ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 871 มาขอร้องถึงบ้าน
ตอนที่ 871 มาขอร้องถึงบ้าน
หลังเรื่องที่หลินเซี่ยถูกหวังเป่าหงคุกคามอยู่ภายใต้การกดดันของเฉินเจิ้นเจียงและเซี่ยเหลย ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นลูกเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ครั้งนี้พ่อที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้
พวกเขาพยายามหลายครั้งที่จะประนีประนอมผ่านทางตำรวจ
แต่หลินเซี่ยได้มอบหมายให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการแทนทั้งหมดโดยที่เธอไม่ได้ออกหน้าเลย อีกทั้งทนายความที่เฉินเจิ้นเจียงหามาก็มีความเชี่ยวชาญมาก ไม่ยอมให้ญาติของผู้กระทำผิดได้พบกับผู้เสียหายเด็ดขาด
ช่วงนี้โจวลี่หรงคอยอยู่เป็นเพื่อนหลินเซี่ยมาตลอด ให้เธอพักฟื้นอยู่ที่บ้าน เพราะกลัวว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธอ
แม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่โจวลี่หรงที่เคยประสบเหตุการณ์คล้ายกันมาก่อนก็เข้าใจและรู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างดี หากไม่ได้รับการบำบัดทางจิตใจตั้งแต่แรก เงาดำนี้จะติดตามไปตลอดชีวิต
พ่อของหวังเป่าหงรู้ว่าครั้งนี้ลูกชายไปเตะโดนตอเข้าแล้วก็ไม่สามารถทำเหมือนครั้งก่อนๆ ที่แค่ยัดเงินให้นักศึกษาหญิงจากชนบท แล้วสัญญาว่าจะจัดหางานดีๆ ให้หลังเรียนจบ แล้วก็จบเรื่องกันไปได้
กล่าวกันว่าหวังเป่าหงเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว แม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ในบ้านมีแค่พ่อลูกสองคน พ่อของเขาจึงตามใจและเอาใจลูกชายคนนี้จนเกินเยียวยา
ถังจวิ้นเฟิงเป็นตำรวจที่ซื่อตรง ไม่เห็นแก่ตัว และเกลียดชังความชั่วร้าย เขารู้ว่าในหน่วยงานของพวกเขาอาจจะไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมด แต่ในเมื่อเรื่องนี้มาถึงมือเขาแล้ว และผู้เสียหายก็เป็นคนรู้จักของเขา เขาก็ไม่ยอมให้มีการทุจริตเกิดขึ้นเด็ดขาด
แน่นอนว่าตระกูลเฉินก็คงไม่ยอมรับ
ในที่สุดพ่อของหวังเป่าหงก็ไม่มีทางเลือก เขาฝากคนรู้จักสืบหาที่อยู่ของตระกูลเฉิน จนกระทั่งในบ่ายวันหนึ่ง เขาถือของขวัญมาหาตระกูลเฉินโดยตรง
ตั้งใจจะมาขอร้องเฉินเจิ้นเจียง
แต่เดิมทั้งพ่อเฒ่าแม่เฒ่าเฉินไม่รู้เรื่องเรื่องนี้เลย
ตอนนี้กลับเห็นชายวัยกลางคนแต่งตัวเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐถือของขวัญราคาแพงเข้ามา พูดด้วยสีหน้าร้อนรนว่าจะมาหาเฉินเจิ้นเจียง
ผู้เฒ่าเฉินมองสำรวจเขาอย่างสงสัย เห็นกล่องเหล้าเหมาไถรวมถึงชาอัดก้อนเกรดสูงในมือเขา ก็ขมวดคิ้วถามว่า “คุณเป็นใคร? มีธุระอะไร?”
การถือของขวัญมากมายมาหาแบบนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ผู้เฒ่าเฉินแสดงสีหน้าระแวงอย่างเต็มที่ ไม่ยอมให้เขาเข้าบ้าน
พวกเขาเป็นครอบครัวที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่รับของขวัญเด็ดขาด
“คุณลุงเฉิน สวัสดีครับ”
ชายวัยกลางคนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม ท่าทางเคารพนบนอบ “ผมชื่อหวังจื้อกัง มาหาท่านผู้กำกับเฉินครับ”
“มาหาเขาด้วยเรื่องอะไร?” ผู้เฒ่าเฉินมองเขาพลางถาม
หวังจื้อกังยิ้มประจบ เอ่ยปากว่า “ก็ไม่มีอะไรมากครับ ผมกับท่านผู้กำกับเฉินเป็นสหายเก่าแก่กัน ผมทำงานที่กระทรวงแรงงานในเมืองไห่เฉิง พวกเราเคยศึกษาด้วยกันที่โรงเรียนของพรรคมาก่อน วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมเยียน พูดคุยถึงความหลังกับเขาครับ”
“สหายเก่าแก่? พูดคุยถึงความหลัง?” ผู้เฒ่าเฉินรู้สึกไวต่อคำสองคำนี้เป็นพิเศษ
การพูดคุยถึงความหลังต้องเอาของมีค่าขนาดนี้มาด้วยหรือ?
ถ้าลูกชายของเขาเป็นแค่คนธรรมดา แล้วสหายเก่าเอาของพวกนี้มาเยี่ยม ผู้เฒ่าเฉินคงจะรู้สึกซาบซึ้งใจ และคิดว่าคนตรงหน้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกชายของเขา
แต่ด้วยตำแหน่งและลักษณะงานของลูกชายเขาในตอนนี้ ทำให้เขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เผลอนิดเดียวก็อาจทำผิดพลาดได้
เขาโบกมือให้หวังจื้อกัง แล้วพูดว่า “คุณเอาของพวกนี้กลับไปก่อนแล้วค่อยมาใหม่ การที่คุณทำแบบนี้เท่ากับจงใจให้พวกเราทำผิด พวกคุณเป็นสหายเก่ากัน และคุณก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ คุณควรจะรู้เรื่องระเบียบวินัย”
ผู้เฒ่าเฉินมีหลักการมาก ใครถือของขวัญราคาแพงมา เขาไม่ยอมให้เข้าประตูเด็ดขาด
หวังจื้อกังแสดงสีหน้าลำบากใจ ยิ้มแหยพลางอธิบายว่า “ลุงเฉิน นี่มันไม่มีอะไรมากหรอกครับ เป็นแค่น้ำใจเล็กน้อยของผม ผมกับผู้กำกับเฉินไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว จะมาหาแบบมือเปล่าได้ยังไงล่ะครับ?”
พอเขาพูดจบ ผู้เฒ่าเฉินยิ่งไม่ยอมให้เขาเข้าประตูใหญ่
ไม่ได้เจอกันหลายปี จู่ๆ ก็ถือของขวัญราคาแพงมา
นี่มันชัดเจนว่ามาชักนำให้พวกเขาทำผิดกฎหมายแท้ๆ
“พอเถอะ ฉันเห็นว่าคุณมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ กลับไปเถอะ”
ผู้เฒ่าเฉินทำหน้าบึ้ง ไม่อยากพูดกับเขามาก ก่อนกลับเข้าบ้านแล้วปิดประตู
หวังจื้อกังถูกทิ้งไว้นอกประตูแบบนั้น แต่ไม่ได้จากไปทันที กว่าจะหาบ้านของตระกูลเฉินเจอ เขาจะยอมจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร
เขาวางของลงบนพื้น แล้วนั่งยอง ๆ รออยู่ตรงนั้น
เขามาถึงหน้าบ้านของตัวเอง ลงจากจักรยาน แล้วเข็นจักรยานเก่า ๆ ไปจอดในที่จอดที่กำหนดไว้ ล็อคกุญแจ หยิบกระเป๋าหนังสีดำของตัวเองออกจากแฮนด์จักรยาน แล้วฮัมเพลงเดินกลับบ้าน
จากนั้นก็เห็นชายแปลกหน้านั่งยอง ๆ อยู่หน้าบ้านของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับกล่องของขวัญราคาแพงกองอยู่ข้าง ๆ
ใบหน้าของเฉินเจิ้นเจียงแสดงความสงสัยเหมือนกับผู้เฒ่าเฉินเมื่อครู่นี้ เขาถามว่า “คุณมาหาใคร?”
หวังจื้อกังเห็นเฉินเจิ้นเจียงก็รีบลุกขึ้นยืนทันที
“สวัสดีครับท่านผู้กำกับเฉิน” เขาทักทายอย่างสนิทสนม “ท่านอาจจะจำผมไม่ได้ หลายปีก่อน พวกเราเคยเรียนอบรมด้วยกันที่โรงเรียนพรรคครับ”
เฉินเจิ้นเจียงได้ยินคำพูดของเขา มองสำรวจเขาอีกครั้ง แล้วยิ้มอย่างเก้อเขิน “ขอโทษด้วย ผมจำไม่ได้จริง ๆ”
“คุณมาที่นี่มีธุระอะไรหรือ?” เฉินเจิ้นเจียงถามเขา
สีหน้าของหวังจื้อกังดูลำบากใจและกังวล เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่กล้าบอกจุดประสงค์ที่มาของตัวเอง
เขายิ้มก่อนออกปากเชิญเฉินเจิ้นเจียง “ผู้กำกับเฉิน ผมขอเข้าไปนั่งคุยข้างในได้ไหมครับ คุยกันตรงนี้ดูจะไม่สะดวกนัก”
“ขออภัยด้วย ผมลืมตระหนักเรื่องนี้ไปสนิท”
เขาทำท่าจะเชิญสหายเก่าแก่เข้าบ้าน แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นห่อของขวัญในมือหวังจื้อกัง ในใจของเฉินเจิ้นเจียงก็มีเสียงสัญญาณเตือนแผดดังลั่น
สีหน้าของเขาพลันจริงจังขึ้นมา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อน แสดงถึงจุดยืนของตัวเอง “ถ้างั้นคุณต้องหาที่วางของพวกนี้ลงที่ไหนสักที่ก่อนนะ มันเป็นธรรมเนียมของเราน่ะ”
หวังจื้อกังไม่คาดคิดว่าเฉินเจิ้นเจียงจะเคร่งครัดในหลักการถึงเพียงนี้
เขามีท่าทางเก้อเขิน ยืนอยู่ตรงนั้น โดยไม่ยอมล้มเลิกความคิดที่จะให้ของขวัญ
เขาไม่คิดว่าครั้งหนึ่งที่ได้เจอเฉินเจิ้นเจียงในโรงเรียนของพรรคเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจะนำมาสู่การที่เขาต้องขอร้องให้อีกฝ่ายปล่อยตัวลูกชายของตน
กล่าวกันว่าการให้ของขวัญไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ความจริงแล้วเขาก็ใช้วิธีนี้จัดการสิ่งต่างๆ ให้ลุล่วงในหลายปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่าเขาเองก็รู้กฎอยู่ มีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนบ้างที่ปฏิเสธของขวัญโดยนัย?
เกิดเป็นคนก็ต้องมีชั้นเชิงกันบ้าง
หวังจื้อกังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้อำนวยการเฉิน พวกเราต่างก็คุ้นเคยกันดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเยี่ยมเยียน การมามือเปล่าคงไม่สุภาพนัก ของเหล่านี้ก็ไม่มีค่าอะไรหรอกครับ ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากผม ท่านไม่ต้องระมัดระวังมากนักหรอก นี่เป็นเพียงการแสดงน้ำใจระหว่างเพื่อนฝูง ไม่ได้ละเมิดกฎระเบียบใดๆ ทั้งสิ้น”
เหล้าเหมาไถสองขวด ชาอัดก้อนสองก้อน รวมถึงบุหรี่และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ…
ของพวกนี้ทั้งหมด เมื่อเทียบกับเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายพลเรือนของพวกเขาในปัจจุบัน คงไม่สามารถซื้อหามาบริโภคได้จริงๆ
เขายังจะบอกว่าของพวกนี้ไม่มีค่าอะไรงั้นหรือ?
ถ้าการไปมาหาสู่ระหว่างเพื่อนและเพื่อนร่วมงานทั่วไปใช้มาตรฐานแบบนี้ หน่วยงานของพวกเขาจะเน่าเฟะถึงขนาดไหน?
เฉินเจิ้นเจียงหรี่ตามองหวังจื้อกังแล้วเอ่ยปากว่า “คุณมาหาผมเพื่อขอให้ช่วยเหลืออะไรบางอย่างสินะ?”
เขาไม่สนิทกับคนคนนี้เลย แม้แต่ความประทับใจสักนิดก็ไม่มี
เพื่อนร่วมรุ่นที่เคยอบรมด้วยกันที่โรงเรียนพรรคเมื่อสิบกว่าปีก่อนมีมากเหลือเกิน นอกจากคนที่ต้องติดต่องานด้วยในช่วงหลายปีมานี้ เขาแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนอื่นๆ เลย
คนคนนี้ไม่ได้ติดต่อเขามาสิบกว่าปีแล้ว วันนี้จู่ๆ ก็ถือของมีค่าแพงๆ มาหาถึงหน้าประตู
คงไม่ได้มาพูดคุยรำลึกความหลังกันแน่ๆ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอาสินบนมาให้บ้านนี้ แน่ใจเหรอว่าเขาจะยอม ทั้งบ้านดูเป็นข้าราชการมือสะอาดกันขนาดนั้น
ไหหม่า(海馬)