ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 848 เฉินเจียวั่งสารภาพรัก
ตอนที่ 848 เฉินเจียวั่งสารภาพรัก
“เข้าไปเร็วเถอะ ฉันไปละ”
เฉินเจียวั่งมองหล่อนเดินเข้าไปในโรงเรียน เขาล้วงมือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหมุนตัวจากไปอย่างมีมาด
เจียงอวี่เฟยเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็อดใจไม่ไหวต้องหันกลับไปมอง พอดีสบตากับชายหนุ่มที่หยุดเดินและหันมามองเช่นกัน
แสงแดดยามเที่ยงสาดส่องลงมาบนตัวพวกเขา ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองที่มีรูปร่างหน้าตาและบุคลิกโดดเด่นยืนจ้องตากันอยู่ห่างกันราวสิบกว่าเมตร เป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน
ในขณะที่เจียงอวี่เฟยกำลังโบกมือลาและเตรียมตัวจากไป เฉินเจียวั่งก็วิ่งเข้ามาหาหล่อนอย่างกะทันหัน
“เจียงอวี่เฟย เรามาคบกันเถอะ”
เขาพูดว่า “มาเป็นแฟนผม แล้วเรามาคบกันอย่างเป็นทางการนะ ได้ไหม?”
เจียงอวี่เฟยมองชายหนุ่มที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ได้ยินเสียงชวนดึงดูดใจของเขาแล้วก็คิดว่าตัวเองกำลังเห็นภาพหลอนที่เกิดจากการจ้องมองเขาเมื่อครู่
เฉินเจียวั่งไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที เขามองเธอด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง แล้วถามความเห็นหล่อนอีกครั้งอย่างระมัดระวัง “ได้ไหมครับ?”
“ทำไมนายถึงจู่ๆ …….”
เจียงอวี่เฟยรู้สึกงุนงงมาก ทำไมเขาถึงกลับมาพูดเรื่องพวกนี้กับหล่อนอย่างกะทันหัน
“ไม่ใช่ว่าจู่ๆ หรอก” เขาพูด “ฉันวางแผนมานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีความกล้าพอที่จะพูด”
ในอดีต เขาเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายอย่างสิ้นเชิง
แม้ภายนอกจะดูเท่และมั่นใจ แต่ความจริงแล้วเขารู้สึกต่ำต้อยอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าเจียงอวี่เฟย
เขาจะไม่รู้ถึงความรู้สึกของหล่อนที่มีต่อเขาได้อย่างไร เพียงแต่เขาไม่สามารถเปิดใจได้
เมื่อนึกถึงว่าหล่อนเคยเห็นสภาพที่เลวร้ายที่สุดของเขา เขาก็ไม่มีความกล้าที่จะก้าวไปอีกขั้นกับหล่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้หล่อนยังประสบความสำเร็จมาก ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงไปแล้วครึ่งทาง คือดาวดวงใหม่ที่กำลังจะรุ่งโรจน์ในอนาคต
ในขณะที่เขายังคงสับสนและไม่รู้จะทำอย่างไรกับอนาคตของตัวเอง
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว เขาได้รับรางวัลจากการแข่งขันออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของประเทศ M คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ประเมินว่าเขาเป็นสถาปนิกที่มีศักยภาพมากที่สุดในอนาคต และยังเชิญเขาไปศึกษาต่อที่สถาบันสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ M อีกด้วย
พวกเขากล่าวว่าผลงานของเขาเป็นแนวนีโอคลาสสิก ผสมผสานกับองค์ประกอบของสไตล์ยุโรป พวกเขาชื่นชมผลงานของเขามาก และหวังว่าเขาจะมาศึกษาต่อที่ประเทศ M
รางวัลนี้ได้มอบความมั่นใจให้กับเขาอย่างทันท่วงที
“เฉินเจียวั่ง นายจริงจังหรือ?” เจียงอวี่เฟยจ้องมองดวงตาของเขาและถาม
เขาตอบอย่างหนักแน่นและมั่นคง “จริงจังมาก”
สีหน้าจริงใจของเฉินเจียวั่งทำให้หัวใจของเจียงอวี่เฟยสั่นสะท้านอีกครั้ง
หล่อนเอามือปิดปากเพราะความตื่นเต้น ไม่รู้จะตอบสนองเขาอย่างไรดี
“ว้าว มีคนกำลังสารภาพรักเลย”
“คบกันเถอะ คบกันเถอะ”
“เป็นเจียงอวี่เฟยนี่เอง มีคนมาสารภาพรักกับเจียงอวี่เฟยแล้ว”
เพื่อนนักศึกษาที่เดินเข้าออกโรงเรียนต่างหยุดดูเหตุการณ์อันวุ่นวายนี้
เจียงอวี่เฟยสังเกตเห็นเพื่อนนักศึกษาที่มามุงดู ทั้งรู้สึกอายและกระอักกระอ่วน
ทั้งๆ ที่ช่วงเวลานี้เป็นสิ่งที่หล่อนใฝ่ฝันมานาน
หล่อนมองไปรอบบริเวณที่เพื่อนนักศึกษายืนอยู่ แล้วรีบพูดว่า “ฉันตกลง นายกลับไปก่อนนะ เดี๋ยวเลิกเรียนค่อยคุยกัน”
เจียงอวี่เฟยพูดจบอย่างรวดเร็ว แล้วเอามือปิดหน้าหมุนตัววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เฉินเจียวั่งยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงถูกนักศึกษาจากวิทยาลัยนาฏศิลป์มองอยู่ จนกระทั่งเจียงอวี่เฟยหายลับไปที่มุมตึก เขาจึงหันหลังเดินไปทางประตูใหญ่ของโรงเรียน
เมื่อออกจากโรงเรียน เขาลูบแก้มที่ร้อนผ่าว หัวใจเต้นรัวแรง
เมื่อครู่เจียงอวี่เฟยพูดว่า…ตอบตกลงเขา?
หล่อนตอบตกลงเป็นแฟนเขาแล้ว
ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่มีแฟนแล้วน่ะสิ
…
วันต่อมา หลินจินซานก็หาคนงานได้แล้ว บอกว่าพร้อมจะมาทำงานได้ทุกเมื่อ
เฉินเจียวั่งที่เอาชนะใจเจ้านายทุกคนด้วยแบบแปลนการออกแบบ ก็ทำหน้าที่เป็นช่างเทคนิคอย่างสมเหตุสมผล รับผิดชอบการวางแนวในพื้นที่
ซึ่งเฉินเจียวั่งทำงานนี้ได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญมาก
เขาบอกว่าเมื่อไม่นานมานี้ เขาได้ไปฝึกงานที่หน่วยงานก่อสร้างพอดี ได้ลงมือปฏิบัติจริง
ต้องยอมรับว่า สำหรับบางอาชีพแล้ว ความพยายามนั้นสำคัญมาก แต่พรสวรรค์ก็สำคัญไม่แพ้กัน
เฉินเจียเหอบอกว่าเฉินเจียวั่งชอบสร้างบ้านรูปแบบต่างๆ บนพื้นที่ว่างในลานบ้านมาตั้งแต่เด็ก
เขายังชอบใช้ขยะที่ทิ้งแล้วมาสร้างบ้านหลากสีสันและรูปแบบที่แตกต่างกันในบ้านอีกด้วย
ต่อให้ป่วยจนต้องพักการเรียน สุดท้ายเขาก็ยังยืนหยัดจนสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมได้
พวกหลินจินซานต่างรู้เรื่องที่เฉินเจียวั่งได้รับรางวัลใหญ่จากต่างประเทศในตอนนี้เอง พวกเขาต่างก็ชื่นชมเฉินเจียวั่งน้องชายคนเล็กคนนี้มาก
ช่วงนี้เฉินเจียวั่งมีอารมณ์ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเจอใครก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ
หลินเซี่ยมองเฉินเจียวั่งถือกล้องวัดมุมกับตลับหมึกและเครื่องมือมืออาชีพอื่นๆ กำลังวัดและลากเส้นอย่างจริงจัง พูดกับพวกเขาด้วยเสียงเบา นุ่มนวล ต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง
“ดูน้องสามสิ พอได้รางวัลแล้ว คนทั้งคนก็ดูเปล่งประกาย มั่นใจขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย” หลินเซี่ยกล่าว
“สองสามปีมานี้เขาเจอเรื่องหนักหนามามาก รางวัลนี้เลยสำคัญกับเขามาก” เฉินเจียเหอตอบ
มันพิสูจน์ความสามารถของเขา และมอบความมั่นใจให้เขาด้วย
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ สาเหตุที่เฉินเจียวั่งอารมณ์ดีกลับไม่ได้มาจากการได้รับรางวัลเพียงอย่างเดียว
หลินจินซานหาคนงานชั่วคราวมาได้สิบกว่าคน ล้วนเป็นแรงงานวัยสามสิบถึงสี่สิบปีที่แข็งแรง
เซี่ยไห่กำชับลู่เจิ้งอวี่ว่าหลังเลิกงานที่ห้องเต้นรำ ให้เจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยของพวกเขาพักผ่อนกันก่อน หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ในระหว่างวัน ต้องมั่นใจว่าทุกคนจะมาถึงได้
ตอนที่เขาโทรศัพท์หาลู่เจิ้งอวี่ บังเอิญหลินเซี่ยซึ่งกำลังแนะนำตำแหน่งวางสายให้เฉินเจียวั่งได้ยินเข้าพอดี
เพื่อเรื่องเล็กน้อยแล้ว เขากลับระดมคนมามากมาย พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เขาจ้างมาล้วนเป็นทหารผ่านศึก ตัวสูงใหญ่ทุกคน ยืนเรียงแถวดูเหมือนพวกอันธพาล
เธอกังวลมากว่าหากเซี่ยไห่เคยชินกับวิธีจัดการแบบนี้ ต่อไปเมื่อเจอเรื่องอะไร เขาก็จะจัดการแบบนี้
นานไปเขาจะติดใจ จะเคยชิน และจะขยายทีมให้ใหญ่ขึ้น
นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับอิทธิพลมืดเลย
เซี่ยไห่ตอบว่า “ผมแค่อยากสร้างผลกระทบให้สะเทือนใจเท่านั้น”
หลินเซี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา “อารอง คุณข่มขวัญพวกนักเลงที่ก่อเรื่องได้ แต่อย่าเอาวิธีนี้ไปใช้กับประชาชนธรรมดาที่ไม่มีทางสู้เลยนะคะ”
เธอเตือนว่า “อีกอย่าง หวังเว่ยตงยังไม่ได้กลับมา ถึงเขาจะกลับมาก็ไม่ได้บอกว่าจะมาก่อเรื่อง”
“ก็ไม่แน่เหมือนกัน” เซี่ยไห่อาจจะกลัวพวกที่มาก่อเรื่องในห้องเต้นรำ เลยอยากป้องกันไว้ก่อน
เซี่ยไห่มีท่าทีเด็ดเดี่ยว หลินเซี่ยไม่อาจห้ามปรามได้เลย จึงไม่พูดอะไรอีก
หลินจินซานถูกส่งมาควบคุมงานตลอดเวลา ในฐานะคนที่เกิดและเติบโตในชนบท เขาย่อมมีความชำนาญเรื่องที่ดินเป็นธรรมดา
การจับพลั่วของเขาดูเชี่ยวชาญมาก แม้จะเป็นผู้ควบคุมงาน แต่เขาก็ลงมือทำงานร่วมกับทุกคนด้วย
เมื่อก่อนตอนอยู่ในหมู่บ้าน เขามักจะช่วยชาวบ้านสร้างบ้านอยู่เสมอ
ถึงอย่างไรบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านดิน มีบ้านที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องอยู่บ้างเป็นครั้งคราว
ฐานรากไม่ได้ลึกขนาดนั้น แต่โครงสร้างโดยรวมก็คล้ายๆ กัน
เมื่อเซี่ยไห่และหลินเซี่ยเริ่มขุดที่นี่แล้ว พวกเขาก็ไปทำธุระอื่นๆ
หลินเซี่ยกลับบ้านไปดูแลลูก ส่วนเซี่ยไห่ก็กลับไปที่ห้องเต้นรำ
หลินจินซานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก เมื่อมีเขาอยู่ ทั้งเซี่ยไห่และหลินเซี่ยต่างก็รู้สึกสบายใจ
เมื่อถึงวันที่สอง หลินจินซานพาคนมาขุดไปได้เกือบครึ่งแล้ว
พอถึงเวลาเที่ยง ชายคนหนึ่งสะพายกระเป๋าเดินทางเก่าๆ ใบหน้าคล้ำแดด เดินผ่านมาทางนี้ พอเห็นกลุ่มคนกำลังขุดฐานราก เขาก็ยืนอยู่ริมหลุม ใบหน้าดำคล้ำด้วยความโกรธ ตะโกนใส่พวกเขาด้วยความเดือดดาล “พวกแกกำลังทำอะไรกัน?”
หลินจินซานถือพลั่วเหล็กอยู่ในมือกำลังทำงานอยู่ เมื่อเห็นชายตรงหน้า เขาก็พิงด้ามพลั่วแล้วเอ่ยปาก “นี่เป็นที่ของพวกเรา พวกเราอยากขุดก็ขุด มีปัญหาอะไรหรือ?”
“ที่ของพวกแก?” ชายคนนั้นตะโกนด้วยความโกรธ “นี่มันที่ของบ้านฉัน ไม่ใช่ที่ของพวกแก”
ชายคนนั้นโยนกระเป๋าเดินทางลง เขาตะโกนใส่คนงานที่กำลังทำงานอย่างโกรธเกรี้ยว “หยุดขุดกันให้หมด ห้ามขุด นี่เป็นที่ดินของบ้านฉัน ใครอนุญาตให้พวกแกทำแบบนี้?”
“นายเป็นใคร?” หลินจินซานหรี่ตามองชายที่ยืนอยู่ด้านบน เขาถือพลั่วเดินขึ้นมาจากหลุม
เซี่ยไห่ได้เตือนหลินจินซานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงมีการเตรียมใจไว้
เขาไม่ได้ปะทะกับคนผู้นั้นอย่างรุนแรง แต่หันไปตะโกนบอกคนงานที่กำลังขุดฐานรากว่า “ได้ พักกันหน่อยนะ”
เซี่ยไห่ยังตั้งใจเอาโทรศัพท์มือถือเก่าให้หลินจินซานเพื่อสะดวกในการติดต่อด้วย
หลินจินซานมองชายคนนั้น แล้วเดินไปอีกด้านเพื่อรีบโทรหาเซี่ยไห่
พร้อมกันนั้นก็แจ้งหลินเซี่ยด้วย
บ้านของหลินเซี่ยอยู่ใกล้แถวนี้ เมื่อเธอได้รับโทรศัพท์จากหลินจินซาน จึงฝากลูกไว้กับโจวลี่หรง สวมเสื้อนวมตัวหนา แล้วขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงที่นี่ภายในเวลาไม่กี่นาที
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ในที่สุดเจียวั่งก็สารภาพรักออกมาได้เสียที ทำเอาลุ้นอยู่ตั้งนานว่าจะสารภาพเมื่อไหร่
เจ้าของที่กลับมาแล้วสินะ เรื่องยุ่งๆ กำลังเริ่มขึ้นแล้ว
ไหหม่า(海馬)