ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 862 การร้องไห้เพื่อคนใจร้ายนั้นไม่คุ้มค่า
ตอนที่ 862 การร้องไห้เพื่อคนใจร้ายนั้นไม่คุ้มค่า
………………..
ตอนที่ 862 การร้องไห้เพื่อคนใจร้ายนั้นไม่คุ้มค่า
เซี่ยไห่อธิบายว่า “ผมคาดว่าเป็นเพราะเมื่อวานนี้จินซานพาชุนฟางไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง พอกลับมาจินซานก็ถามแม่ว่าตอนแม่แต่งงานได้ถ่ายรูปไว้บ้างไหม ซึ่งคำถามนั้นไปจี้ใจแม่เข้า แม่เลยมีอารมณ์แปรปรวน คิดถึงเรื่องนี้ตอนกลางวันจนเก็บไปฝันในตอนกลางคืน”
“เซี่ยเซี่ยยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ ตอนเช้าที่ผมวิ่งออกมา มีแค่หล่อนกับแม่อยู่บ้าน เซี่ยเซี่ยคงตกใจอยู่ทีเดียวที่เห็นแม่อยู่ในสภาพนั้น”
ตอนนี้เซี่ยไห่ใจเย็นลงแล้ว จึงตระหนักได้ว่าพฤติกรรมของตัวเองเมื่อเช้าดูหุนหันพลันแล่นไปหน่อย
เซี่ยอวี่ได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่แล้วก็บ่น “นายเป็นผู้ชายตัวโต ช่วงเวลาแบบนี้ทำไมไม่อยู่บ้านดูแลแม่ดีๆ วิ่งออกมาทำไม? ถ้าคิดถึงลินดาก็ให้หล่อนไปที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ?”
ลินดา “!!!”
เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับฉัน?
“ตอนนั้นผมก็อารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าซูบซีดของแม่ เขาก็รู้สึกเศร้าใจมากกว่าใครและอยากจะฆ่าคนขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร้องไห้เสียใจเพราะชายใจร้ายคนนั้น มันทำให้เขารู้สึกทั้งหมดหนทางและเศร้าใจ
เหมือนที่เขาบอกลินดาในตอนเช้าว่าเขาอยากจะตามหาชายใจร้ายคนนั้นมาให้ได้ แล้วบังคับให้คุกเข่าขอโทษแม่ของเขา
แม่ผู้ชราคนนี้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาตลอด
นางเลี้ยงดูลูกทั้งสามคนเพียงลำพัง พอชีวิตเริ่มดีขึ้น พี่ใหญ่ก็ดันมาบาดเจ็บในสนามรบ จนต้องดูแลพี่ใหญ่ต่ออีกหลายปี ตอนนี้ในที่สุดความทุกข์ยากก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่บาดแผลในใจของหญิงชรากลับยังไม่จางหาย
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายนะ” คราวนี้เซี่ยอวี่ไม่ได้ตำหนิเซี่ยไห่อีก
ถ้าหล่อนตื่นมาเห็นแม่ตัวเองร้องไห้เพราะชายใจร้ายคนนั้นแบบนั้น หล่อนก็คงจะเสียสติเหมือนกัน
สามสิบกว่าปีแล้ว คนคนนั้นยังคงส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของหญิงชราได้อีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน
แต่ถ้าคิดกลับกัน คนที่ได้รับผลกระทบจากเขาก็ไม่ได้มีแค่แม่ของพวกเขาคนเดียว
พี่น้องทั้งสามคน มีใครบ้างที่ไม่ได้รับผลกระทบ?
พี่ใหญ่ผ่านชีวิตที่ยากลำบาก ประกอบกับนิสัยที่เย็นชา ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา พวกเขาจึงไม่อาจคาดเดาความคิดของเขาได้
แต่สำหรับหล่อนและเซี่ยไห่แล้ว ตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาตกอยู่ภายใต้เงามืดของคนคนนั้นตลอดเวลา
พวกเขาไม่สนใจที่จะหาแฟนหรือแต่งงาน เพราะกลัวว่าจะดำเนินรอยเดียวกับแม่ จึงปฏิเสธการเข้าใกล้ของเพศตรงข้าม มุ่งแต่จะหาเงิน
มีแต่เงินเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยได้
เพราะตอนเด็กพวกเขาเคยผ่านชีวิตที่ยากลำบากและไร้ศักดิ์ศรีมามาก
พวกเขาทำให้ตัวเองกลายเป็นเครื่องจักรที่ทำงานแบบไร้ความรู้สึก
ภายนอกดูหรูหราเป็นคนชั้นสูง แต่ภายในเต็มไปด้วยบาดแผลนับพันที่มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะเยียวยาได้ในยามดึก
ระหว่างทาง เซี่ยไห่แวะไปตลาดสด ซื้อผักและไก่หนึ่งตัว บอกว่าจะกลับไปต้มไก่เองที่บ้าน
จากนั้นก็ขับรถมาจอดที่หน้าประตู ลินดาลงจากรถ แล้วพยุงเซี่ยอวี่ลงมา
หล่อนกลัวว่าเซี่ยอวี่จะเดินไม่มั่นคง จึงพยุงตลอดทาง พอถึงหน้าประตู เซี่ยอวี่ก็ตะโกนเรียกแม่ด้วยเสียงดังลั่น
หลินเซี่ยกำลังคุยกับคุณแม่เซี่ยและดูโทรทัศน์อยู่ เมื่อได้ยินเสียงเรียก คุณแม่เซี่ยก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที “เซี่ยเซี่ย ฉันเหมือนได้ยินเสียงอาหญิงเธอเรียกนะ”
หลินเซี่ยร้องเรียกด้วยความดีใจ “อาหญิงคะ พี่ลินดา ทำไมพวกคุณถึงมากะทันหันแบบนี้ล่ะ?”
เซี่ยอวี่ยิ้มตอบ “ได้ยินว่าหลานกลับบ้านแม่ คุณย่าก็อยู่ไม่สุข เลยอยากกลับบ้านแม่บ้างน่ะ”
เซี่ยไห่จอดรถเสร็จแล้วถือของหลายอย่างเดินตามเข้ามา
ตอนนี้เซี่ยไห่กลับมาดูดีสง่างามเหมือนปกติแล้ว แตกต่างจากท่าทางอ่อนแอและหดหู่ตอนที่วิ่งออกไปเมื่อเช้าราวกับเป็นคนละคน
คุณแม่เซี่ยเห็นลูกสาวและลูกสะใภ้ในอนาคตมา ก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
หลังจากที่หลินเซี่ยประคบตาให้ ตอนนี้อาการบวมแดงก็ไม่ค่อยเห็นชัดแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก
แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าตายังไม่หายบวมสนิท
เซี่ยอวี่เห็นสภาพที่ดูอิดโรยของแม่ได้ทันที แต่ก็พยายามควบคุมตัวเองและข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้
หลังมองดูร่างกายอวบอ้วนของลูกสาว คุณแม่เซี่ยก็รีบให้นั่งลงบนโซฟา มองเซี่ยอวี่พลางบ่นว่า “ตอนนี้เธอต้องระวังตัวหน่อยนะ อย่าออกไปข้างนอกถ้าไม่จำเป็น ถ้าคิดถึงพวกเราก็โทรมาสิ พวกเราจะไปเยี่ยมเธอเอง”
เซี่ยอวี่พูดว่า “แม่ ไม่จำเป็นต้องระวังขนาดนั้นหรอก ช่วงนี้ฉันแค่กลัวเป็นหวัดเลยไม่ได้ออกไปไหน คุณหมอเย่บอกว่าทารกในครรภ์แข็งแรงดี แถมยังให้ฉันออกกำลังกายเดินบ่อยๆ ด้วย ไม่งั้นตอนคลอดจะลำบาก”
เซี่ยอวี่พยายามโน้มน้าวแม่ว่าหล่อนไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ “ตอนเซี่ยเซี่ยท้อง หล่อนยังไปซื้อของกับเจรจาธุรกิจถึงเซินเจิ้นเลย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“แกจะไปเปรียบกับเซี่ยเซี่ยทำไม? หล่อนยังสาวร่างกายแข็งแรง ส่วนแกน่ะอายุเท่าไหร่แล้วยังไม่รู้ตัวหรือไง? มันเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก”
เซี่ยอวี่ “!!!”
หล่อนไม่ได้โต้เถียงกับแม่มากไปกว่านี้ แสดงท่าทางนอบน้อมอย่างที่ไม่ค่อยเป็น “ได้ค่ะ ฉันจะระวังตัว”
เมื่อเห็นลูกสาวว่าง่ายเช่นนี้ คุณแม่เซี่ยก็พยักหน้าอย่างพอใจ
เป็นอย่างที่คาดไว้ พอแต่งงานแล้วก็ทำให้จิตใจมั่นคงขึ้น
เซี่ยอวี่จับมือหญิงชราไว้ มองนางด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความสงสาร ดวงตาของหล่อนเริ่มแสบร้อน
รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรง
“แม่” เซี่ยอวี่ซบศีรษะลงบนไหล่ของคุณแม่เซี่ย กอดนางไว้ราวกับกำลังออดอ้อน
“แม่ ฉันคิดถึงแม่นะคะ”
คุณแม่เซี่ยเห็นอารมณ์ของลูกสาวแล้วก็เดาได้ว่าหล่อนคงรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ
นางมองไปทางเซี่ยไห่ที่เพิ่งนำอาหารเข้าไปในครัว แล้วจ้องเขาอย่างไม่พอใจ
ลูกสาวของนางกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทำไมถึงบอกเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้กับหล่อนด้วย?
เซี่ยอวี่กลัวว่าแม่จะกังวล จึงพยายามควบคุมอารมณ์ แล้วรีบนั่งตัวตรง พูดอย่างร่าเริงว่า “แม่ วันนี้เสี่ยวไห่จะต้มไก่ให้พวกเรานะ”
“ต้มเถอะ พอดีจะได้บำรุงร่างกายพวกเธอหน่อย”
“แม่ ผมจัดการไก่เสร็จแล้ว เดี๋ยวช่วยดูเรื่องปรุงรสชาติด้วยนะ”
เซี่ยไห่รีบพับแขนเสื้อขึ้นอย่างขยันขันแข็ง แล้วเข้าครัวไปทำงาน โดยมีลินดาตามไปช่วย
เซี่ยอวี่อ้อนคุณยายอยู่สักพัก แล้วก็เริ่มหาเสี่ยวหู่
หลินเซี่ยพูดว่า “อาหญิง เจ้าตัวน้อยหลับอยู่ค่ะ รอก่อนนะคะ เวลาเขาตื่นแล้วซุกซนมากเลยค่ะ”
“เลี้ยงลูกเหนื่อยไหม?” เซี่ยอวี่ได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย จึงถามด้วยรอยยิ้ม
หลินเซี่ยในช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยใจกับเสี่ยวหู่มาก ไม่อาจทิ้งเจ้าตัวแสบนี่ละสายตาไปจากเธอได้แม้แต่วินาทีเดียว
วันนั้นเธอวางเขาไว้บนผ้าห่มให้คลาน ก่อนจะไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็เห็นเขาคลานไปถึงหน้าประตู และกำลังหยิบรองเท้าแตะข้างหนึ่งของเฉินเจียเหอขึ้นมาแทะ
อาจเป็นเพราะฟันกำลังขึ้น เขาเลยรู้สึกคันเหงือก คว้าอะไรได้ก็เอามากัด
หลังได้ฟังคำบ่นของหลินเซี่ย เซี่ยอวี่ก็หัวเราะพูดว่า “งั้นก็ปล่อยให้เขานอนต่อเถอะ ถ้าตื่นขึ้นมาเราคงปลอบไม่อยู่จริงๆ”
เซี่ยอวี่นั่งอยู่ข้างๆ คุณแม่เซี่ย คอยพูดคุยกับนางไปเรื่อยๆ เล่าถึงชีวิตของตัวเองที่บ้านตระกูลเย่ช่วงนี้
แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เซี่ยไห่บอกหล่อนเลย ซึ่งทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว
เซี่ยไห่ต้มไก่ หลินเซี่ยกับลินดาช่วยกันผัดอาหารอีกสองสามอย่าง ทุกคนนั่งกินมื้อเที่ยงอย่างเอร็ดอร่อยกับหญิงชรา
พอล้างจานเสร็จ เซี่ยไห่ก็จะวุ่นวายทำเกี๊ยวอีก
“อากาศหนาวขนาดนี้แกนั่งเฉยๆ เถอะ จะทำเกี๊ยวอะไรกัน” คุณแม่เซี่ยเป็นคนขยันมาตลอด ปกติจะไม่อยู่นิ่ง แต่วันนี้กลับไม่อยากขยับตัวทำอะไรเลย
อีกอย่างเป็นเพราะอากาศหนาวมีผลต่ออาการบาดเจ็บตรงขาตั้งแต่สมัยยังสาวของนาง ต้องดูแลให้ดี พอโดนความเย็นนิดหน่อยก็ไม่สบาย
เพื่อไม่ให้เป็นภาระลูกๆ นางพยายามดูแลตัวเองให้ดี หวังว่าจะผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างราบรื่น ไม่เจ็บป่วย
แต่เซี่ยไห่ไม่ยอม บอกว่าอยากกินเกี๊ยว ทั้งครอบครัวมารวมตัวกันพร้อมหน้า ต้องทำเกี๊ยวถึงจะได้บรรยากาศที่สุด
เขาบอกว่าพี่สะใภ้ปรุงไส้เกี๊ยวได้อร่อยที่สุด จึงขับรถไปที่ร้านอาหาร บอกให้หลิวกุ้ยอิงปรุงไส้เกี๊ยวที่ร้าน แล้วเขาจะเอากลับมาทำที่บ้าน ให้หลินเซี่ยนวดแป้งไว้รอก่อน
หลินเซี่ยมองเซี่ยไห่ด้วยสีหน้าประหลาด แล้วพูดว่า “อารอง ฉันจะมาผสมไส้เอง คุณจำเป็นต้องวุ่นวายขนาดนี้เลยหรือ?”
เซี่ยไห่มองหลินเซี่ยแวบหนึ่ง แล้วยิ้มพลางพูดว่า “เธอไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากพี่สะใภ้ใหญ่ รับผิดชอบแค่นวดแป้งก็พอ ส่วนอย่างอื่นไม่ต้องยุ่ง”
พูดจบเซี่ยไห่ก็ขับรถออกไปทันที
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ดื่มด่ำกับบรรยากาศการรวมญาติกันเถอะค่ะ อย่าไปนึกถึงคนๆ นั้นเลย คนเราต้องอนุญาตให้ตัวเองได้มีความสุขบ้างนะ
ไหหม่า(海馬)
………………..