ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 832 จุดเปลี่ยนที่คาดไม่ถึง
ตอนที่ 832 จุดเปลี่ยนที่คาดไม่ถึง
เฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยจำใจต้องจากไปแบบมือเปล่า
วันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยโทรหาเซี่ยไห่ เล่าให้ฟังถึงท่าทีของคุณยายหวัง และอยากปรึกษาอารองว่าควรดำเนินการต่อไปอย่างไร
ช่วงบ่าย เซี่ยไห่มาถึงพร้อมกับอู๋เซิ่งหง
อู๋เซิ่งหงถือของเล่นมากมายมาให้หู่จือกับเสี่ยวหู่
“เซี่ยเซี่ย หรือว่าฉันควรโทรไปแจ้งหวังเว่ยตงถึงสถานการณ์ของแม่เขาตามความเป็นจริง แล้วก็วิเคราะห์เงินเดือนปัจจุบันของเขาให้ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงจะชำระหนี้ได้หมด?”
หลินเซี่ยไม่ค่อยมั่นใจกับวิธีนี้นัก “ฉันกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อคำพูดของพวกเรา และคิดว่าพวกเราพยายามหลอกให้เขากลับมาเพื่อเรื่องที่ดินน่ะค่ะ”
คราวที่แล้วคนคนนั้นพูดทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่าเขาไม่มีทางขายเด็ดขาด!
สำหรับบางคน แค่ประโยคเดียวก็ทำให้เข้าใจนิสัยได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เซี่ยไห่ลูบคางครุ่นคิด “ที่ฉันหมายถึงก็คือ พวกเราพาเถ้าแก่อู๋ไปดูที่อื่นๆ ในเมืองไห่เฉิงว่ามีทำเลไหนเหมาะสมบ้างกันเถอะ พวกเราหาที่ใหม่กันดีกว่า หวังเว่ยตงเป็นคนดื้อรั้นพูดคุยไม่รู้เรื่อง พวกเราไม่ควรเสียเวลากับเขาอีก ตอนนี้ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม พอถึงฤดูใบไม้ผลิพื้นดินอุ่นขึ้นก็จะได้เริ่มงานเลย”
เฉินเจียเหอก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของเซี่ยไห่ “ผมว่าเป็นไปได้นะ ลองไปดูที่อื่นก่อน ส่วนที่นี่ก็เก็บไว้เป็นตัวสำรอง ถ้าภายหลังพวกเขายอมขายที่ดิน ที่ตรงนี้ก็ยังเอาไปใช้ทำอย่างอื่นได้”
เขาก็มองออกว่าหากเถ้าแก่สามคนนี้รวมตัวกัน พวกเขาต้องทำอะไรใหญ่ๆ แน่นอน
ดังนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าที่ดินผืนนั้นจะไม่ได้ถูกใช้ในอนาคต
“งั้นก็ได้ เรามาเดินดูรอบๆ กันอีกหน่อยดีกว่า”
โจวลี่หรงกลัวว่าเสี่ยวหู่จะรบกวนการสนทนาเรื่องงานของพวกเขา หล่อนจึงอุ้มเด็กน้อยเข้าไปในห้องนอน วางเขาลงบนเตียง แล้วเล่นเกมด้วยกันกับเขา
หลังจากคุยเรื่องงานเสร็จแล้ว อู๋เซิ่งหงก็บอกว่าอยากเห็นเสี่ยวหู่ หลินเซี่ยเข้าไปอุ้มเด็กน้อย เธอเห็นแม่สามีนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าอ่อนโยน กำลังพูดคุยกับเสี่ยวหู่ เสี่ยวหู่ก็ส่งเสียงอ้อแอ้พยายามหัดพูด
หลินเซี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “แม่คะ อุ้มเสี่ยวหู่ไปที่ห้องรับแขกหน่อยค่ะ เถ้าแก่อู๋กับอารองของฉันคิดถึงเขาแล้ว”
หลินเซี่ยอุ้มลูกไว้ เห็นโจวลี่หรงกำลังเก็บของของเด็ก จึงพูดกับโจวลี่หรงว่า “แม่คะ ออกไปนั่งข้างนอกกับพวกเราหน่อยสิคะ ถ้าพวกเรามีปัญหาในเรื่องนโยบายที่ไม่เข้าใจ แม่จะได้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้ด้วย”
หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่าโจวลี่หรงรู้สึกเบื่อหน่ายและโดดเดี่ยวมาก หล่อนจะรู้สึกมีที่พึ่งก็ต่อเมื่อทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับเด็กเท่านั้น
ได้ยินมาว่าคนจำนวนมากที่เพิ่งเกษียณมักจะเป็นโรคซึมเศร้าเพราะปรับตัวไม่ได้
โจวลี่หรงเกษียณก่อนกำหนดมาเกือบครึ่งปีแล้ว สิ่งที่ทำนอกเหนือจากดูแลเด็กก็คือการกลับบ้านไปเยี่ยมผู้สูงอายุ
หล่อนแทบไม่มีเวลาว่างเป็นของตัวเองเลย
ตอนที่อยู่ลำพัง ในใจหล่อนคงจะรู้สึกว่างเปล่ามากทีเดียว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโจวลี่หรงมีความสามารถในการทำงานสูง
ด้านความคิดและการตีความนโยบายปัจจุบันของประเทศของหล่อนก็แม่นยำมาก
หลินเซี่ยกำลังคิดว่าหลังจากสร้างโรงเรียนเสร็จแล้ว เธออาจจะจ้างแม่สามีของเธอไปทำงานที่โรงเรียนได้
“ได้จ้ะ” ใบหน้าของโจวลี่หรงเปล่งประกายสดใส แล้วเดินตามหลินเซี่ยไปที่ห้องรับแขก
ตึกสำนักงานของพวกเขาก็เป็นผลงานการสร้างจากบริษัทก่อสร้างของเพื่อนเก่าเขานี่แหละ
แน่นอนว่าหลินเซี่ยยินดีเป็นอย่างยิ่ง
………
เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว เมืองไห่เฉิงก็มีลมหนาวพัดกระหน่ำ ยิ่งหลังจากที่หิมะตก อุณหภูมิต่ำสุดก็ลดลงไปถึงสิบองศาเซลเซียส อู๋เซิ่งหงนั่งตัวสั่นเทาอยู่ในรถของเซี่ยไห่ด้วยความหนาว
พลางบอกว่าเขาไม่คิดว่าเมืองไห่เฉิงจะหนาวขนาดนี้
กระทั่งสวมเสื้อนวมบุฝ้ายแล้วก็ยังหนาว
เซี่ยไห่สวมแค่แจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลตัวเดียว เมื่อเห็นอู๋เซิ่งหงที่กำลังห่อตัวอยู่ตรงนั้น เขาจึงพูดว่า “นั่นเป็นเพราะนายคุ้นเคยกับการอยู่ในเซินเจิ้นไงล่ะ พวกเราไม่หนาวหรอก”
“ฮัดเช้ย!…” พูดจบ เซี่ยไห่ก็อดไม่ได้ที่จะจามออกมาทันที
สภาพอากาศวันนี้แปลกไปหน่อย ท้องฟ้าโปร่งแจ่มใส แต่อากาศกลับเย็นและแห้ง
เมื่อเห็นรถที่จอดอยู่ตรงนั้น เธอรีบเปิดประตูรถแล้วนั่งเข้าไปทันที
“หนาวจะตายอยู่แล้ว”
“เถ้าแก่อู๋ คุณหนาวไหมคะ? ฉันเอาเสื้อโค้ททหารของเจียเหอมาให้คุณ คุณสวมได้นะคะ”
หลินเซี่ยส่งเสื้อให้อู๋เซิ่งหงอย่างเอาใจใส่
อีกสักครู่พวกเขาต้องไปสำรวจพื้นที่โล่งแจ้ง ข้างนอกมีลมหนาวพัดโกรกตลอด จึงไม่อยากให้เถ้าแก่ใหญ่ท่านนี้หนาวจนแข็งไปเสียก่อน
“ไม่มีของฉันหรือ?” เซี่ยไห่เห็นหลินเซี่ยยัดเสื้อให้อู๋เซิ่งหง จึงถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
หลินเซี่ยย้อนถาม “คุณต้องการด้วยเหรอคะ?”
เพื่อรักษาภาพลักษณ์ความหล่อ เขาถึงกับไม่ยอมใส่เสื้อนวมหนา ๆ บอกว่าดูอ้วนเทอะทะ
คนแบบนี้จะใส่เสื้อโค้ททหารได้ยังไงกัน?
เซี่ยไห่เบ้ปากแล้วขับรถออกไป
เนื่องจากยังไม่มีตึกสูงมาบดบังเหมือนในอนาคต ลมเหนือจึงพัดแรงมาก หนาวจนแทบจะแข็งตายได้
เซี่ยไห่สวมแค่เสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียว อู๋เซิ่งหงกลัวว่าเขาจะหนาว จึงแสดงน้ำใจด้วยการยกเสื้อโค้ททหารของตนแก่เซี่ยไห่
ตอนแรกเซี่ยไห่ยังเกรงใจอยู่ แต่พอหนาวจนตัวชาไปหมด เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธอีกต่อไป
หยิบมันมาห่อไว้รอบตัวทันที
อู๋เซิ่งหงบอกว่าเขาไม่คุ้นเคยกับเมืองไห่เฉิง แต่พื้นที่ทางตอนเหนือที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ อีกหลายปีข้างหน้าคงพัฒนาไม่ขึ้น
หากสร้างโรงเรียนอยู่ที่นี่ก็จะไกลเกินไป เรื่องนี้ต้องคำนึงถึงความสะดวกของนักเรียนในอนาคตด้วย ควรย้ายเข้าไปใกล้ตัวเมืองมากกว่านี้
คำพูดของเขาสอดคล้องกับแผนที่เซี่ยไห่และหลินเซี่ยวางไว้ก่อนหน้านี้อย่างสมบูรณ์
พื้นที่ทางด้านทิศใต้ของโรงงานผลิตรถยนต์เมืองไห่เฉิงถือเป็นทำเลทองจริงๆ
แน่นอนว่าพื้นที่ส่วนอื่นก็ไม่เลว แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ แล้วก็สรุปได้ว่าที่นี่สะดวกที่สุด
ตอนนี้ถือว่าเป็นการลองเริ่มต้นธุรกิจ หลินเซี่ยยังต้องเลี้ยงลูก ร้านค้าและบ้านของเธอต่างก็อยู่บริเวณนี้
อาจเป็นเพราะความประทับใจแรก หลินเซี่ยจึงรู้สึกโน้มเอียงไปทางที่ดินของโรงงานรถยนต์มากกว่า
เธอได้จดบันทึกรายละเอียดของที่ดินแปลงอื่นๆ ไว้ในสมุดบันทึกอย่างละเอียดด้วย
ตั้งใจว่าจะกลับไปศึกษาอย่างจริงจัง
“ไปกันเถอะ กลับบ้านก่อน” เซี่ยไห่พูดขณะขับรถกลับบ้าน “เธอกลับไปถามความเห็นพ่อสามีของเธอดูก็ได้นะ ให้เขาช่วยพิจารณาดูหน่อยว่าในสองที่ที่เราสนใจอยู่ตอนนี้ ที่ไหนจะมีการพัฒนาดีที่สุดในอนาคต คนของรัฐบาลน่าจะรู้แผนพัฒนาเมืองดีที่สุด”
“ได้ค่ะ ฉันจะกลับไปคุยกับพ่อสามีดู”
อู๋เซิ่งหงหนาวจนตัวแข็ง เขาลงจากรถที่หน้าโรงแรมทันที บอกว่าจะกลับไปนอนพักสักหน่อย
พรุ่งนี้เขาต้องกลับเซินเจิ้น เซี่ยไห่กำชับซ้ำแล้วซ้ำอีกให้อู๋เซิ่งหงอย่าปิดโทรศัพท์ และอย่านอนหลับลึกเกินไป เพราะตอนกลางคืนจะพาเพื่อนสองสามคนไปร้องเพลงคาราโอเกะกับเขา
เซี่ยไห่ส่งหลินเซี่ยถึงหน้าอาคารที่พัก เขาไม่คิดจะลงจากรถ แต่กลับรถทันที
ผลก็คือ พอหลินเซี่ยลงจากรถ เธอก็เหลือบเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยจากหางตา
เซี่ยไห่โผล่หัวออกมาจากหน้าต่างรถถาม “มีอะไรหรือ?”
“คุณยายหวังดูเหมือนจะอยู่ตรงนั้น” หลินเซี่ยชี้ไปที่อาคารที่พักของครอบครัวเธอ “ดูเหมือนว่าท่านจะมาหาฉัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยไห่มองไปทางนั้น “ทำไมคุณยายถึงมาล่ะ? ท่านนำข่าวดีมาหรือเปล่า?”
เซี่ยไห่ดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถ
คนสองคนวิ่งตามไป และพวกเขาก็เห็นคุณยายหวังกำลังถือไม้เท้าด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือถือที่อยู่ที่หลินเซี่ยเขียนให้ในครั้งก่อน และกำลังสอบถามที่อยู่กับเพื่อนบ้านที่กำลังเดินลงบันได
หลินเซี่ยรีบวิ่งเข้าไปหาและเรียกว่า “คุณยายหวังคะ”
ลุงหลี่เพื่อนบ้านที่เพิ่งลงมาจากบันไดเห็นหลินเซี่ยจึงพูดว่า “เสี่ยวหลิน คุณยายคนนี้กำลังถามหาบ้านของเธอ เธอรู้จักหล่อนหรือ?”
เมื่อใดที่ญาติและเพื่อนมาเยี่ยมหลินเซี่ยบ่อยๆ เพื่อนบ้านก็มักจะเห็นอยู่เสมอ
คุณยายคนนี้ดูเหมือนคนแปลกหน้า เดินโซเซราวกับจะล้มลงในวินาทีถัดไป และบนใบหน้ายังมีรอยแผลเป็นอีกด้วย
หลินเซี่ยยิ้มตอบ “ฉันรู้จักคุณยายคนนี้ค่ะลุงหลี่”
ลุงหลี่ยังหันกลับมามองอีกครั้ง เขาตั้งใจชะลอฝีเท้าลง ดูเหมือนอยากจะฟังว่าคุณยายคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับหลินเซี่ย
มือที่เหี่ยวแห้งของคุณยายหวังเย็นเฉียบ ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด ดูแล้วน่าเป็นห่วงมาก
เมื่อเห็นหลินเซี่ยกับเซี่ยไห่ นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยพยายามฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย
“คุณยายหวัง ทำไมคุณถึงมาที่นี่ล่ะคะ? เชิญค่ะ พวกเราขึ้นไปชั้นบนกันก่อน”
เซี่ยไห่ประคองคุณยายหวังขึ้นบันไดอย่างยากลำบาก โดยไม่ได้พูดคุยอะไรมากนัก
ลุงหลี่ไม่ได้ยินข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรเลย จึงเร่งฝีเท้าเดินไปทางประตูใหญ่
หลินเซี่ยกับเซี่ยไห่ช่วยกันพยุงคุณยายหวังขึ้นไปชั้นบน โจวลี่หรงได้ยินเสียงของหลินเซี่ยจากในบ้านแล้ว จึงออกมาเปิดประตูห้อง
หล่อนเห็นคุณยายที่เซี่ยไห่กำลังประคองอยู่ดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ สีหน้าของหล่อนเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปที่หลินเซี่ยอย่างสงสัย
หญิงชราคนนี้…
นางโดนรถของพวกเขาชนอย่างนั้นเหรอ?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คุณยายมาด้วยเรื่องอะไรน้า หรือว่าเปลี่ยนใจขายที่ให้แล้ว?
ไหหม่า(海馬)