ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 859 วัยเด็กอันแสนเศร้า
ตอนที่ 859 วัยเด็กอันแสนเศร้า
คุณแม่เซี่ยพูดต่อไปว่า
“ฉันกับคุณปู่ของเธอแต่งงานกันจากการคลุมถุงชนของครอบครัว ในยุคที่เราแต่งงานกัน สังคมวุ่นวายไม่สงบ ข้างนอกมีสงคราม เขาเป็นคนมีการศึกษา เขียนบทกวีและบทความได้ หลังจากเราแต่งงานกันไม่นาน เขาก็ถูกจับไปเป็นทหาร เขาออกไปกับกองทัพ ส่วนฉันก็อยู่เฝ้าบ้านเกิด ตอนนั้นพ่อของเธอเกิดมาเขาก็ยังไม่ได้กลับมา ฉันอยู่บ้านเลี้ยงพ่อของเธอ ทุกวันได้แต่หวังว่าเขาจะกลับบ้าน
จนกระทั่งสามสี่ปีต่อมา สังคมก็สงบลง เขาจึงได้กลับบ้าน ตอนนั้นพ่อของเธออายุสามขวบแล้ว
ระหว่างเราไม่มีสิ่งที่พวกเธอคนหนุ่มสาวเรียกว่าความรักความใคร่ เราเหมือนกับคู่สามีภรรยาหลายคู่ในยุคนั้น ใช้ชีวิตคู่อย่างจืดชืดและเฉยชา มีลูกก็เลี้ยงลูก ตอนแรกเขาถือว่าเป็นสามีที่ดีคนหนึ่ง ได้เงินเดือนมาก็เลี้ยงครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีความรักสำหรับฉัน ในยามว่าง เขาจะขังตัวเองอยู่ในห้อง บางครั้งก็ไม่ออกมาทั้งวัน ฉันที่คิดว่าเขากำลังศึกษาหาความรู้ก็ไม่กล้ารบกวน”
ในยุคนั้น สามีภรรยาก็ไม่สนิทกันจริงๆ แม้ตอนกลางคืนปิดไฟจะยังทำหน้าที่สามีภรรยากันอยู่ แต่พอถึงตอนกลางวันก็อยู่ด้วยกันอย่างเย็นชา
“ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปอย่างเรียบง่ายแบบนี้ แต่ตอนที่อารองของเธออายุสี่ขวบ จู่ๆ วันหนึ่งก็มีผู้หญิงสวยใส่ชุดกี่เพ้ามาที่บ้าน หล่อนจูงเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อายุพอๆ กับอาหญิงของเธอในตอนนั้นมาด้วย บอกว่ามาหาพ่อของเด็ก”
“ตอนนั้นเองฉันถึงได้รู้ว่าที่แท้คุณปู่ของเธอมีหญิงในดวงใจอยู่ข้างนอก ตอนที่สงครามใกล้จะจบ พวกเขาขาดการติดต่อกัน คุณปู่ของเธอกลับบ้านเกิด ส่วนผู้หญิงคนนั้นตั้งท้องและคลอดลูกคนเดียว ผ่านความยากลำบากมาหลายปี จนกระทั่งหาบ้านเกิดเจอ และปรากฏตัวต่อหน้าคุณปู่ของเธอ”
“ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสวย ทันสมัย ดูบุคลิกก็เข้ากันดีกับคุณปู่ของเธอ ในทางกลับกัน ฉันตอนนั้นดูบ้านนอกไม่มีความรู้ เป็นแม่บ้านทั่วไปในเมืองเล็กๆ ตอนนั้นฉันก็รู้ดีว่าสู้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ คุณปู่ของเธอสารภาพกับฉันถึงความสัมพันธ์ของเขากับผู้หญิงคนนั้น บอกว่าพวกเขาเคยรักกันมาก่อน เคยช่วยเหลือดูแลกันในสงคราม เป็นเพื่อนร่วมชีวิต ผ่านความยากลำบากด้วยกัน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหล่อนเสียชีวิตไปแล้ว ไม่คิดว่าหล่อนจะยังมีชีวิตอยู่ และยังคลอดลูกของพวกเขาด้วย สุดท้ายก็ขอให้ฉันยอมให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน”
“แต่ตอนนั้นฉันมีลูกแล้วสามคน ฉันจะยอมให้พวกเขาได้ยังไง? ถ้าฉันออกจากบ้านหลังนั้นไป ผู้หญิงคนนั้นจะดูแลลูกสามคนของฉันดีหรือเปล่า?”
คุณแม่เซี่ยเช็ดน้ำตาอย่างอดไม่ได้ สูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเล่าเรื่องราวจนจบ “วันหนึ่งหลังจากนั้น คุณปู่ของเธอได้แอบเอาเงินเดือนเดือนสุดท้ายที่เขาได้รับมาวางไว้บนโต๊ะ ทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง แล้วก็จากไปกับผู้หญิงคนนั้น”
“ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีข่าวคราวของเขาอีกเลย”
หลินเซี่ยฟังคำบอกเล่าของคนแก่จบแล้วก็รู้สึกขนลุกซู่
สมองของเธอมึนงง หยุดคิดไปชั่วขณะ
คุณปู่ของเธอไปมีลูกกับ “รักแท้” ข้างนอก สุดท้ายเลือกที่จะจากไปกับแม่ลูกคู่ “รักแท้” นั่น
ทิ้งคุณย่าและลูกสามคนไว้เบื้องหลัง?
นี่…
“เซี่ยเซี่ย ตกใจหรือเปล่า?”
คุณแม่เซี่ยลุกขึ้นนั่ง ดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากตา พูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ผ่อนคลาย มองหลินเซี่ยที่มีสีหน้าเหม่อลอย “ย่ารู้ว่าเธอต้องตกใจแน่ๆ เลยไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟังมาก่อน”
หลินเซี่ยในตอนนี้รู้สึกอึดอัดในอกอย่างรุนแรง น้ำตาเอ่อคลอเบ้า เมื่อมองดูคุณย่าตัวน้อยตรงหน้า เธอก็รู้สึกเศร้าจนพูดไม่ออก
ทำเพียงแค่กางแขนออกและกอดคุณย่าไว้
เธอกอดคุณย่าไว้ สูดจมูก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “คุณย่า ท่านลำบากมามากแล้ว”
เธอไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าคุณย่าใช้ชีวิตมาอย่างไรในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการเลี้ยงดูลูกสามคนให้รอดชีวิตมาได้ในยุคที่อดอยากนั้นช่างยากลำบากเพียงใด
ที่สำคัญกว่านั้นคือ การที่สามีของตัวเองหนีไปกับผู้หญิงอื่น มันเป็นการทำลายโลกทั้งใบของผู้หญิงคนหนึ่งได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยนั้นที่ถือว่าสามีคือเทพเจ้า คุณย่าคงจะสงสัยตัวเอง ปฏิเสธตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะรักษาสามีไว้ได้ ความเจ็บปวดภายในใจนั้นทรมานยิ่งกว่าภาระชีวิตเสียอีก
คุณแม่เซี่ยลูบหลังหลินเซี่ยเบาๆ พลางถอนหายใจ “หลายปีมานี้ฉันลืมหน้าตาของเขาไปนานแล้ว แทบไม่เคยนึกถึงเลย แต่เมื่อคืนไม่รู้ทำไม เขากลับมาปรากฏในความฝันของฉัน”
“ฉันเห็นเขาแต่งตัวหรูหรา ทั้งตัวขาวจนเปล่งประกาย เขามองฉันตลอดเวลา แล้วขอโทษฉัน จนฉันร้องไห้โดยไม่รู้ตัวในความฝัน”
หลินเซี่ยรู้สึกสับสนซับซ้อน หัวใจปวดร้าวอย่างรุนแรง กอดคุณแม่เซี่ยไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
เสี่ยวหู่ที่กำลังเล่นกลองป๋องแป๋งบนโซฟาเห็นแม่กอดคุณยายทวด ก็โบกมือน้อยๆ ร้องไห้พยายามมุดเข้าไปในอ้อมกอดของ หลินเซี่ย
คุณแม่เซี่ยเห็นดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆ “เซี่ยเซี่ย รีบอุ้มเด็กสิ อย่าให้เขาล้มนะ”
หลินเซี่ยจำต้องปล่อยคุณย่า แล้วอุ้มเสี่ยวหู่ขึ้นมา
ใบหน้าของหลินเซี่ยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา คุณแม่เซี่ยเห็นแล้วรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้ “หลานเอ๋ย อย่าร้องไห้เลย มันผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้ว มีอะไรให้ร้องไห้อีก ฉันลืมคนคนนั้นไปแล้ว พ่อ อาหญิง และอารองของเธอก็จำเขาไม่ได้แล้วเหมือนกัน พวกเราสี่คนแม่ลูกผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันอย่างมีความสุขมากมาย ใครจะไปนึกถึงเขาล่ะ ฉันคิดว่าเขาคงตายไปนานแล้ว”
หลินเซี่ยฝืนยิ้มบนใบหน้า พูดว่า “คุณย่า ต่อไปเราก็อย่าไปคิดถึงเขาเลย คนใจร้ายแบบนี้ไม่สมควรได้รับความคิดถึงหรอก ถึงเขาตายเราก็ไม่ต้องไปเผาเงินกงเต๊กให้ ปล่อยให้เขากลายเป็นสัมภเวสีในนรกเถอะ”
พูดจบ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเขามี “รักแท้” และลูกด้วยกันแล้ว
หลินเซี่ยตั้งใจจะปลอบใจคุณย่า แต่กลับกลายเป็นคุณย่าที่ปลอบใจเธอแทน
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าอารองของเธอไปไหนแต่เช้าตรู่ เขาคงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ”
คุณแม่เซี่ยพูดถึงเซี่ยไห่ด้วยสีหน้าเป็นห่วงสุดขีด
พูดตามตรง การจากไปของคนคนนั้นในปีนั้น ผู้ที่รู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดคงเป็นเซี่ยไห่กับเซี่ยอวี่
ตอนนั้นเซี่ยเหลยอายุราว 10 ขวบแล้ว เขามีนิสัยเป็นตัวของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งในช่วงแรกเกิดนั้น พ่อของเขาก็ไม่ได้อยู่ข้างๆ เมื่อพ่อกลับมา เซี่ยเหลยก็ไม่ได้สนิทกับเขามากนัก
แต่เซี่ยอวี่กับเซี่ยไห่ยังเล็กเกินไป
หลังจากคนคนนั้นจากไป ชีวิตของพวกเขาลำบากมาก เด็กๆ รอบข้างพากันล้อเลียนเซี่ยอวี่กับเซี่ยไห่ว่าเป็นเด็กที่ถูกพ่อแท้ๆ ทอดทิ้ง
ทั้งสองคนจึงมีปมด้อยและเก็บตัวมาตั้งแต่เด็ก
ประกอบกับความยากจน ในช่วงปีเหล่านั้นพวกเขาต้องทนทุกข์และเจ็บปวดมามากมาย
ส่งผลให้สองพี่น้องคู่นี้ต่อต้านเรื่องการแต่งงานและหาแฟนอย่างมากในเวลาต่อมา
แต่เมื่อเด็ก ๆ โตขึ้น ชีวิตเพิ่งจะเริ่มดีขึ้น เซี่ยเหลยก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสในสนามรบ หมดสติไปหลายปี หลังจากช่วยกลับมาได้ก็สูญเสียความทรงจำ
คุณแม่เซี่ยนึกถึงชีวิตอันยากลำบากที่เคยผ่านมาตลอดชีวิต นางทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง
หากพูดว่าไม่เจ็บปวดคงเป็นเรื่องโกหก
หลินเซี่ยนึกถึงเซี่ยไห่ที่ออกจากบ้านไปแต่เช้าตรู่โดยไม่ได้ล้างหน้า เธอรู้สึกสงสารทั้งคุณย่าและอารองของเธอ
หลินเซี่ยมองคุณแม่เซี่ย ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพและความสงสาร “คุณย่าคะ ท่านเป็นผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ฉันชื่นชมท่านมากค่ะ”
การที่คนคนหนึ่งจะอดทนมาได้หลายปีขนาดนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
คุณแม่เซี่ยยิ้มอย่างขมขื่น นางปัดปอยผมที่ตกลงมาบนใบหน้าของหลินเซี่ย มองเธออย่างเอ็นดูแล้วพูดว่า “หลานเอ๋ย อย่าชื่นชมย่า และอย่าเอาย่าเป็นแบบอย่างเลย ฉันแค่หวังว่าพวกเธอจะไม่ต้องเจอกับสิ่งที่ฉันเคยเจอมา”
นางพูดต่อว่า “ย่าหวังว่าพวกเธอทุกคนจะมีความสุข มีคนรัก มีคนห่วงใย มีคนปกป้อง และใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและมีความสุขตลอดไป”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไม่ว่าจะทางไหนคุณย่าก็เจ็บสุด เจ็บตั้งแต่แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รู้สึกรัก แล้วก็โดนทอดทิ้งให้สู้ชีวิตกับลูกๆ สามคน แต่โชคดีที่ลูกทุกคนเติบโตมาอย่างดี ไม่ทำให้ผิดหวังเสียใจเลย
ไหหม่า(海馬)