ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 830 มาร่ำรวยด้วยกัน
ตอนที่ 830 มาร่ำรวยด้วยกัน
เมื่ออู๋เซิ่งหงเห็นเสี่ยวหู่เป็นครั้งแรก เขาก็มองเด็กน้อยที่นั่งอยู่ในรถเข็นเด็กด้วยสายตาเอ็นดู แล้วทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สวัสดีจ้ะเสี่ยวหู่ ฉันคือคุณปู่อู๋ของหนู”
แถมยังควักซองอั่งเปาออกมาเป็นของรับขวัญอย่างใจป้ำ
หลินเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ มองอู๋เซิ่งหงผู้ใจกว้างเช่นนี้แล้วก็รีบเอ่ยปากปฏิเสธอย่างสุภาพ “เถ้าแก่อู๋ ครั้งที่แล้วคุณก็เพิ่งให้มา อย่าให้อีกเลยค่ะ พวกเราเกรงใจจะแย่”
“มีอะไรต้องเกรงใจด้วย? ฉันเพิ่งเจอเด็กเป็นครั้งแรก จะมามือเปล่าได้ยังไง?” อู๋เซิ่งหงยัดซองอั่งเปาใส่มือเสี่ยวหู่ เสี่ยวหู่รับไว้แล้วเล่นสองสามทีก่อนจะเอาเข้าปาก ทำให้หลินเซี่ยรีบคว้ามันออกจากมือเขา
“เสี่ยวหู่ อันนี้กินไม่ได้นะ”
พอหลินเซี่ยหยิบซองอั่งเปาขึ้นมา เสี่ยวหู่ก็ร้องไห้โฮออกมาทันที แล้วยื่นมือทั้งสองข้างพยายามคว้าซองเงินในมือของเธอ
หลินเซี่ยยัดของเล่นใส่มือเขา แต่เขากลับโยนทิ้งทันที ดวงตาจ้องเป๋งยังซองอั่งเปาในมือของเธอ พร้อมกับยื่นมือน้อยๆ พยายามคว้า
เซี่ยไห่ถือครกบดกระเทียมขนาดจิ๋วเดินออกมาจากครัว เดินไปด้วยบดไปด้วย เมื่อเห็นเสี่ยวหู่กำลังยื่นมือน้อยๆ พยายามคว้าซองอั่งเปา เขาก็พูดว่า “เด็กคนนี้ต่อไปคงเป็นคนบ้าเงินเหมือนเธอแน่ๆ เลย”
เธอจำต้องมอบซองอั่งเปาให้เสี่ยวหู่อีกครั้ง
อู๋เซิ่งหงชอบเด็กมาก เขาดึงเก้าอี้มานั่งหน้ารถเข็นเด็ก แล้วหยิบกลองป๋องแป๋งมาเล่นกับเสี่ยวหู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กน้อยเอาซองอั่งเปาเข้าปากอีก
“เหล่าอู๋ นายนั่งตรงนั้นดูเหมือนคุณปู่เลยนะ” เซี่ยไห่มองอู๋เซิ่งหงที่กำลังก้มตัวเล่นกับเด็กแล้วพูดล้อเลียนอย่างขบขัน
อู๋เซิ่งหงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง “แน่นอนว่าฉันต้องดูเหมือนคุณปู่มากกว่านายอยู่แล้ว ดูนายสิ ไม่เหมือนคนรุ่นคุณปู่เลย กระทั่งคำว่าลุงก็ยังดูหนุ่มเกินไป”
“จริงไหมล่ะ เสี่ยวหู่”
เซี่ยไห่ “!!!”
ไอ้คุณเหล่าอู๋นี่เริ่มพูดจาประชดประชันเป็นแล้วสินะ
เฉินเจียเหอจัดเตรียมอาหารหลายอย่างไว้บนโต๊ะ เมื่อได้ยินหลินเซี่ยบอกว่าอู๋เซิ่งหงชอบกินอาหารประเภทแป้ง เขาจึงเตรียมเส้นหมี่ขาวเป็นอาหารหลัก
เมื่อวานนี้เซี่ยไห่ได้สั่งเหล้าดอกกุ้ยฮวามาหนึ่งไหจากร้านอาหารของพี่ใหญ่ของเขา และนำมาวางไว้ที่นี่แล้ว
มีความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเหล้าดอกกุ้ยฮวากลิ่นหอมหวานที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
เขาก็รู้สึกอยากจะร้องไห้
การได้พบสหายที่จริงใจเช่นนี้ในขณะที่เร่ร่อนอยู่ต่างถิ่น ช่างเป็นความรู้สึกสะเทือนใจที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
“เถ้าแก่อู๋ คุณมาอยู่ที่นี่กี่วันครับ?” เฉินเจียเหอส่งตะเกียบให้เขาพลางถาม
“แค่สามสี่วันเท่านั้นแหละ”
เซี่ยไห่รินเหล้าดอกกุ้ยฮวาให้เขาหนึ่งจอก
“นี่เป็นเหล้าที่ฉันตั้งใจนำมาจากร้านอาหารของพี่ใหญ่เพื่อต้อนรับนายโดยเฉพาะ ลองชิมรสชาติบ้านเกิดของพวกนายดูสิ”
“มา พวกเราสามคนดื่มกันหน่อย เซี่ยเซี่ยรินน้ำเปล่าให้ตัวเองนะ”
เฉินเจียเหอส่งชามซุปไก่ให้หลินเซี่ย บอกให้เธอชนแก้วกับพวกเขา
เขาถอนหายใจพลางกล่าวว่า “เหล้าแค่แก้วเดียวช่วยคลายความคิดถึงบ้านเกิดได้จริงๆ”
เซี่ยไห่เข้าใจความรู้สึกของอู๋เซิ่งหงในตอนนี้เป็นอย่างดี
ในอดีต ตัวเขาเองก็เคยเป็นแบบนี้ ต้องเดินทางไปทั่วเพื่อหาเลี้ยงชีพ
บางครั้งเมื่อได้ยินคนแปลกหน้าที่พูดสำเนียงเดียวกับตัวเอง เขาก็ถึงกับเข้าไปทักทาย
“มา กินข้าวสิ กินเยอะๆ หน่อย”
หลินเซี่ยพูดว่า “รอตอนเย็นพวกเราไปที่บ้านแม่ฉันกันนะ ให้แม่ทำอาหารบ้านเกิดของพวกคุณให้”
อู๋เซิ่งหงมองหลินเซี่ยด้วยสายตาซาบซึ้งและดีใจ “ได้ ตกลง”
เขายังคิดถึงอาหารที่พี่สะใภ้อิงจื่อทำอยู่เลย นั่นคือรสชาติแท้ๆ ของบ้านเกิด
หลังจากกินดื่มอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ถึงเวลาคุยเรื่องงาน
อู๋เซิ่งหงหยิบเอกสารสองฉบับออกมาจากกระเป๋าเอกสารของเขาอย่างจริงจัง แล้วแยกส่งให้เซี่ยไห่และหลินเซี่ย
“เถ้าแก่เซี่ย เสี่ยวหลิน นี่คือสถานการณ์การขายของอาคารสำนักงานของบริษัทเราหลังจากเปิดตัว พวกคุณลองดูแล้วกัน”
อู๋เซิ่งหงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า “ร้านค้าที่ขายออกไปและจ่ายค่าเช่าแล้วมีถึงสิบกว่าร้าน และยังมีเจ้าของกิจการจากฮ่องกงที่ซื้อสองชั้นด้วยเงินสดทั้งหมด”
“ส่วนด้านหลังก็เป็นสัดส่วนหุ้นของพวกคุณทั้งสอง รวมถึงจำนวนเงินปันผลในครั้งนี้”
เซี่ยไห่พลิกไปดูด้านหลัง แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “ฉันจะได้รับเงินปันผลสี่แสนแปดหมื่นหรือ?”
“ใช่ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อาคารของพวกเรายังขายไม่หมดใช่ไหมล่ะ?” อู๋เซิ่งหงยิ้มอย่างซื่อๆ “ยังมีอีกในภายหลัง”
“ของเซี่ยเซี่ยนี่เท่ากับยี่สิบหกล้านใช่ไหม?”
อู๋เซิ่งหงอธิบาย “หลังจากขายหมดแล้ว ยังจะมีเงินงวดสุดท้ายอีก”
เซี่ยไห่พลิกดูเอกสารจนหมด มองอู๋เซิ่งหงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม “เหล่าอู๋ ดูเหมือนนายจะทำเงินได้ไม่น้อยเลยนะ”
“ผมยังทำเงินได้ไม่มากเท่าคุณหรอก”
อู๋เซิ่งหงแนะนำให้เขาอย่างจริงจัง “คุณลงทุนมากกว่า ส่วนผมลงทุนในตึกสำนักงานนี้ไม่ได้มากเท่าคุณหรอก ผมแค่ลงแรงเท่านั้น ถ้าตอนนั้นไม่ได้คุณลงทุนเพิ่มอีกห้าแสนให้ผม ผมอาจจะต้องทิ้งงานค้างไว้กลางคันแล้ว”
อู๋เซิ่งหงพูดถึงเรื่องนี้ด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์ยาก
พวกเขาทั้งสองคนได้ช่วยชีวิตอู๋เซิ่งหงเอาไว้
พูดโดยไม่เกินจริงเลยว่าความไว้วางใจของพวกเขาทำให้เขาประสบความสำเร็จ
หลังจากจ่ายเงินให้บริษัทรับเหมาก่อสร้าง หักค่าใช้จ่ายจิปาถะออกไป และให้เงินพิเศษแก่พวกเขาแล้ว ตัวเขาเองในฐานะเจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่ได้กำไรมากนัก
แต่อย่างน้อย โครงการนี้ก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
อู๋เซิ่งหงอาศัยตึกหลังนี้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในเซินเจิ้น
“เงินอยู่ในบัตรนี้ เดี๋ยวพวกเราไปธนาคารแล้วถอนเงินออกมานับให้ชัดเจนต่อหน้ากัน”
เฉินเจียเหอนั่งอยู่ข้างๆ มองดูคนเหล่านี้พูดคุยกันถึงเงินหลักแสนหลักล้านจนเขาไม่สามารถเข้าไปร่วมวงสนทนาได้เลย ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ มองดูชายสองคนนั้น แล้วหันไปมองภรรยาของตัวเอง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
หลินเซี่ยรู้สึกตื่นเต้นมาก พูดกับอู๋เซิ่งหงว่า
“เถ้าแก่อู๋ ต่อไปฉันกับอารองของฉันจะทำงานกับคุณ พวกเรามาร่ำรวยด้วยกันนะคะ”
“เสี่ยวหลิน คำพูดของเธอเป็นสิ่งที่ฉันปรารถนามาก เธอกับเถ้าแก่เซี่ยเป็นดาวนำโชคของฉันจริงๆ”
อู๋เซิ่งหงพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “สร้างสิ ต้องสร้างแน่นอน ฉันเพิ่งพบที่ดินว่างเปล่าอีกหลายแปลง ฉันประเมินดูแล้วว่าทั้งหมดเป็นทำเลที่จะมีการพัฒนาในอนาคต ฉันเลยตั้งใจจะซื้อที่ดินมาพัฒนา”
เมื่อได้ยินคำพูดของอู๋เซิ่งหง หลินเซี่ยก็มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน
คนคนนี้จะมีความทรงจำจากชาติก่อนด้วยหรือเปล่านะ?
รู้สึกว่าเขาดูมั่นใจมาก
เธอส่ายหัว คิดว่าตัวเองจินตนาการไปเอง อู๋เซิ่งหงแค่มีวิสัยทัศน์ที่โดดเด่นและมีหัวทางธุรกิจเท่านั้นเอง
ดังนั้น การเกาะต้นขาของเขาจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องมาก
“ได้ เดี๋ยวเมื่อพวกเรามีเวลา เราจะไปดูที่ดินที่คุณเลือกไว้ที่เซินเจิ้น”
เซี่ยไห่ก็เริ่มสนใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง
เขามีความคิดเหมือนกับหลินเซี่ย คือต้องการร่วมงานกับอู๋เซิ่งหงอย่างเต็มที่
“เสี่ยวหลิน ครั้งก่อนที่เธอบอกว่าจะสร้างโรงเรียนนี่จะสร้างที่ไหนล่ะ? มีแผนผังหรือยัง?”
เซี่ยไห่ถอนหายใจ “ฮ่า ถ้าทุกคนพูดง่ายเหมือนผม การจัดการอะไรก็คงราบรื่นกว่านี้เยอะ”
อู๋เซิ่งหงพูดประจบทันทีโดยไม่ต้องคิด “ถูกต้องครับ เถ้าแก่เซี่ย คุณเป็นคนใจกว้างจริงๆ”
หลินเซี่ยได้ยินเซี่ยไห่ยกย่องตัวเอง เธอพลันส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ไม่อยากสนใจเขาอีก
ถ้าตอนแรกไม่ใช่เพราะเธอคอยพูดจาโน้มน้าวเขา เขาจะยอมเอาที่ดินมาร่วมลงทุนได้หรือ?
เขาก็เลยคิดจะขายที่ดินผืนนั้นให้อู๋เซิ่งหง เอาเงินแล้วก็ไปเลย
แถมยังขวางไม่ให้เธอควักเงินเข้าหุ้นทุกทาง ด่าอู๋เซิ่งหงว่าเป็นคนหลอกลวงสารพัด
ถึงหวังเว่ยตงจะไม่ยอมขายที่ดิน แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ด่าพวกเขา
ตอนนี้เขายังมีหน้ามาพูดอีก
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมีวิสัยทัศน์ล่วงหน้า ป่านนี้อารองของเธอคงเสียใจจนตีอกชกหัวตัวเองแน่ๆ
เฉินเจียเหอรินชาให้อู๋เซิ่งหงแล้วนั่งลงข้างๆ อย่างเงียบๆ เพื่อฟังพวกเขาคุยเรื่องธุรกิจ
“ก็พอไหวครับ ช่วงนี้งานหนักหน่อย”
“พวกเธอเป็นคนที่น่าทึ่งมาก เป็นวีรบุรุษที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน เป็นความภาคภูมิใจของประเทศและประชาชน คนที่เซินเจิ้นหลายคนเลยนะกำลังตั้งตารอรถไฟรุ่นใหม่ที่วิ่งเร็วขึ้น”
ตั้งแต่รู้ว่าเฉินเจียเหอทำงานอะไร อู๋เซิ่งหงก็รู้สึกชื่นชมเขาอย่างมากในใจ
เฉินเจียเหอสีหน้าสงบนิ่ง “พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่ครับ”
หลังอาหารกลางวัน อู๋เซิ่งหงกับเซี่ยไห่ไปธนาคาร
หลินเซี่ยต้องดูแลลูก จึงไม่ได้ไปด้วย
พอพวกเขาทั้งสองออกไป หลินเซี่ยก็ร้องเพลง “วันนี้เป็นวันที่ดี” อย่างมีความสุขที่บ้าน
เฉินเจียเหอที่กำลังล้างจานในครัวได้ยินเสียงร้องเพลงอันไพเราะของภรรยา จึงโผล่หัวออกมาจากประตูครัวถามเธอว่า “เซี่ยเซี่ย นี่เพลงอะไรเหรอ เพราะดีนะ”
หลินเซี่ยได้ยินดังนั้นก็อุทานออกมาเป็นเชิงรับรู้ รีบแก้ตัวว่า “ฉันร้องมั่วๆ น่ะ”
ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียเหอเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ กล่าวชมเธอว่า “ภรรยาของผมกระทั่งร้องมั่วๆ ยังเพราะขนาดนี้ เอาอย่างงี้ไหม ให้อาหญิงแนะนำค่ายเพลงให้ แล้วคุณไปออกเพลงเถอะ ทำนองเพลงนี้เพราะมากเลย”
หลินเซี่ย “!!!”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่ไห่ก็นะ ตอนที่เซี่ยเซี่ยชวนลงทุนไม่เห็นเป็นแบบนี้สักนิด
โดนสามียุให้ไปออกเพลงแบบนี้ เซี่ยเซี่ยจะไปไหมนะ
ไหหม่า(海馬)