ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 837 เสิ่นเสี่ยวอวี้ไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลหลิวแล้ว
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 837 เสิ่นเสี่ยวอวี้ไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลหลิวแล้ว
ตอนที่ 837 เสิ่นเสี่ยวอวี้ไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลหลิวแล้ว
หลังจากรังวัดพื้นที่เสร็จ พวกเขาก็ทำการซื้อขายตามราคาที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
อ้างอิงตามพื้นที่จริง ราคาซื้อขายรวมทั้งหมดคือเจ็ดพันแปดร้อยเก้าสิบสองหยวน
หลังจากดำเนินการเปลี่ยนสิทธิการใช้ที่ดินเรียบร้อยแล้ว เซี่ยไห่และหลินเซี่ยก็ถือเงินไปจ่ายให้กับคุณยายหวังที่บ้านตระกูลหวัง
ก่อนหน้านี้ เซี่ยไห่ได้จ่ายเงินล่วงหน้าให้กับโรงงานอาหารสัตว์ไปสามพันหนึ่งร้อยยี่สิบหยวน และจ่ายค่ายาให้กับสถานีสัตวแพทย์ไปสามร้อยหยวน
หลังจากตัดรายการนี้ออก ยังต้องให้พวกเขาสี่พันสี่ร้อยเจ็ดสิบสองหยวน
พี่ใหญ่รู้ว่าตระกูลหวังยังมีหนี้สินอื่นๆ เขากลัวว่าซิ่วเหมยกับคุณยายหวังจะไม่คืนเงินให้เขา เขาจึงติดตามตลอดกระบวนการจัดการเอกสาร ตอนนี้มาถึงขั้นตอนการจ่ายเงินแล้ว แต่ซิ่วเหมยกับคุณยายหวังกลับไม่พูดถึงการชำระหนี้ให้ครอบครัวของเขาเลย เขาจึงรู้สึกกระวนกระวายใจ อยากจะพูดแต่ก็ลังเลหลายครั้ง
“ซิ่วเหมย คือว่า… หลานชายของเธอกำลังจะแต่งงาน เธอคิดว่า…”
ในที่สุดพี่ใหญ่ก็ทำหน้าด้านพูดออกมา
ตอนนี้เมื่อครอบครัวของพวกเขาขายที่ได้เงินมาแล้ว เขาก็ไม่สนใจหนี้สินอื่นๆ ของครอบครัว จะเอาเงินของตัวเองคืนมาก่อน
ซิ่วเหม่ยจะไม่รู้ถึงความลำบากของพี่ใหญ่ได้อย่างไร
ในช่วงเวลาที่หล่อนอยู่บ้านเกิด เพราะเป็นหนี้ต่อครอบครัวของพี่ใหญ่ พี่สะใภ้จึงไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ กับหล่อนเลย
ก่อนหน้านี้ พวกเขารู้ว่าครอบครัวของหล่อนไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้จะแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้บังคับให้หล่อนคืนเงิน
ตอนนี้มีเงินแล้ว ถ้าไม่คืนก็ดูกระไรอยู่
ซิ่วเหม่ยมองไปที่คุณยายหวัง แล้วเอ่ยปากด้วยสีหน้าลำบากใจ “แม่คะ แม่ว่าเราคืนเงินให้พี่ใหญ่ของฉันก่อนดีไหมคะ”
คุณยายหวังกล่าว “ซิ่วเหม่ย ฉันเองก็ตั้งใจจะคืนเงินให้พี่ชายเธออยู่แล้วละ”
ในขณะที่คุณยายหวังกำลังจะให้เงินแก่พี่ใหญ่ของซิ่วเหม่ย เซี่ยไห่ก็พูดกับพี่ใหญ่ของซิ่วเหม่ยขึ้นมาทันทีว่า
“มีใบสัญญาหนี้หรือเปล่า?”
ตอนวัดพื้นที่ที่ดินและจัดการเอกสาร พี่ใหญ่ของซิ่วเหม่ยก็พูดกระซิบกระซาบอยู่ข้างๆ ซิ่วเหม่ยตลอด บอกให้ซิ่วเหม่ยระวังพวกเขาไว้ และยังเรียกร้องขอขึ้นราคาหลายครั้ง
เขารู้สึกว่าคนคนนี้มีนิสัยไม่ค่อยดีเท่าใด
อาจให้เงินไปแล้วไม่ยอมรับ แล้วมาทวงอีกในอนาคต
“มีอยู่นะ แต่ผมทิ้งไว้ที่บ้านเกิด” พี่ใหญ่ซิ่วเหมยพูดอย่างลำบากใจ
เซี่ยไห่ได้ยินคำพูดของเขา จึงเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “งั้นคุณกลับไปเอาใบรับรองหนี้มาก่อน แล้วค่อยให้น้าหวังคืนเงินให้คุณ แลกเปลี่ยนกันระหว่างเงินกับสัญญา”
“คุณพูดอะไรน่ะ?” พี่ใหญ่ซิ่วเหมยรู้สึกว่าเซี่ยไห่กำลังดูถูกตน “นี่มันเรื่องของผมกับบ้านน้องสาวผม มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย?”
เซี่ยไห่โต้แย้งอย่างมีเหตุผล “ทำไมจะไม่เกี่ยวกับผมล่ะ? เงินก้อนนี้เป็นการทำธุรกรรมระหว่างผมกับน้าหวัง ตอนนี้หวังเว่ยตงไม่อยู่บ้าน ถ้าในอนาคตคุณไม่ยอมรับว่าพวกเขาคืนเงินให้คุณแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องสืบหาที่มาที่ไปของเงินก้อนนี้ ถ้าหวังเว่ยตงกล่าวหาว่าผมให้เงินคุณยายบ้านเขาไม่ครบ ผมจะทำยังไง?”
แม้เซี่ยไห่จะมีเจตนายั่วโมโหพี่ใหญ่ซิ่วเหมยอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ทำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคตด้วย
ภรรยาของหวังเว่ยตงไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับครอบครัวเดิมของหล่อน ถ้าในอนาคตเกิดข้อพิพาทขึ้นจริง หล่อนก็คงจะเข้าข้างครอบครัวเดิมของหล่อน
ถ้าหวังเว่ยตงอยู่ด้วย ทุกอย่างก็คงพูดคุยกันได้ง่ายกว่านี้
“สิ่งที่เสี่ยวเซี่ยพูดก็มีเหตุผลอยู่” คุณยายหวังพูดกับพี่ใหญ่ซิ่วเหมย “พี่ชายสะใภ้ เธออาจจะต้องเอาใบรับรองหนี้กลับมานะ”
พี่ใหญ่ซิ่วเหมยรีบพูดอย่างร้อนรน “คุณน้า จะให้ฉันไปอีกรอบไม่ได้นะ”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันหมายถึงว่าต่อไปเธอต้องเอาใบรับรองหนี้กลับมาให้ได้”
หลินเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ และไม่ได้พูดอะไรมาตลอด จึงพูดกับพวกเขาว่า
“มาลงใบเสร็จกันเถอะค่ะ”
แค่รู้ว่าเงินก้อนนี้จะไปไหนในอนาคตก็พอแล้ว
หลินเซี่ย ไม่อยากให้ เซี่ยไห่ เสียเวลามากกับเรื่องของคนอื่น แม้ว่าความกังวลของ เซี่ยไห่ จะมีเหตุผลอยู่บ้าง
หลินเซี่ยเข้าใจนิสัยของเซี่ยไห่ เขามักจะทุ่มเทให้กับครอบครัวโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อเห็นพี่ใหญ่ซิ่วเหม่ยมาทวงหนี้น้องสาวตัวเอง เขาคงจะรู้สึกรังเกียจพฤติกรรมแบบนี้
คิดว่าเขาไม่ใช่ลูกผู้ชาย
หลินเซี่ยกลับเข้าใจพี่ใหญ่ซิ่วเหมย
ในยุคสมัยนี้ การที่สามารถหยิบยื่นเงินก้อนใหญ่สองพันหยวนให้น้องสาวในยามคับขันได้ ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่มีน้ำใจมากแล้ว
“อารอง เรามอบเงินที่เหลือให้คุณน้าหวังกับพี่สะใภ้ซิ่วเหมยกันเถอะ พวกเราควรไปได้แล้ว”
หลังจากจัดการเรื่องเอกสารเสร็จเรียบร้อย และส่งมอบเงินให้กับคุณยายหวังแล้ว ก็ถือว่าการซื้อขายระหว่างสองครอบครัวเสร็จสิ้นลงด้วยดี
“คุณยายหวัง พวกเราขอตัวก่อนนะคะ”
เซี่ยไห่รู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง เพราะการทำธุรกรรมครั้งนี้เป็นการตกลงกับผู้หญิงสองคน
ระหว่างทางกลับ เขาก็พูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย พอหวังเว่ยตงกลับมาเขาจะไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม?”
เซี่ยไห่กลัวว่าหลินเซี่ยจะเข้าใจผิด เขาจึงรีบอธิบายอย่างร้อนรน “ฉันไม่ได้ดูถูกผู้หญิงนะ แต่เพราะคุณยายหวังอายุมากแล้ว ฉันกลัวว่าพอหวังเว่ยตงกลับมาเขาจะไม่ยอมขายที่ดิน และอาจคิดว่าพวกเราหลอกลวงผู้หญิงสองคนในครอบครัวของเขา”
หลินเซี่ยไม่ได้กังวลเหมือนเซี่ยไห่ “เราเซ็นสัญญากันแล้ว และพวกเขาก็รับเงินไปแล้วด้วย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงต่างก็มีความสามารถทางกฎหมายเหมือนกัน คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”
เซี่ยไห่ลูบคางครุ่นคิด “ฉันว่าพวกเราต้องรีบลงมือทำงานเร็วๆ หนีไม่พ้นต้องรื้อบ้านเก่าๆ หลังนั้นทิ้งก่อน”
หลังจากกลับถึงบ้าน เธอก็มอบเงินค่าขายที่ดินทั้งหมดให้กับเซี่ยไห่
เซี่ยไห่มองซองกระดาษสีน้ำตาลหนาๆ ที่หลินเซี่ยวางไว้ในมือของเขา เขาจ้องมองเธออย่างงงๆ แล้วถามว่า “เซี่ยเซี่ย นี่หมายความว่ายังไง? เธอจะเตะฉันออกจากวงการเหรอ?”
“อารอง ทำไมคุณถึงคิดในแง่ร้ายแบบนี้ล่ะ?”
หลินเซี่ยอธิบายว่า “ชื่อในโฉนดที่ดินเป็นชื่อของฉัน แน่นอนว่าเงินต้องให้คุณ”
“พวกเราพักสักสองวันก่อน คุณไปจัดการเรื่องห้องเต้นรำก่อน ฤดูหนาวมีคู่บ่าวสาวแต่งงานกันเยอะ ฉันต้องไปยุ่งอยู่ที่ร้านเช่าชุดแต่งงาน”
“ห้องเต้นรำของฉันไม่มีอะไรต้องยุ่งมาก แค่ตรวจตราเป็นประจำก็พอ ฉันจะไปติดต่อรถแทรกเตอร์มาทุบบ้านหลังนั้นทิ้งซะก่อน”
เซี่ยไห่เป็นคนใจร้อน และกังวลว่าหวังเว่ยตงอาจมาก่อเรื่อง ดังนั้นเขาจึงต้องการประกาศความเป็นเจ้าของอย่างรวดเร็ว โดยการปรับพื้นที่ให้เรียบก่อน
เซี่ยไห่บอกว่าเรื่องนี้หลินเซี่ยไม่ต้องยุ่งแล้ว อากาศหนาวแบบนี้ เธอเป็นผู้หญิงควรอยู่บ้านดูแลลูกจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องวิ่งตามเขาไปอีก
เขาจะหารถแทรกเตอร์มาทำงานเอง
หลินเซี่ยไปที่ร้านเช่าชุดแต่งงานซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเพียงไม่กี่ก้าว โจวลี่หรงพาเสี่ยวหู่มาเป็นเพื่อนหลินเซี่ยที่ร้าน ในฤดูหนาวมีคนแต่งงานมากขึ้น จึงมีคนมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจางซ่วนมอบงานนี้ให้กับเฉินเจียซิ่ง
เขารับงานจากช่องทางอื่นและต้องเดินทางไปต่างถิ่น จึงให้เฉินเจียซิ่งรับผิดชอบงานถ่ายรูปพรีเวดดิ้งแทน
เรื่องนี้ทำให้หลินเซี่ยรู้สึกกังวลมาก
ทักษะการถ่ายภาพของเฉินเจียซิ่งถือว่าไม่มีปัญหา แต่นิสัยของเขาไม่ค่อยมั่นคงนัก
เธอกลัวว่าเขาจะทำงานแบบขอไปทีและมีผลงานไม่สม่ำเสมอ
แต่หลังจากถ่ายภาพคู่บ่าวสาวไปหลายคู่ หลินเซี่ยก็คลายความกังวลลง
เฉินเจียซิ่งแสดงผลงานได้ไม่เลวเลย
แถมด้วยนิสัยร่าเริงและกระตือรือร้นของเขา ทำให้การสื่อสารกับลูกค้าราบรื่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
เมื่อหลินเซี่ยทำงานที่ร้านเช่าชุดแต่งงานได้สามวัน เจียงอวี่เฟยก็มาเยี่ยม
หล่อนสวมเสื้อขนเป็ดหนา ๆ พร้อมถือของอร่อย ๆ มาฝากหลินเซี่ยมากมาย
ขาหมูย่างที่ซื้อมาจากร้านขาหมูโดยเฉพาะสำหรับเธอ รวมทั้งไก่อบและห่านอบด้วย
เมื่อหล่อนเข้ามา อาหารในมือหล่อนก็ส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหล
หลินเซี่ยเห็นหล่อนแล้วกลับไม่มีความยินดีเหมือนแต่ก่อน เหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โอ้ นี่ใครกันนะ?”
เจียงอวี่เฟยส่งของในมือให้หลินเยี่ยน บอกให้รีบเอาจานมาใส่ ทุกคนจะได้กินตอนที่ยังร้อนๆ
จากนั้นเจียงอวี่เฟยก็เข้าไปใกล้หลินเซี่ย แล้วพูดว่า “เซี่ยเซี่ย เธออย่าพูดจาประชดประชันแบบนี้ได้ไหม? ฉันคิดถึงเธอจะแย่อยู่แล้ว”
หลินเซี่ยแค่นเสียงอย่างหงุดหงิด “ไปให้พ้น คิดว่าทางฉันจะไม่มีข่าวคราวอะไรเลยงั้นเหรอ?”
“ทางโรงเรียนให้พวกเราไปร่วมการแข่งขันเต้นรำที่เมืองปินเฉิง ช่วงนี้ฉันซ้อมอยู่ตลอด แทบไม่ได้กลับบ้านเลย” เจียงอวี่เฟยพูดถึงตรงนี้แล้วมองหลินเซี่ยด้วยสายตาตำหนิ “เธอก็ยุ่งทั้งวันไม่ใช่เหรอ เธอเองก็ไม่ได้ติดต่อฉันเหมือนกัน”
โจวลี่หรงได้ยินเสียงของเจียงอวี่เฟยก็รีบอุ้มลูกออกมาจากห้องกั้น
เมื่อครู่ที่ได้ยินเจียงอวี่เฟยบอกว่ายุ่งกับการซ้อม ไม่มีเวลาออกจากโรงเรียน หัวใจของหล่อนก็รู้สึกโล่งขึ้นมาทันที
เมื่อไม่กี่วันก่อนหล่อนยังถามเฉินเจียวั่งว่าช่วงนี้ได้เจอกับเจียงอวี่เฟยบ้างไหม ลูกชายคนที่สามของหล่อนกลับตอบอย่างขอไปทีว่าอีกฝ่ายยุ่งอยู่
ตอนนี้เมื่อได้ยินเจียงอวี่เฟยยืนยันด้วยตัวเองว่ากำลังยุ่งจริงๆ หล่อนจึงรู้สึกสบายใจขึ้น
โจวลี่หรงทักทายเจียงอวี่เฟยอย่างกระตือรือร้น เจียงอวี่เฟยเห็นโจวลี่หรงอยู่ที่นี่ก็ทักทายอย่างสุภาพเช่นกัน
หลินเซี่ยโต้เถียงกับเจียงอวี่เฟยสองสามประโยค แล้วจึงถามหล่อนว่า “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ร้านเช่าชุดแต่งงาน?”
“ฉันถามพี่สะใภ้น่ะ” เจียงอวี่เฟยตอบ “สองสามวันนี้ว่างๆ ก็เลยอยากมาเจอเธอ พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ได้ยินมาว่าเธอจะสร้างโรงเรียนด้วยเหรอ?”
หลินเซี่ยอึ้งไปสองสามวินาที ก่อนจะตระหนักได้ว่าพี่สะใภ้ที่เจียงอวี่เฟยพูดถึงคืออาหญิงของเธอ
ยุ่งเหยิงไปหมด คำเรียกลำดับญาติพี่น้องชวนสับสนไปหมดแล้ว
ยุ่งจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
เจียงอวี่เฟยถามหลินเซี่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เซี่ยเซี่ย เรื่องสร้างโรงเรียนนั่นเป็นเรื่องจริงหรือ?”
หลินเซี่ยทำท่าลึกลับ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความนัยยะ “ได้ยินมาจากใครกัน? ได้ยินมาจากเจ้าสามเฉินใช่ไหม?”
เจียงอวี่เฟยดวงตาวาววับ ค่อนข้างอายที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “บอกมาสิว่าใช่หรือเปล่า?”
เมื่อเจียงอวี่เฟยได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย หล่อนก็มองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าเหมือนแฟนคลับตัวน้อย อุทานว่า “พี่สาวของฉัน เยี่ยมไปเลย โอ้สวรรค์ ฉันไม่กล้าจินตนาการเลยว่าเธอจะสร้างโรงเรียน”
หลินเยี่ยนนำขาหมูและไก่ย่างห่านย่างที่เจียงอวี่เฟยนำมาใส่ในกล่องข้าวอะลูมิเนียมที่พวกหล่อนใช้กินข้าวทุกวัน แล้ววางบนโต๊ะเล็ก
เจียงอวี่เฟยยิ้มพูดกับพวกหล่อนว่า “น้าโจว พี่หงเสีย เสี่ยวเยี่ยน นี่คือของที่ฉันซื้อมาให้ทุกคน พวกคุณนั่งลงกินด้วยกันเถอะ”
“รีบมากินกันเถอะ ตอนนี้ทุกคนว่างอยู่แล้ว กินเสร็จค่อยคุยกัน”
หยางหงเสียกล่าวขอบคุณหลินเยี่ยน แล้วทุกคนก็นั่งลง
หลินเซี่ยแทะขาหมู โจวลี่หรงก็กินปีกไก่ย่างอย่างมีความสุข
“ฉันอยากถามอะไรหน่อย” หลินเซี่ยพูดพลางแทะขาหมู แล้วเริ่มซุบซิบกับเจียงอวี่เฟย “เสิ่นอวี้หลงกับแม่บุญธรรมของฉันส่งลูกสาวของเสิ่นอวี้อิ๋งไปอยู่กับตระกูลหลิวแล้วใช่ไหม? ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่กับตระกูลหลิวแล้ว” เจียงอวี่เฟยตอบ
“หา?” หลินเซี่ยได้ยินคำพูดของหล่อน สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เธอกลืนขาหมูในปากลงคอแล้วรีบถามเจียงอวี่เฟยอย่างเร่งรีบ “เกิดอะไรขึ้น?”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่?” หลินเซี่ยรีบถาม
“นานแล้วล่ะ ก็หลังจากส่งไปบ้านตระกูลหลิวไม่นานนั่นแหละ ทุกคนไม่เคยเห็นเด็กคนนั้นเลย พอมีคนถาม แม่ของหลิวจื้อหมิงก็บอกว่าส่งไปบ้านหมอเซี่ยอีกแล้ว บอกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งมีลูกทั้งที่ยังไม่แต่งงาน แถมไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่เกี่ยวอะไรกับครอบครัวพวกเขา”
เจียงอวี่เฟยโน้มตัวเข้าใกล้หลินเซี่ย ทำหน้าดูถูกพลางส่งเสียงจุ๊ๆ สองครั้ง พลางพูดว่า “หลิวจื้อหมิงไม่ได้คบกับผู้หญิงอายุมากที่เป็นผู้นำของโรงงานสิ่งทอหรอกเหรอ? ผู้หญิงคนนั้นใกล้คลอดแล้ว ช่วงนี้ก็อยู่ที่บ้านตระกูลหลิวนั่นแหละ”
“ให้หมอเซี่ยเหรอ?” หลินเซี่ยหรี่ตาพึมพำ “เป็นไปได้ยังไง?”
แม้หลังจากอากาศหนาวแล้วเธอจะไม่ได้ไปที่บ้านเซี่ยหลานอีก แต่บางครั้งที่โทรศัพท์คุยกัน เซี่ยหลานกลับไม่เคยพูดถึงเรื่องที่เสิ่นเสี่ยวอวี้ถูกส่งกลับมาเลย
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทุกคนต่างก็มีเรื่องลำบากใจกันทั้งนั้น จะกล่าวโทษพี่ใหญ่ซิ่วเหมยคนเดียวก็ไม่ถูก
สรุปแล้วยัยเด็กปีศาจคนนั้นถูกส่งตัวไปที่ไหนแล้วนะ
ไหหม่า(海馬)