดร้านทำธุรกิจและหาเงินได้บ้างหลังจากเกิดใหม่ แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้รับเงินส่วนแบ่งจากคนอื่น
นี่เป็นครั้งแรกในยุคนี้ที่เธอได้เงินจากการเกาะรถของคนใหญ่คนโต
ต่อให้จะยืมเงินทุนมาจากเซี่ยอวี่ก็ตาม
เท่ากับว่าเธอแค่ขยับปากพูดนิดหน่อย ก็ได้เงินมาเลย
บางครั้งตัวเลือกก็สำคัญกว่าความพยายามจริงๆ
แค่เลือกนักลงทุนรายเก่าที่น่าเชื่อถือถูกต้อง ก็สามารถนั่งรอรับเงินได้เลย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นใหม่เรียกว่า “เสือนอนกิน” หรอกหรือ?
หลินเซี่ยนอนอยู่บนเตียง นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็หัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น
เธอพยายามด้วยตัวเองก็จริง แต่ความรู้สึกที่ได้หาเงินร่วมกับผู้ยิ่งใหญ่นั้นมันช่างสุดยอดเหลือเกิน
เฉินเจียเหอที่จู่ๆ ได้ยินเสียงหัวเราะของภรรยาในความมืดถึงกับขยับเข้าไปใกล้ๆ เธอ โอบร่างเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน จูบที่มุมปากของเธอแล้วถามว่า “เด็กโง่ หัวเราะเรื่องอะไรอยู่เหรอ?”
หลินเซี่ยซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นได้ “พรุ่งนี้เถ้าแก่อู๋จะมาแล้ว ฉันเลยรู้สึกดีใจน่ะ”
เฉินเจียเหอแก้ไขเธอว่า “คุณดีใจไม่ใช่เพราะเถ้าแก่อู๋มา แต่เป็นเพราะเงินของคุณกำลังจะมาต่างหากล่ะ”
หลินเซี่ยหัวเราะคิกคัก “คุณนี่รู้จักฉันดีจริงๆ”
“ยัยขี้งก”
เฉินเจียเหอโอบเธอไว้ มองขึ้นไปที่เพดาน พูดออกมาจากใจจริงว่า “ที่รัก ผมชื่นชมคุณจริงๆ ที่มีความกล้าหาญขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนกับอู๋เซิ่งหงเมื่อปีที่แล้ว หรือการเปิดชั้นเรียนอบรมในภายหลัง จนถึงตอนนี้ที่จะสร้างโรงเรียน ผมชื่นชมความสามารถของคุณจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ ในหัวคุณบรรจุอะไรไว้กันแน่? พ่อแม่คุณก็ไม่ใช่คนที่มีความทะเยอทะยานอะไรมากนัก แต่ทำไมถึงมีลูกสาวที่มีหัวทางธุรกิจขนาดนี้ล่ะ?”
ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ เท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้วความสามารถเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวของเธอมากนัก แต่เป็นสิ่งที่เธอสั่งสมมาเกือบยี่สิบปีในชาติก่อน
หลินเซี่ยลูบหน้าอกของเขาพลางพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “อารองของฉันก็ทำธุรกิจไม่ใช่หรือ? พวกเราตระกูลเซี่ยมีใครที่ขี้ขลาดบ้างไหมล่ะคะ?”
“นั่นสินะ”
หลินเซี่ยนอนอยู่ในอ้อมกอดของเฉินเจียเหอ เอามือลูบอกเขาอย่างมีความสุข ยิ่งคิดถึงอนาคตก็ยิ่งรู้สึกเต็มไปด้วยความคาดหวัง
การที่เธอได้เกิดใหม่ในยุคนี้ นับว่าโชคดีอย่างยิ่ง
เธอได้ครอบครองทั้งคนรัก ครอบครัว และอาชีพการงานที่กำลังรุ่งเรือง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ชาตินี้เธอได้มีคุณสมบัติของการเป็นแม่
ได้ตั้งครรภ์ลูกในไส้ที่เกิดจากเธอและเฉินเจียเหอ
ไม่ต้องเลี้ยงลูกให้ศัตรูอีกต่อไป
พูดถึงศัตรู หลินเซี่ยก็นึกถึงเด็กปีศาจตนนั้นโดยไม่รู้ตัว
เซี่ยหลานบอกว่าตระกูลหลิวเคยส่งมาครั้งหนึ่ง แต่หล่อนไล่กลับไป
หลังจากนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย
หลินเซี่ยมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิด
หลิวจื้อหมิงได้เข้าไปพัวพันกับพี่สาวของผู้นำ และอีกฝ่ายก็ตั้งครรภ์แล้ว พวกเขาคงไม่มีทางยอมให้หลิวจื้อหมิงมีลูกสาวอยู่ที่บ้านแน่นอน
ปีศาจน้อยคงไม่ถูกพวกเขาบีบคอจนตายหรอกนะ?
มุมปากของหลินเซี่ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา ถ้าตายไปก็น่าเสียดายนะ
ยัยเด็กเปรตนั่นมาพร้อมกับความทรงจำชาติก่อนเสียด้วยสิ
เธอกำลังคาดหวังว่าเมื่อปีศาจน้อยโตขึ้นแล้วจะได้ประมือกับเธออย่างสนุกสนานอยู่เลย
พูดถึงคนที่หายไป หลินเซี่ยก็นึกถึงจางเหมย
“เฉินเจียเหอ ทำไมจางเหมยถึงไม่ปรากฏตัวอีกเลยล่ะ?”
หลินเซี่ยเคยถามเซี่ยไห่ครั้งก่อน แต่ไม่ได้คำตอบอะไร คราวนี้มานึกขึ้นได้ เธอจึงถามเฉินเจียเหอดู
“พอคุณพูดแบบนี้ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าหล่อนเหมือนจะไม่ได้มาเยี่ยมหู่จือนานมากแล้ว”
หากหลินเซี่ยไม่พูดถึง เฉินเจียเหอก็แทบจะนึกไม่ออกว่าจางเหมยเป็นใคร
หลินเซี่ยคำนวณเวลาแล้วเริ่มรู้สึกกังวล “คุณคิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหล่อนหรือเปล่า? นี่ก็ผ่านมาสามเดือนกว่าแล้วนะ?”
เฉินเจียเหอไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก “อย่าไปสนใจเลย ถ้าต่อไปหล่อนมา ก็ให้พบกับหู่จือ ถ้าไม่มาก็ช่างเถอะ พวกเราไม่มีเรี่ยวแรงจะไปสืบหาว่าเธออยู่ที่ไหนหรอก”
เฉินเจียเหอรู้สึกรังเกียจผู้หญิงอย่างจางเหมยจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ
หลินเซี่ยเสนอว่า “ฉันคิดว่าเราควรไปถามที่ทำงานของหล่อนดีกว่า ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นแม่แท้ๆ ของหู่จือ หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ต่อไปเราก็จะอธิบายให้หู่จือเข้าใจได้ยาก”
แม้ว่าหลินเซี่ยจะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นและรังเกียจพฤติกรรมในอดีตของหล่อน แต่ถ้าในเมืองไห่เฉิงไม่มีญาติของจางเหมยคนอื่นๆ หากเกิดเรื่องกับหล่อนขึ้นมาจริงก็จะไม่มีใครดูแล
ในอนาคต เมื่อต้องเล่าเรื่องราวชีวิตให้หู่จือฟัง ถ้าเขาถามถึงแม่ของเขา พวกเขาจะตอบอย่างไร?
เพื่อไม่ให้ทุกคนต้องเสียใจในภายหลังก็ควรไปสอบถามดู
เคยเป็นภรรยาของผู้บังคับกองร้อยของพวกเขา
และเป็นแม่แท้ๆ ของหู่จือ
เฉินเจียเหอหาวพลางตอบรับว่า
“ได้ พรุ่งนี้ผมจะโทรหาถังจวิ้นเฟิงให้เขาไปสืบดู”
ในบรรดาสหายพี่น้องทั้งหมดของพวกเขา ดูเหมือนว่ามีแค่ถังจวิ้นเฟิงเท่านั้นที่มีท่าทีดีต่อจางเหมย
ถังจวิ้นเฟิงอาจจะเคยเห็นคดีแปลกๆ มามากมายจนเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เขาจึงสามารถรับมือกับทุกคนได้อย่างสงบนิ่ง
เขาปฏิบัติต่อจางเหมยด้วยความสุภาพมากเช่นกัน
เฉินเจียเหอยอมรับว่าตัวเขาเองทำไม่ได้แบบนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากหลินเซี่ยทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้ว เธอก็รอให้เซี่ยไห่ไปรับอู๋เซิ่งหงมา
อู๋เซิ่งหงในตอนนี้ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีของพวกเขา สำหรับหลินเซี่ยแล้ว เขาเหมือนผู้อาวุโสคนหนึ่ง
พอดีเฉินเจียเหอมีเวลาว่างครึ่งวัน หลังคำนึงว่าการพาลูกออกไปกินข้าวนอกบ้านจะทำให้ลูกป่วยจากความหนาวเย็น จึงตัดสินใจลงมือทำอาหารเองเพื่อต้อนรับแขกที่มาจากแดนไกล
ประมาณสิบโมงครึ่ง เสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากทางเดิน
หลินเซี่ยรีบไปเปิดประตูด้วยความยินดี
พอเปิดประตู เซี่ยไห่กับอู๋เซิ่งหงก็เดินขึ้นบันไดมาถึงหน้าประตูพอดี
“เสี่ยวหลิน” อู๋เซิ่งหงเห็นหลินเซี่ยที่เปิดประตู ก็เรียกด้วยความเป็นกันเองมาก
“เถ้าแก่อู๋ คงเหนื่อยจากการเดินทางแย่เลยนะคะ เชิญเข้ามาก่อนค่ะ”
สายตาของหลินเซี่ยอยู่ที่อู๋เซิ่งหง ดูเหมือนจะประหลาดใจอยู่บ้าง
เซี่ยไห่พูดพลางยิ้มว่า “เซี่ยเซี่ย เห็นลุงอู๋ใส่เสื้อผ้าใหม่แล้วรู้สึกไม่คุ้นตาใช่ไหม?”
ใช่แล้ว ในที่สุดอู๋เซิ่งหงก็เลิกใส่ชุดจงซานเก่าๆ ที่ใส่มาหลายปีเสียที
เขาสวมแจ็คเก็ตสีดำใหม่เอี่ยม สวมรองเท้ากีฬา
เรียกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทั้งตัวเลยทีเดียว
อู๋เซิ่งหงเพิ่งเข้ามา เฉินเจียเหอที่สวมผ้ากันเปื้อนก็เดินออกมาจากครัวเพื่อทักทายเขา
“เสี่ยวเฉิน นายไม่ได้ไปทำงานเหรอ?” อู๋เซิ่งหงถามพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นเฉินเจียเหอ
“เถ้าแก่อู๋ เชิญนั่งครับ” เฉินเจียเหอเอ่ยปาก “วันนี้ผมหยุดครึ่งวันครับ”
หลินเซี่ยพูดอย่างยิ้มแย้ม “เขาตั้งใจหยุดอยู่บ้านเพื่อต้อนรับคุณโดยเฉพาะน่ะค่ะ”
“หึ ช่างกระตือรือร้นเสียจริง”
เซี่ยไห่กลอกตาขณะมองชายร่างสูงใหญ่สวมผ้ากันเปื้อนที่ดูไม่พอดีตัวผู้ยืนอยู่ตรงนั้น
เขายังไม่เคยทำอาหารให้ตนโดยเฉพาะเลย
เป็นเพราะอู๋เซิ่งหงทำเงินให้พวกเขา ถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้
ไอ้พวกหน้าเงินเอ๊ย
เฉินเจียเหอสบตากับสายตาอันเยือกเย็นของเซี่ยไห่ เขาจึงพูดว่า “อารอง เข้ามาช่วยปอกกระเทียมหน่อย”
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะพูดว่า “มองอะไร รีบเข้ามาทำงานเร็วเข้า”
ตอนนี้เขาจำได้ตลอดเวลาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโส จึงต้องพูดจาด้วยความเคารพ
เซี่ยไห่แค่นเสียงอย่างเย็นชา เดิมทีตั้งใจจะโต้ตอบเขาสักประโยค แต่กลับวางกระเป๋าหนังใบเล็กในมือลงโดยอัตโนมัติ แล้วเดินตามเข้าไปอย่างซื่อตรง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เซี่ยเซี่ยอย่าไปคาดหวังอะไรกับยัยเด็กนั่นเลยค่ะ เดี๋ยวชีวิตชาตินี้ก็ได้วุ่นวายเพราะยัยเด็กนั่นสมใจอยากหรอก ตัดอะไรแล้วก็ตัดให้ขาดไปเลยไม่ต้องอาวรณ์
พี่ไห่ได้ทีข่มพี่เหอเลยสินะ
ไหหม่า(海馬)