ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 835 สหายโจวลี่หรงเริ่มมีความเชื่องมงายแล้ว
ตอนที่ 835 สหายโจวลี่หรงเริ่มมีความเชื่องมงายแล้ว
ตอนเช้าขณะที่โจวลี่หรงลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า หล่อนก็เห็นว่าเฉินเจียเหอไม่ได้อยู่บนโซฟา
หล่อนขมวดคิ้ว พอเฉินเจียเหอตื่นนอนและออกมาจากห้องนอน หล่อนก็ต่อว่าเขาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ในบ้านมีเด็กเล็ก ต่อไปอย่ากลับบ้านดึกเกินไป และอย่าดื่มเหล้าข้างนอก
ให้จำไว้เสมอว่าตัวเองเป็นคนมีครอบครัวแล้ว
ครั้งนี้เฉินเจียเหอไม่ได้โต้เถียงกับแม่ของเขาเหมือนที่เคยทำมาก่อน แต่กลับฟังอย่างใส่ใจ
เขาพยักหน้ารับคำอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหลินเซี่ยออกมา เธอก็เห็นโจวลี่หรงกำลังพูดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนเฉินเจียเหอก็พูดแต่ว่าเข้าใจแล้วครับตลอดเวลา
หลินเซี่ยมองภาพนี้ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฉินเจียเหอทำอะไรผิดไปหรือ?
ตอนนั้นหลังจากที่เธอเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วลากเขาเข้าห้อง ทั้งสองคนก็ล้มตัวลงนอนทันที ไม่ทันได้ถามเขาว่าทำไมเมื่อคืนกลับมาแล้วไม่เข้าห้องนอน
ก่อนที่เฉินเจียเหอจะทันได้อ้าปาก โจวลี่หรงก็รีบอธิบายก่อน
“เซี่ยเซี่ย จริงๆ แล้ว เจียเหอกลับมาค่อนข้างเร็ว ตอนที่เขากลับมาฉันยังไม่ได้นอนเลย”
หลินเซี่ยยิ่งสงสัยมากขึ้น “แล้วทำไมไม่กลับเข้าห้องนอนล่ะ อากาศหนาวขนาดนี้นอนโซฟาแค่ห่มผ้าบางๆ ไม่กลัวเป็นหวัดเหรอ?”
“ผมไม่หนาวหรอก” เฉินเจียเหอกระแอมเบาๆ แล้วอธิบายว่า “ผมเห็นคุณกำลังพักผ่อนอยู่ เลยไม่อยากรบกวน กลัวว่าถ้าลูกตื่นขึ้นมาจะร้องไห้งอแงอีก”
“คราวหน้าอย่าคิดเอาเองแบบนี้อีกนะ ถ้าลูกตื่นก็ค่อยกล่อมให้หลับใหม่ก็ได้ ถ้าคุณหนาวจนเป็นหวัดฉันจะเป็นห่วงมากนะ”
เธอไม่ใช่คนที่พอมีลูกแล้วจะสนใจแต่ลูก แล้วทำเหมือนสามีเป็นอากาศธาตุ
เธอยังคงรู้สึกว่าคู่ชีวิตควรเป็นคนที่สำคัญที่สุด
เฉินเจียเหอคือคนที่จะอยู่เคียงข้างเธอไปตลอดชีวิต
คำพูดของภรรยาทำให้เฉินเจียเหอรู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่นใจ เขาลูบศีรษะเธอเบา ๆ แล้วจุมพิตที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน พลางกล่าวว่า “ภรรยาของผมช่างดีจริง ๆ”
โจวลี่หรงที่ได้รับอาหารสุนัขเต็มปาก “!!!”
หล่อนรู้สึกเขินอายจึงเดินเข้าครัวไป
ในขณะที่หมุนตัว มุมปากของหล่อนก็ปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ
ในที่สุดหล่อนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมลูกชายหัวไม้คนนี้ถึงยืนกรานที่จะแต่งงานกับหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าเขาถึงแปดปี
ใครจะทนไหวล่ะ?
พูดถึงเรื่องนี้ หล่อนเองก็แต่งงานกับเฉินเจิ้นเจียงมาสามสิบกว่าปีแล้ว ทั้งสองคนมีความรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนร่วมรบในการปฏิวัติ ในที่ลับตาคนก็แทบไม่เคยมีบทสนทนาที่หวานซึ้งเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต่อหน้าผู้อาวุโส
หล่อนยิ่งไม่เคยมีพฤติกรรมออดอ้อนแบบสาวน้อยต่อหน้าคนรักของตัวเองเลย
หลินเซี่ยยังคงสั่งสอนเฉินเจียเหอ บอกให้เขากลับมาเล่นดึกแค่ไหนก็ต้องเข้าบ้าน ไม่อย่างนั้นเธอจะนอนไม่หลับ
“ถ้ากลับมาดึกเกินไป ก็พยายามอย่าเข้าห้องนอนเลยดีกว่า” โจวลี่หรงถือโจ๊กแปดสมบัติออกมาวางบนโต๊ะ พูดว่า “ฉันได้ยินคุณปู่คุณย่าของลูกพูด อาจจะเป็นความเชื่อแบบโบราณงมงาย แต่เพื่อลูก เราเชื่อไว้ก่อนดีกว่า ถ้าดึกเกินไปอาจมีสิ่งไม่สะอาดติดมาด้วย จะส่งผลไม่ดีต่อเด็ก”
เพราะเกี่ยวข้องกับความเชื่องมงายแบบศักดินา หล่อนจึงเสริมด้วยสีหน้าที่ดูอึดอัดเล็กน้อย “ดังนั้นตอนกลางคืนกลับมาต้องเข้าห้องน้ำก่อน”
“อ้อ”
เฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยสบตากัน สีหน้าประหลาด
เจ้าหน้าที่ชนชั้นกรรมาชีพถึงกับเริ่มเชื่อเรื่องพวกนี้แล้วเหรอ?
เฉินเจียเหอจำได้ว่าตอนเขาเด็กๆ คุณตาคุณยายมักจะบอกแม่ของเขาเกี่ยวกับข้อห้ามทางไสยศาสตร์มากมาย บอกว่าในบ้านมีเด็กเล็ก ต้องระวังให้มาก
ในตอนนั้น แม่ของเขามักจะโกรธมากและโต้เถียงกับคนแก่ พร้อมทั้งสั่งสอนพวกเขา
บอกว่าตัวเองเป็นชนชั้นกรรมาชีพ เป็นผู้ไม่นับถือศาสนา
แม่บอกว่าถ้าพวกเขายังพูดถึงความเชื่องมงายแบบศักดินาอีก เธอจะตัดญาติขาดมิตรและส่งพวกเขาไปรับการปรับเปลี่ยนทัศนคติ
ตอนนี้สหายโจวลี่หรงกลับเหมือนกับคุณตาคุณยายในสมัยก่อน เริ่มพร่ำบ่นเตือนพวกเขาถึงข้อห้ามต่างๆ ตามความเชื่อของชาวบ้าน
เฉินเจียเหอรู้สึกขบขัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกซาบซึ้งใจ
บางทีอาจเป็นเพราะแม่ของเขาแก่ตัวลงแล้ว
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขารู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนมาจากความรัก
“แม่ครับ ผมเข้าใจแล้ว” เฉินเจียเหอตอบรับอย่างว่าง่าย ทำให้สีหน้าของหลินเซี่ยยิ่งดูประหลาดมากขึ้น
สหายโจวลี่หรงพูดถึงความเชื่องมงายแบบศักดินาก็แล้วไป แต่เฉินเจียเหอก็เชื่อด้วยเหรอ?
“มา กินอาหารเช้ากันเถอะ” โจวลี่หรงยกจานแผ่นแป้งทอดใหญ่มาอีกจาน
เฉินเจียเหอจะไปเรียกหู่จือ แต่โจวลี่หรงบอกให้พวกเขากินก่อน หล่อนจะไปเรียกเอง
หลินเซี่ยมองตามแม่สามีที่เดินเข้าไปในห้องของหู่จือ แล้วพูดเบาๆ กับเฉินเจียเหอว่า “แม่เปลี่ยนไปมากจริงๆ”
เฉินเจียเหอยิ้ม “ท่านแค่ห่วงใยเด็กมากเกินไปเท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินคำตอบของเฉินเจียเหอ หลินเซี่ยก็เกิดความเข้าใจอย่างฉับพลัน
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเฉินเจียเหอถึงไม่โต้แย้งโจวลี่หรง
เฉินเจียเหอรีบกินอาหารเช้าให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เพราะต้องรีบไปทำงาน เขาถามหลินเซี่ยว่า “วันนี้เถ้าแก่อู๋จะไปแล้ว คุณจะไปส่งเขาไหม?”
เธออยู่บ้านมาสักพักแล้ว ลูกเคยชินกับเธอ ช่วงนี้ติดเธอมาก
อีกอย่างเขาก็จำคนได้แล้ว มักจะเรียกร้องให้เธออุ้มอยู่เสมอ
“ให้แม่ดูแลลูกเถอะ คุณไปส่งเขาหน่อย”
เฉินเจียเหอจูบที่หน้าผากลูกชาย “ลูกจ๋า พ่อไปทำงานแล้วนะ”
หลังจากจูบแก้มภรรยาอีกครั้ง พอออกจากประตู หู่จือก็สะพายกระเป๋านักเรียนรออยู่แล้ว
เขาจูงมือลูกชาย สองคนพ่อลูกออกจากบ้านไปพร้อมกัน
ชีวิตแบบนี้ช่างมีความสุขและเรียบง่าย
หลินเซี่ยยังไม่ทันได้พูดว่าจะไปส่งอู๋เซิ่งหง เขากลับมาบอกลาด้วยตัวเอง
ต่อหน้าหลินเซี่ย เขาไม่มีท่าทางเป็นเจ้านายเลยสักนิด เป็นเหมือนผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งที่คิดถึงพวกเขาอยู่เสมอ
หลังจากบอกลาหลินเซี่ยแล้ว เซี่ยไห่ก็ไปส่งอู๋เซิ่งหงที่สนามบิน
โจวลี่หรงกลัวว่าเด็ก ๆ จะเกาะติดหลินเซี่ยตอนที่เธอจะออกไปข้างนอก จึงเริ่มพยายามอุ้มเสี่ยวหูจากอ้อมกอดของหลินเซี่ย
“เสี่ยวหู่ มานี่ ให้ย่าอุ้มหน่อย”
“มา เรานั่งรถกันเถอะ”
โจวลี่หรงยื่นมือออกไปเพื่อจะอุ้ม แต่เสี่ยวหู่กลับหันหน้าหนี แล้วซบศีรษะลงบนไหล่ของหลินเซี่ย
เขาติดหลินเซี่ย ไม่ยอมไปอยู่ในอ้อมกอดของย่า
หลินเซี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มว่า
“แม่ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอารองไปสนามบินไปกลับใช้เวลาแค่สองชั่วโมง อีกสักพักเสี่ยวหูก็จะหลับแล้ว”
หลินเซี่ยอุ้มลูกไกวไปมา เสี่ยวหูหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
โจวลี่หรงยืนดูอยู่ข้างๆ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มแห่งความสุขเช่นกัน
แต่หลินเซี่ยอุ้มลูกอยู่ หล่อนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ไม่มีอะไรทำ
โจวลี่หรงที่อยู่ว่างๆ จึงรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้จะทำอะไรดี
หลินเซี่ยเล่นกับเด็กสักพัก พอหันไปก็เห็นโจวลี่หรงนั่งก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ดวงตาหม่นหมอง สีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย จึงวางเด็กลงในรถเข็นเด็ก แล้วนั่งลงบนโซฟา
เธอมองโจวลี่หรง แล้วพูดอย่างจริงจัง “แม่คะ พอโรงเรียนของพวกเราสร้างเสร็จ ฉันจ้างแม่กลับมาทำงานดีไหมคะ?”
“หา?” โจวลี่หรงได้ยินคำพูดของหลินเซี่ยแล้วก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าแสดงความประหลาดใจอย่างชัดเจน “จ้างฉันกลับมา? ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ?”
“เป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการไงคะ” หลินเซี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ฉันคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมกับงานนี้มากกว่าแม่แล้วล่ะค่ะ”
ได้ยินหลินเซี่ยบอกว่าจะจ้างตนกลับมาทำงาน โจวลี่หรงก็รู้สึกดีใจมาก แต่เมื่อให้หล่อนรับผิดชอบงานใหญ่ หล่อนก็รีบโบกมือปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่ได้หรอก ฉันแก่แล้ว ไม่ควรให้ฉันรับผิดชอบงานใหญ่ขนาดนั้น”
“ตำแหน่งนี้เธอควรจ้างครูมืออาชีพมาทำ ฉันทำไม่ได้หรอก จะทำให้นักเรียนเสียการเรียนเปล่าๆ”
“แม่คะ ฉันคิดว่าคุณเกษียณเร็วเกินไป ตอนนี้อยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเสียดาย สำหรับเสี่ยวหู เราจ้างพี่เลี้ยงก็ได้ แล้วให้พี่เลี้ยงพาเขามาอยู่ข้างๆ ฉันก็พอ แม่ยังใช้ความสามารถที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ได้นะคะ”
หลินเซี่ยหวังดีกับหล่อนจริงๆ ส่วนโจวลี่หรงก็เริ่มรู้สึกอยากทำอะไรบ้าง จึงพูดว่า
หลินเซี่ยหัวเราะพลางกล่าวว่า “ดีเลยค่ะ ยังไงก็ต้องหางานให้คุณทำสักอย่าง ปล่อยให้คุณอยู่บ้านเฉยๆ มันเสียของเปล่า”
“ได้ รอให้โรงเรียนสร้างเสร็จก่อนค่อยว่ากัน ถ้ามีตำแหน่งที่ฉันทำได้ ฉันจะทำงานให้ฟรีๆ”
เพราะคำพูดของหลินเซี่ย อารมณ์ของโจวลี่หรงจึงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หล่อนดึงรถเข็นเด็กมาใกล้ตัว แล้วเขย่ารถเข็นพลางร้องเพลงให้เสี่ยวหูฟัง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เราว่ามันเป็นกุศโลบายของคนโบราณน่ะ ที่ว่ากลับดึกแล้วจะมีอะไรไม่สะอาดตามติดมาก็คือกลางคืนมันมืดแล้ว มองอะไรไม่ค่อยเห็น เกิดระหว่างทางมีอุบัติเหตุแล้วจะทำให้กลับไม่ถึงบ้าน คนที่บ้านเป็นกังวลเดือดร้อนใจจนส่งผลต่อเด็กเล็กงี้
คนที่เคยบ้างานเวลาอยู่ว่างๆ มันก็จะหดหู่แบบนี้ล่ะ ต้องหางานให้ทำอะ
ไหหม่า(海馬)