ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 855 คนแก่ที่เหงาหงอย
ตอนที่ 855 คนแก่ที่เหงาหงอย
หลินจินซานลูบจมูกแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเธอมองฉันทำไม? ฉันว่าเทคนิคการถ่ายภาพของเจียซิ่งก็ไม่เลวเลย มีคำพูดหนึ่งบอกว่ายังไงนะ คนเราห่างกันสามวันต้องมองกันใหม่ ก่อนหน้านี้ฉันมีอคติกับเขาก็จริง แต่ต่อไปนี้พวกเราเป็นสหายพี่น้องกันแล้ว”
“พี่คิดแบบนี้ถูกต้องแล้ว”
หลินจินซานกับชุนฟางก็วางแผนจะกลับบ้าน ก่อนกลับเขาพูดกับหลินเซี่ยว่า
“เซี่ยเซี่ย คุณย่าบอกว่าอยากให้เธอกลับไปอยู่บ้านสักสองวัน วันนี้จะไปกับพวกเราไหม? ยังไงเธอก็อยู่บ้านเฉยๆ ฉันจะอุ้มเสี่ยวหู่ไปด้วย พวกเรากลับบ้านด้วยกันนะ จะได้คึกคักหน่อย คุณย่าเหงามาตลอดทั้งวันแล้ว”
หลินเซี่ยตอบตกลงอย่างรวดเร็ว “ได้ พวกพี่รอฉันตรงนี้นะ ฉันจะกลับไปเก็บเสื้อผ้าให้ลูกสองสามชุด แล้วเราไปด้วยกัน”
ความจริงเธอก็คิดถึงคุณย่าเหมือนกัน
ตอนนี้อาหญิงก็แต่งงานไปแล้ว และเพราะกำลังตั้งครรภ์ หล่อนจึงแทบไม่กล้าออกไปไหน ซึ่งคนแก่คงจะไม่ชินแน่ๆ
คนแก่ก็ขี้เหงาแบบนี้แหละ
คุณแม่เซี่ยได้ยินเสียงของหลินเซี่ย ก็รีบสาวเท้าเล็กๆ วิ่งออกมา
“โอ้ หลานสาวที่รัก เธอมาแล้วหรือ ช่วงนี้ย่าคิดถึงพวกเธอมากเลย”
แม้ปากของคุณย่าจะเรียกหลานสาวที่รัก แต่มือกลับจับมือหู่จืออย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาก็จ้องมองไปที่เสี่ยวหู่ในอ้อมแขนของหลินจินซาน
“รีบเข้าบ้านกันเถอะ ข้างนอกหนาวมาก อย่าให้เด็กๆ หนาวเลย”
เซี่ยไห่อยู่บ้านพอดี เห็นหลินเซี่ยพาเด็กๆ มา ก็เดินออกมาอุ้มหู่จืออย่างดีใจ
คุณย่าต้อนรับทุกคนเข้าห้องโถง ยิ้มพลางถามหลินจินซาน “จินซาน เธอกับชุนฟางไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้งเป็นยังไงบ้าง?”
หลินจินซานตอบ “ย่า ดีมากครับ พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าไปสามชุด ถ่ายรูปไว้เยอะแยะเลย เดี๋ยวถ้าล้างออกมาแล้วจะเอากลับมาให้ย่าดูนะครับ”
คุณแม่เซี่ยยิ้มพลางถอนหายใจ “พวกคนหนุ่มสาวสมัยนี้ช่างโชคดีกันจริงๆ แค่แต่งงานยังต้องถ่ายรูปพรีเวดดิ้งตั้งสามชุด”
“ย่าครับ แล้วสมัยของย่าล่ะครับ? น่าจะต้องถ่ายรูปติดบัตรด้วยใช่ไหมครับ?” หลินจินซานถามอย่างสงสัย
คุณแม่เซี่ยแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย ชัดเจนว่าไม่อยากหวนคิดถึงอดีต
หลินเซี่ยเห็นความเศร้าโศกบนใบหน้าของคุณย่า ก็รู้สึกสงสารคุณย่ามาก ตอนนี้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขนาดนี้แล้ว ถ้าคุณปู่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอก็คงทำให้ผู้เฒ่าพึงพอใจได้อย่างเต็มที่ ถ่ายรูปพรีเวดดิ้งให้พวกเขาด้วย
น่าเสียดายที่หญิงชราอยู่คนเดียว ดังนั้นจะถ่ายรูปอย่างไรได้? นางคงจะยิ่งสะเทือนใจกว่าเดิม เธอคิดแล้วก็ไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้เลย
หลินจินซานได้ยินคำพูดของคุณแม่เซี่ย จึงถามอย่างสงสัย “ทำไมถึงไม่ถ่ายล่ะครับ? ผมเห็นย่ากับปู่ของผมยังเคยถ่ายรูปติดบัตรด้วยกันเลย ถึงจะเป็นรูปขนาดหนึ่งนิ้วก็ยังเป็นรูปถ่ายนะครับ”
เซี่ยไห่เห็นหลินจินซานซักไซ้ไล่เลียง สีหน้าของแม่เขาก็ยิ่งดูเศร้าสร้อย และตัวเขาเองที่นึกถึงคนคนนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงตวาดใส่หลินจินซานด้วยความไม่พอใจ “ทำไมพูดมากแบบนี้? รีบไปทำงานเลยไป!”
ชุนฟางอยู่ข้างๆ พอดี เซี่ยไห่ที่ตวาดใส่หลินจินซานไปรอบหนึ่งจึงกลัวว่าชุนฟางจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานะของหลินจินซานในครอบครัวของพวกเขา
เขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงให้นุ่มนวลลง แล้วพูดเสริมว่า “ช่วงนี้ที่ห้องเต้นรำต้องระวังหน่อยนะ ใกล้สิ้นปีแล้ว คนวุ่นวายเยอะ ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยให้ดี ทำงานให้ดีในเวลางาน จะได้มีเวลาเตรียมงานแต่งงาน”
หลินจินซานไม่ได้สนใจท่าทีของเซี่ยไห่เลย เขาตอบอย่างว่าง่าย “อารอง ผมเข้าใจแล้วครับ งั้นผมจะไปส่งชุนฟางกลับก่อนแล้วค่อยไปทำงานนะครับ”
ชุนฟางยิ้มพลางกล่าวว่า “ฉันจะกลับไปกินข้าวที่บ้านค่ะคุณย่า”
“ก็ได้ พวกเธอต่างก็ยุ่งกันทั้งนั้น ไม่มีเวลาอยู่นานหรอก”
คุณแม่เซี่ยกำชับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย กลับไปแล้วช่วยจัดการงานของชุนฟางหน่อยนะ ให้คู่หนุ่มสาวเขาได้เตรียมงานแต่งงานอย่างสบายใจ”
“ได้ค่ะ”
คุณแม่เซี่ยยิ้มพลางพูดกับชุนฟางและคนอื่นๆ ว่า “ฉันสั่งเซี่ยเซี่ยไว้แล้ว พวกเธอสองคนจัดการเวลาของตัวเองตามสมควรนะ ถ้าจะซื้ออะไรก็ไปซื้อตอนกลางวัน ถ้าอยากกินข้าวที่บ้าน เราก็จะซื้อมาให้”
ความรักและห่วงใยของหญิงชราทำให้ชุนฟางรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงในใจ ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยที่ต้องเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่
หล่อนรู้ว่าต่อไปตนจะใช้ชีวิตอยู่กับหลินจินซานสองคน แม้จะกลับมาบ้านตระกูลเซี่ย หล่อนก็ยินดีที่จะอยู่นานๆ และอยู่ร่วมกับผู้เฒ่า
ผู้ใหญ่ทุกคนล้วนใจดีและเข้าใจเหตุผล พวกเขาปฏิบัติต่อหลินจินซานเหมือนลูกของตัวเองอย่างจริงใจ
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี หลินเซี่ยจึงพูดว่า “คุณย่า ฉันจะวางเสี่ยวหูไว้ในรถเข็นเด็ก คุณย่าเล่นกับเหลนหน่อยนะคะ วันนี้ฉันจะไปทำอาหารให้พวกเรา”
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงยังไม่กลับมา ส่วนคุณแม่เซี่ยอายุมากแล้ว แต่ก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ตอนนี้กำลังจะเข้าครัวทำอาหารให้พวกเขา
หลินเซี่ยทนดูคนแก่ทำอาหารไม่ได้ เธออายุยังน้อยแท้ๆ แต่ให้คุณยายวัยชรามาทำอาหารรับใช้พวกเขา มันดูไม่เหมาะสมเลย
เสี่ยวหู่ซุกซนมาก รถเข็นเด็กไม่สามารถรองรับเขาได้แล้ว เขาสามารถปีนออกมาจากรถได้ตลอดเวลา ซึ่งอันตรายมาก
หลินเซี่ยจึงวางเขาไว้บนเตียงให้คลานไปมาตามใจชอบ ให้คุณย่ากับหู่จือนั่งขอบเตียงคอยดูและเล่นกับเสี่ยวหู่
พอหลินเซี่ยจะไปทำอาหาร เซี่ยไห่ก็กระตือรือร้นเข้าไปช่วยเธอ
เซี่ยไห่ช่างเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีเมื่อเร็วๆ นี้ ล้างผักหั่นผักก็ทำได้คล่องแคล่ว
หลินเซี่ยมองดูอารองที่แต่ก่อนเคยทำตัวเหมือนคุณชายใหญ่ ตอนนี้สามารถทำงานในครัวได้อย่างเป็นธรรมชาติและชำนาญ เธอซาวข้าวไปพลางแซวไปพลาง “อารอง ตอนนี้คุณก็เป็นสามีที่ดีในบ้านแล้วนะ เมื่อไหร่จะแต่งงานล่ะ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยไห่ก็รู้สึกปวดหัว “ฉันก็อยากแต่งนะ แต่ลินดาไม่ยอม บอกว่าตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะแต่งงาน ต้องรอให้อาหญิงเธอคลอดก่อน แล้วจัดการงานที่เหลือให้เรียบร้อย ถึงจะพูดถึงเรื่องส่วนตัวของตัวเอง”
ลินดาเป็นผู้หญิงเก่ง มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ว่าเซี่ยไห่จะพยายามพูดให้หล่อนเปลี่ยนใจอย่างไร เรื่องที่หล่อนตัดสินใจแล้วก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เลย
แต่งงานช้าไปหนึ่งปีก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
เขาแค่รู้สึกไม่มั่นคงในใจเป็นหลัก
มักจะกังวลและหวาดระแวงอยู่เสมอ กลัวว่าตัวเองจะถูกลินดาทิ้ง
ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ เขาก็ตกหลุมรักความสัมพันธ์นี้ไปแล้ว
หลินเซี่ยพูดว่า “อารอง จริงๆ แล้วพี่ลินดาคิดรอบคอบมากนะคะ ตอนนี้หล่อนไม่มีเวลาเตรียมงานแต่งงานจริงๆ คุณดูสิ ตอนนี้อาหญิงอยู่บ้านรักษาครรภ์ งานบริษัทก็ต้องให้พี่ลินดาจัดการคนเดียว ไม่ใช่แค่การจัดการงานช่วงหลังของอาหญิงคนเดียว แต่บริษัทยังมีศิลปินคนอื่นๆ ที่พี่ลินดาต้องดูแลด้วย ถ้าตอนนี้หล่อนแต่งงานกับคุณ แล้วบังเอิญตั้งท้องขึ้นมาจะทำยังไงล่ะคะ?”
เซี่ยไห่ได้ยินคำพูดของหลินเซี่ยแล้วก็หน้าแดงด้วยความอาย แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบนึกดีใจ
หลินเซี่ยพูดถูก
แน่นอนว่าลินดาต้องมีแผนที่จะมีลูก หล่อนถึงได้อยากเลื่อนเวลาออกไป รอให้เซี่ยอวี่คลอดและกลับมาทำงานก่อน หล่อนถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนนี้ได้
เซี่ยไห่ล้างผักเสร็จแล้วก็เตรียมจะหั่นผัก เขาทำงานไปด้วยพูดกับหลินเซี่ยไปด้วย “เซี่ยเซี่ย พอเธอพูดแบบนี้ฉันก็สบายใจขึ้นแล้ว พวกเธอเป็นผู้หญิงด้วยกันคุยกันเรื่องบางเรื่องจะง่ายกว่า ถ้าเธอเจอลินดา ก็ช่วยคุยเรื่องครอบครัวกับลูกๆ รวมถึงข้อดีของการแต่งงานให้หล่อนฟังบ่อยๆ หน่อยนะ ให้หล่อนได้ซึมซับเห็นชีวิตที่มีความสุขของพวกเธอด้วย ไม่งั้นฉันก็กลัวจริงๆ ว่าสักวันหล่อนจะบินหนีไป”
แต่ความคิดของหลินเซี่ยกลับตรงกันข้ามกับเขา
“อารอง ในเรื่องการแต่งงานและชีวิตครอบครัว ฉันคิดว่าเราไม่ควรสร้างภาพลวงตาให้คนอื่นนะคะ ชีวิตของเรามีความสุขก็ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณแต่งงานแล้วจะมีชีวิตเหมือนพวกเรา ปัญหานี้พวกคุณต้องคิดให้ดี เตรียมพร้อมที่จะดูแลชีวิตคู่กันเอง การใช้ชีวิตจริงๆ แล้วเหนื่อยพอสมควร บางครั้งก็รู้สึกอึดอัด ทั้งเรื่องปากท้องและการจัดการความสัมพันธ์ต่างๆ คนนอกเพียงเห็นแต่ด้านที่มีความสุขเท่านั้น ฉันไม่อยากแนะนำลินดาหรอก ถ้าในอนาคตพวกคุณใช้ชีวิตคู่กันไม่ดีแล้วหล่อนมาบ่นว่าฉันจะทำยังไง?”
เซี่ยไห่มองหลินเซี่ยด้วยสายตาไม่พอใจ และโต้แย้งว่า “เซี่ยเซี่ย พูดแบบนี้ฉันไม่ชอบเลยนะ หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าในอนาคตพวกเราจะใช้ชีวิตคู่กันไม่ดี? พวกเธอแต่งงานแล้วมีความสุขได้ แต่พวกเรามีความสุขไม่ได้งั้นเหรอ?”
“คุณอย่าตื่นเต้นไปเลย เรื่องความรักก็เหมือนดื่มน้ำ ร้อนหรือเย็นก็จะรู้เองว่าเป็นยังไง แต่ละคนมีนิยามความสุขไม่เหมือนกัน เรื่องแบบนี้พวกคุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมเอง เมื่อพวกคุณพร้อมเต็มที่แล้วค่อยเข้าสู่พิธีวิวาห์แล้วดูแลชีวิตคู่ให้ดี ก็จะมีความสุขได้”
หลินเซี่ยมองสีหน้ากังวลของเซี่ยไห่ พลันรู้สึกสงสารเขา
อายุปูนนี้แล้วเพิ่งคิดได้ว่าอยากแต่งงาน แต่กลับจัดการแฟนไม่ได้
หลินเซี่ยยิ้มและปลอบใจว่า “เอาเถอะ คุณไม่ต้องกังวลหรอก แค่คุณดีกับลินดา ให้หล่อนรู้สึกถึงความรักจริงใจของคุณ หล่อนก็คงไม่มีทางเปลี่ยนใจหรอก อีกอย่าง ฉันรู้สึกว่าหล่อนก็รักคุณมากเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ตาของเซี่ยไห่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เขาถือมีดที่กำลังจะใช้หั่นผัก แล้วถามหลินเซี่ยว่า “จริงเหรอ? เธอก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันเหรอ? เธอก็คิดว่าลินดารักฉันมากใช่ไหม?”
“อารอง คุณไม่อายบ้างเหรอ?”
หลินเซี่ยกลัวว่าเขาจะตื่นเต้นจนทำมีดหั่นผักบาดนิ้ว เธอจึงพูดว่า “มานี่ ฉันจะหั่นผักเอง คุณไปดูลูกกับคุณย่าของฉันดีกว่า ระวังอย่าทำลูกหล่นล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มาเยี่ยมคุณย่าบ่อยๆ นะคะ คนแก่ก็จะเหงาง่ายแบบนี้แหละ
พี่ไห่ไม่ต้องกลัวค่ะ แค่ปฏิบัติดีกับลินดาให้เสมอต้นเสมอปลายอย่างที่เป็นอยู่ก็พอ
ไหหม่า(海馬)