ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 86 คู่แข่งในชาติก่อน(2)
ตอนที่ 86 คู่แข่งในชาติก่อน(2)
ตอนที่ 86 คู่แข่งในชาติก่อน(2)
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอล่ะ?” เจียงอวี่เฟยพูดด้วยใบหน้าเย็นชา มองหลินเซี่ยด้วยความรังเกียจ “เธอไม่ได้ย้ายไปอยู่บ้านนอกแล้วหรอกเหรอ? ได้ยินว่าเธอแต่งงานแล้วด้วยนี่? แล้วไปเอาเวลาที่ไหนมาใส่ใจเรื่องของฉันกัน?”
“ฉันมาก็เพราะอยากสนับสนุนเธอ เธอน่ะทั้งสวยทั้งรูปร่างดีมาตั้งแต่เกิด ถ้าจะให้พูดก็คงเหมือนเป็นของขวัญที่ได้มาจากพระเจ้า ปรับเปลี่ยนบุคลิกอีกหน่อย เธอก็จะกลายเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้แน่ บางทีในอนาคตเธออาจจะก้าวไปสู่รันเวย์ในระดับนานาชาติได้ด้วยนะ”
ยกย่องเป็นพันครั้ง ก็ไม่เท่าคำเยินยอเกินจริงแค่ครั้งเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสาวน้อยที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงอย่างเจียงอวี่เฟย พอได้ยินหลินเซี่ยยกยอปอปั้น หล่อนก็เชิดคางขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
แต่หล่อนก็อดสงสัยไม่ได้ ปกติหลินเซี่ยมักจะเหน็บแนมว่าหล่อนหน้าตาจืดชืดมากไม่ใช่เหรอ? แถมยังเคยบอกด้วยว่าหล่อนตัวสูงโย่งอย่างกับเสาโทรเลข แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้?
“อวี่เฟย เธอมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนพอจะเป็นนางแบบจริง ๆ นะ ฉันอยากสนับสนุนให้เธอไล่ตามความฝันของตัวเองจนสำเร็จ ก็เลยมาเสนอตัวขอเป็นสไตลิสต์ส่วนตัวให้ จากนี้ฉันจะช่วยเธอแต่งหน้าและให้คำแนะนำด้านแฟชั่น สอนวิธีเดินแบบ พาเธอเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศจนได้ครองแชมป์”
หลินเซี่ยพูดสารพัดถ้อยคำชวนฝัน แต่เจียงอวี่เฟยกลับกลอกตาเมื่อได้ยินแบบนั้น “เธอเนี่ยนะจะมาแต่งหน้าให้ฉัน? แถมยังจะสอนวิธีเดินแบบให้ฉันด้วย? เธอเคยเห็นเหรอว่านางแบบอาชีพเขาเดินกันยังไง? อีกอย่างเธอกลายเป็นคนทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทนตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก่อนหน้านี้เราสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันสักเท่าไหร่ เพราะพ่อเธอเป็นคู่แข่งกันกับผู้อำนวยการเสิ่น พ่อเราไม่ถูกกัน เราเลยพลอยเกลียดกันไปด้วย แต่ตอนนี้ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นแล้ว เราจึงไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันอีก ที่จริงฉันชอบเธอจะตายไป แต่ฉันจงใจตั้งตัวเป็นศัตรูเพราะสถานะของเราสองคน ถ้าเธอเชื่อใจฉัน ฉันจะลองแต่งหน้าให้เธอเดี๋ยวนี้เลย เธอจะได้เลิกกังขาในความสามารถของฉันซะที”
หลินเซี่ยมองหล่อนอย่างจริงใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความวิงวอนขอร้อง
“ผลงานของเธอจะออกมาดีจริงเหรอ? ไม่ใช่มาหาเรื่องแกล้งฉันนะ” เจียงอวี่เฟยแค่นเสียงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“เธอลองดูดี ๆ สิ ทักษะการแต่งหน้าของฉันเป็นยังไงบ้าง? ฉันดูสวยกว่าเดิมหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยถอดผ้าพันคอออก หยิบลิปสติกออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะจัดแจงแต่งหน้าตัวเองใหม่ เนื่องจากการสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าทำให้ลิปสติกเลือนหายไปบางส่วน
พอแต่งหน้าเสร็จแล้ว เธอก็สะบัดผมป้ายไปด้านข้างด้วยท่วงท่าที่มีเสน่ห์ แบบเดียวกับตอนที่เธออยู่ต่อหน้าเฉินเจียเหอที่บ้าน
ถ้าเป็นเฉินเจียเหอ เขาเห็นเธอทำท่านี้แล้วคงหลงใหลคลั่งไคล้แทบบ้า
เจียงอวี่เฟยก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน ถึงจะไม่ค่อยชอบหน้าอีกฝ่ายสักเท่าใด แต่ก็ไม่สามารถละสายตาไปได้เมื่อมองหน้าหลินเซี่ยดี ๆ
ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะสวยกว่าเดิมมาก
เมื่อก่อนหลินเซี่ยไม่ชอบแต่งหน้า เพราะเธอยังเด็กแถมผิวพรรณก็ดีอยู่แล้ว อย่างมากที่สุดก็แค่ทาแป้ง อันที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าเลย
ทำให้หล่อนไม่เคยรู้มาก่อนว่าแม่นี่รู้จักวิธีแต่งหน้ากับเขาด้วย
เพื่อเข้าร่วมการเฟ้นหานางแบบ หล่อนถึงเริ่มซื้อลิปสติกมาทาปากแดงทุกวัน พอหลินเซี่ยเห็นแบบนั้นก็หัวเราะเยาะแทบตายว่าหล่อนไปกินเลือดที่ไหนมา แถมยังบอกด้วยว่าหน้าตาดูไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ พวกเธอจึงโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างและทะเลาะกันข้ามอาคาร
ผู้อำนวยการเสิ่นและรองผู้อำนวยการเซี่ยต่างก็ยุ่งอยู่กับการแก่งแย่งตำแหน่งหน้าที่การงาน จึงไม่สนใจพวกเธอเลย ทำให้ทั้งสองตะโกนด่ากันได้อย่างอิสระ ไม่มีฝ่ายไหนห้ามปรามลูกสาวตัวเอง
ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครคิดสงบศึกด้วย
“เธอมีพื้นฐานผิวดีอยู่แล้ว ถ้าแต่งหน้าอีกหน่อยต้องสวยขึ้นกว่าเดิมแน่นอน เห็นไหม ฉันหอบอุปกรณ์แต่งหน้าทั้งหมดมาที่นี่แล้ว ฉันจะแต่งหน้าให้เธอพิจารณาดู ถ้าไม่สวยเธอค่อยไล่ฉันออกไปก็ได้”
หลินเซี่ยเป็นฝ่ายริเริ่มแสดงน้ำใจก่อน เพราะถึงอย่างไรทักษะการแต่งหน้าของเธอก็ดีกว่าเจียงอวี่เฟยแต่งเองจริง ๆ เจียงอวี่เฟยชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ยอมตกลง
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองเชื่อเธอสักครั้ง ถ้าแต่งฉันออกมาเหมือนผี ฉันจะไล่เธอออกไปซะ”บราวนี่ออนไลน์
หลินเซี่ยรีบเทเครื่องสำอางกองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็ว
เพื่อที่จะแสดงความสามารถชั้นครูของตัวเองให้เจียงอวี่เฟยได้เห็น เธอยอมเจียดเงินจำนวนมากสำหรับซื้อผลิตภัณฑ์แต่งหน้ามากมาย
เจียงอวี่เฟยถึงกับตะลึงเมื่อเห็นดินสอเขียนคิ้ว อายแชโดว์ รวมถึงตลับแป้งที่หลินเซี่ยเทออกมาจากกระเป๋า
ตั้งแต่แม่นี่โดนไล่ออกจากตระกูลเสิ่น ก็เลยซุ่มพัฒนาตัวเองให้ทันสมัยงั้นเหรอ?
หลังจากกลับไปอยู่บ้านนอก ทั้งยังแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา หล่อนควรปล่อยตัวจนน่าเกลียดไม่ใช่หรือไง?
ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากขนาดนี้?
“ไปล้างหน้าเร็วเข้าสิ” หลินเซี่ยเร่งเร้า
“อือ” เมื่อเจียงอวี่เฟยเห็นกองเครื่องสำอางจำนวนมาก หล่อนก็เหลือบมองหลินเซี่ยอย่างสงสัย ก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า
“มา นั่งลง” หลินเซี่ยจัดแจงให้หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ มัดรวบผมขึ้นให้เรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มแต่งหน้า
…
พอได้รับการเสริมเติมแต่งนิดหน่อย เจียงอวี่เฟยที่อยู่ในกระจกก็เจิดจรัสเปล่งประกาย
“ฉันไม่ได้ซื้อขนตาปลอมมา แต่มันไม่ใช่อุปกรณ์สำคัญ เธออายุยังน้อย แต่งหน้าจัดไปจะดูไม่ดี แล้วจะยิ่งทำให้เธอดูเชยเข้าไปใหญ่”
เจียงอวี่เฟยมองดูตัวเองในกระจก แล้วมองหลินเซี่ยด้วยความประหลาดใจ
“เธอไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน?”
“ไม่ต้องอยากรู้หรอก” หลินเซี่ยพูด “อากาศในบ้านเธอไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ ตอนนี้ในบ้านก็ไม่มีใครอยู่พอดี เธอลองไปใส่ชุดว่ายน้ำแล้วเดินให้ฉันดูหน่อยสิ”
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันมีชุดว่ายน้ำ?” เจียงอวี่เฟยทำหน้าเหมือนเห็นผี
ผู้หญิงคนนี้เกินไปแล้ว แอบปีนเข้ามาในบ้านแล้วสอดแนมหล่อนทุกฝีก้าวเลยหรือยังไงกัน?
ไม่อย่างนั้นจะเห็นชุดว่ายน้ำที่ตัวเองอุตส่าห์ซ่อนไว้ได้ยังไง?
หลินเซี่ยอธิบาย “เธอไปจำแฟชั่นพวกนี้มาจากฮ่องกงไม่ใช่เหรอ? ฉันจำได้ว่าตอนเรียนมัธยมปลาย เธอแอบใส่ชุดว่ายน้ำไว้ข้างใน แต่สีสันมันฉูดฉาดมาก เด็กผู้ชายทุกคนในชั้นเรียนก็เห็น ฉันเองก็เห็น ถ้าเธอจะเข้าร่วมการเฟ้นหานางแบบจริง ๆ ก็จำเป็นต้องเตรียมตัวล่วงหน้าสักหน่อย หาเสื้อผ้าที่เกี่ยวข้องมาใส่แล้วฝึกเดินในบ้านให้ชิน”
เจียงอวี่เฟยดูอับอายเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด
“ฉันล็อคประตูแล้ว เหลือรูดม่านปิด ใส่แล้วเดินให้ฉันดูไม่กี่ก้าวเอง ฉันจะได้ดูว่าเธอต้องปรับอะไรตรงไหน”
ยุคนี้กระแสแฟชั่นนำสมัยที่แพร่สะพัดเข้ามาจากทางฮ่องกงทำให้วัยรุ่นที่เสพสื่อในสมัยนี้เริ่มเกิดความตื่นตัว พวกเขามักจะเลียนแบบวิธีแต่งตัวตามดาราในโทรทัศน์
ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าเปิดเผยออกนอกหน้าจนเกินไป
เจียงอวี่เฟยลังเล ทันใดนั้นก็หยิบชุดว่ายน้ำของตัวเองออกมาจากลิ้นชักของตู้เสื้อผ้าที่ล็อกกุญแจเอาไว้
ด้วยกลัวว่าพ่อจะรู้และดุด่า จึงซ่อนมันไว้อย่างลับ ๆ ตลอดมา
“ตัวนี้แล้วกัน”
“รีบไปเปลี่ยนแล้วออกมาเดินให้ดูหน่อย อยากรู้ว่าเธอมีความเป็นนางแบบแค่ไหน”
ตอนแรกเจียงอวี่เฟยอายมาก เก้อกระดากเกินกว่าจะถอดเสื้อผ้าออกให้คนอื่นเห็นเนื้อตัว แต่หลินเซี่ยบอกว่าสิ่งที่หล่อนมีฉันก็มีเหมือนกัน ถ้าเขินมากเดี๋ยวฉันถอดเสื้อผ้าออกเป็นเพื่อนก็ได้
ดังนั้นหล่อนจึงไม่กระมิดกระเมี้ยนอีกต่อไป ใส่ชุดว่ายน้ำ แล้วเดินไปรอบ ๆ บ้านสองครั้ง
“เธอเดินแบบนี้ไม่ได้ ต้องยืดอกขึ้นหน่อย เงยหน้าให้ตรง พยายามอย่าโคลงร่างกายส่วนบน” หลินเซี่ยแนะนำหล่อนจากด้านข้าง
“ใช่ อย่าทำหน้านิ่งสิ ยิ้มแย้มนิดหน่อย ผ่อนคลายเข้าไว้ อย่าเกร็งจนแข็งทื่อ ไม่ต้องเอามือวางไว้บนสะโพกตลอดเวลา ทำท่านี้แค่ตอนโพสต์ก็พอ”
ขณะที่หลินเซี่ยพูด เธอก็เหยียดมือออกไปดันไหล่อีกฝ่ายขึ้น “เอาล่ะ ประมาณนี้ ไหล่ต้องเชิดเข้าไว้”
“โอเค ฉันพอรู้แล้วว่าพื้นฐานของเธออยู่ในระดับไหน เธอยังต้องฝึกฝนอย่างหนัก หน้าสวยหุ่นดีแค่อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ”
หลังจากเดินไปรอบ ๆ สองครั้ง เจียงอวี่เฟยก็เริ่มรู้สึกหนาว ดังนั้นจึงรีบคว้าเสื้อโค้ตบุนวมขึ้นมาสวม
เมื่อแต่งตัวเหมือนเก่าแล้ว หล่อนก็มองหลินเซี่ยและถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมจู่ ๆ เธอถึงได้รู้อะไรมากมายแบบนี้?”
สิ่งที่เธอให้คำแนะนำเมื่อสักครู่เป็นประโยชน์และถูกต้องทุกประการ
ขณะที่สอนก็ทำหน้าจริงจังเหมือนเป็นครูฝึกมืออาชีพ
หลินเซี่ยตอบ “ฉันรู้เรื่องพวกนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เราสองคนแค่ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ฉันเลยไม่เคยแสดงออกให้เห็น”
เจียงอวี่เฟยมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธอมีความรู้ ตัวเองก็ไม่ได้แย่ ทำไมถึงไม่ลงแข่งเองล่ะ?”
หลินเซี่ยยืนอยู่ด้านข้าง ทำท่าวัดส่วนสูงเหนือศีรษะของตัวเองแล้วอธิบายว่า “ความสูงของฉันไม่มากพอ อีกอย่าง ตอนนี้ฉันแต่งงานแล้ว สามีรู้เข้าคงตามมาหักขาฉันแน่ ๆ ถ้าฉันเข้าร่วมการแข่งขันประเภทนี้”
ความจริงใจเป็นสิ่งที่เอาชนะใจคนได้เสมอ
ทันทีที่หลินเซี่ยพูดเช่นนี้ ใบหน้าที่เย็นชาแต่เดิมของเจียงอวี่เฟยก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
สาวน้อยที่หล่อนเคยเหม็นขี้หน้าและทะเลาะกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนี้โตจนแต่งงานมีสามีแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ลงมาเป็นเมนเทอร์ให้เองเลย จะมัดใจคู่แข่งในชาติที่แล้วได้สำเร็จไหมนะ
ไหหม่า(海馬)