ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 878 ต้องหาทางออกอื่น
ตอนที่ 878 ต้องหาทางออกอื่น
แต่ก่อนที่มือของหล่อนจะทันได้แตะประตู บานประตูก็เปิดออกเสียก่อน
“อวี่เฟย มาแล้วเหรอจ๊ะ? เชิญเข้ามาเร็ว” โจวลี่หรงดูเหมือนจะยืนรออยู่ที่หน้าประตูสักพักแล้ว ใบหน้าของหล่อนประดับไปด้วยรอยยิ้มยินดี ขณะเอ่ยชวนเจียงอวี่เฟย เข้ามาด้านใน
“สวัสดีค่ะคุณน้า”
“ดีจ้ะ เข้ามาเร็ว”
เฉินเจียวั่งถือของพะรุงพะรัง เอ่ยขึ้น “แม่ครับ นี่อวี่เฟยซื้อมาฝากครับ”
โจวลี่หรง พูดพร้อมกับรอยยิ้ม “อวี่เฟย ทำไมเธอขี้เกรงใจแบบนี้เนี่ยจ๊ะ?”
“อวี่เฟยมาแล้วเหรอ? มานั่งทางนี้เร็ว” สองผู้เฒ่าตระกูลเฉินต่างก็เข้ามาต้อนรับหล่อนอย่างกระตือรือร้น
เจียงอวี่เฟยกล่าวทักทายพวกเขากลับไปอย่างมีมารยาท ก่อนจะมองหาหลินเซี่ย ทันที
“เสี่ยวหู่ มานี่สิ ให้น้าอวี่เฟยอุ้มหน่อย” เจียงอวี่เฟยอุ้มเสี่ยวหู่ขึ้นจากรถเข็นเด็ก ซึ่งเสี่ยวหู่ก็ไม่งอแง แถมยังยิ้มให้หล่อน
พอเจียงอวี่เฟยได้ยินเฉินเจียซิ่งพูดแบบนั้น ใบหน้าอันขาวผ่องก็ขึ้นสีแดงระเรื่อทันที
ครั้งนี้เฉินเจียวั่งไม่ได้โกรธ แถมยังพูดเสริมอีกว่า “พี่รองพูดถูก”
เฉินเจียซิ่งเห็นน้องชายเห็นด้วย เลยอยากจะพูดต่ออีกสองสามคำ แต่ถูกโจวลี่หรงมองค้อนใส่
เขาเลยได้แต่หุบปากไปแบบเซ็งๆ
หลินเซี่ยวิ่งลงมาจากชั้นบน
“อวี่เฟยมาแล้วเหรอ”
“เซี่ยเซี่ย” เจียงอวี่เฟยร้องทักหลินเซี่ยด้วยความดีใจ
“เรียกพี่สะใภ้สิ” เฉินเจียวั่งย้ำเตือนหล่อนอยู่ข้างๆ
เจียงอวี่เฟย ทำหน้าเหยเก “!!!”
หลินเซี่ย “…”
หลินเซี่ยวางท่าทางราวกับพี่สะใภ้ พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว อวี่เฟย ตอนนี้เธอกับน้องสามฉันรักกันดีขนาดนี้ ก็ควรเรียกฉันว่าพี่สะใภ้ได้แล้ว”
เจียงอวี่เฟยมองหลินเซี่ยแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นไว้พี่สะใภ้ให้ค่าเปลี่ยนคำเรียกฉันก่อน ถึงตอนนั้นฉันจะเปลี่ยนคำเรียกก็ได้”
เจียงอวี่เฟยไม่หลงกลพวกเขาหรอก
ถ้าหล่อนเปลี่ยนคำเรียกหลินเซี่ยเป็นพี่สะใภ้แล้ว งั้นหล่อนก็ต้องเปลี่ยนคำเรียกญาติผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ด้วยสิ?
ยังไม่ได้แต่งงานกัน ยังไม่มีพิธีรีตองเป็นทางการอะไร แล้วจะเปลี่ยนคำเรียกก่อนได้อย่างไร?
“อวี่เฟยพูดถูก ต้องรอให้แต่งงาน ได้ค่าเปลี่ยนคำเรียกก่อน ถึงจะเปลี่ยนได้ พวกเธออย่าไปหลอกอวี่เฟยของฉันเชียวนะ” คุณย่าเฉินมองหลินเซี่ยกับเจียงอวี่เฟยด้วยแววตาเอ็นดู พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเธอเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน อยากจะเรียกกันยังไงก็เรียกเถอะ สิ่งสำคัญที่สุดระหว่างคนเราคือความรู้สึกที่มีต่อกัน”
“มา ๆ นั่งลงก่อนสิ”
คุณย่าเฉินชวนพวกเขานั่งลง จากนั้นทุกคนก็พูดคุยสัพเพเหระต่างๆ
ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะรับประทานอาหารเย็น ทุกคนจึงนั่งล้อมวงคุยกัน บรรยากาศเป็นไปอย่างครื้นเครงและอบอุ่น
เจียงอวี่เฟยยิ้มแห้ง ไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร
หู่จือกลับกระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลดไปก่อนแล้ว
“เยี่ยมไปเลย ต่อไปนี้เราจะได้อยู่บ้านหลังเดียวกันแล้วใช่ไหมครับ?”
หลินเซี่ยเอ่ย “นั่นก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของอาสามด้วยล่ะ ถ้าเขาทำตัวไม่ดี น้าอวี่เฟยก็ไม่แต่งงานกับเขาหรอก”
หู่จือเงยหน้าขึ้น มองเฉินเจียวั่งด้วยสายตาจริงจัง “อาสาม ถ้าอาทำตัวดีเหมือนอย่างที่พ่อทำกับแม่ผม น้าอวี่เฟยจะต้องแต่งงานกับอาด้วยแน่ๆ”
“แล้วพ่อของเธอปฏิบัติต่อแม่เธอยังไงบ้างล่ะ?” เฉินเจียวั่งโน้มตัวมามองหู่จือ สีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำพูดของอีกฝ่าย
“ก็แค่…” หู่จือเกาศีรษะ พยายามเค้นสมองนึกภาพเหตุการณ์ก่อนที่พ่อกับแม่จะแต่งงานกัน
เขานึกขึ้นได้ราง ๆ ว่าตอนนั้นแม่ของเขาดูเหมือนจะไม่เต็มใจแต่งงานกับพ่อของเขากระมังนะ?
ช่างเถอะ เรื่องแบบนี้ไม่เหมาะกับอาสามหรอก
“เอ่อ…” เสี่ยวหู่ยิ้มแห้ง ๆ “อาอย่าไปเลียนแบบเขาเลย”
เจ้าเด็กนี่ความจำดีเหลือเกิน แถมยังหัวไวอีกต่างหาก
เฉินเจียวั่งลูบหัวหู่จือพลางยิ้ม “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะแสดงให้สุดฝีมือเลย”
คำพูดของเฉินเจียวั่งทำให้ทุกคนในครอบครัวมองเขาด້วยสีหน้าประหลาดใจ
เจ้าเด็กนี่…
ดูท่าทางแล้วคนหนุ่มสาวก็มีความรู้สึกตกหลุมรักอยู่
ปากแข็งแบบนี้ก็โดนสั่งสอนจนอ่อนลงได้เหมือนกัน
“อวี่เฟย ปีใหม่นี้มีแผนจะทำอะไรหรือเปล่า? จะไปรับงานแสดงเลยไหม?”
ในฐานะพ่อของเฉินเจียวั่ง เฉินเจิ้นเจียงในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว เขาจึงเริ่มจากการถามถึงเรื่องงานของเจียงอวี่เฟยก่อน
เจียงอวี่เฟยตอบด้วยท่าทางสุภาพและจริงจัง “คุณอาคะ ตอนนี้ฉันยังไม่ได้รับบทละครอะไร อยากเรียนให้จบก่อน ตอนนี้ฉันเรียนเอกเต้นรำอยู่ค่ะ ในอนาคตอาชีพที่ฉันอยากทำมากที่สุดก็คือครูสอนเต้นรำ ถ้ามีบทละครที่ตรงกับสายอาชีพ ฉันก็จะรับแสดงค่ะ”
หลังจากเจียงอวี่เฟยได้รับรางวัลจากการประกวดนางแบบ หล่อนก็ได้ใช้เวลาคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น หล่อนยังไม่ได้จบการแสดงมาโดยตรง จึงไม่มีพื้นฐานด้านการแสดง ต้องฝึกฝนฝีมืออีกมาก
จริง ๆ แล้วหล่อนอยากใช้เวลาไปกับการฝึกเต้นมากกว่า
สิ่งที่หล่อนชอบก็คือการเต้นรำ
หล่อนหวังว่าในอนาคตตนเองจะมีความสามารถพอที่จะเปิดโรงเรียนสอนเต้นรำ รับนักเรียนที่รักการเต้นรำเหมือนกับหล่อนมาสอนพวกเขาเต้น
หรือไม่ก็อยากจะตั้งคณะเป็นของตัวเอง
เฉินเจิ้นเจียงกล่าว “ดีแล้ว คนหนุ่มสาวอย่างเธอมีความคิดมีความทะเยอทะยานแบบนี้ก็ดี อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ”
เจียงอวี่เฟยฟังคำพูดของเฉินเจิ้นเจียงแล้วรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
เพราะหลังจากที่หล่อนเล่าความสัมพันธ์ของตนกับเฉินเจียวั่งให้พ่อฟัง พ่อของหล่อนกลับพูดจาประชดประชันว่าครอบครัวทหารแบบนั้นคงไม่ยอมรับอาชีพของหล่อนอย่างแน่นอน
แล้วยังถามอีกว่าตอนที่หล่อนเข้าร่วมการประกวดนางแบบแล้วต้องสวมกางเกงตัวสั้นจิ๋วออกโทรทัศน์ ครอบครัวของเฉินเจียวั่งรู้เรื่องหรือเปล่า? ได้ดูรายการโทรทัศน์นั้นหรือไม่?
ตอนนั้นหล่อนพูดไม่ออกจริงๆ
เพราะก่อนหน้านี้หล่อนได้มาที่บ้านของเฉินเจียวั่งในฐานะแฟนของเขาแล้ว ซึ่งครอบครัวของเฉินเจียวั่งก็ไม่ได้รังเกียจอาชีพของหล่อนแต่อย่างใด
แต่ในเมื่อพ่อเตือนมาแบบนี้ หล่อนก็เลยคุยกับเฉินเจียวั่งอย่างจริงจัง
เฉินเจียวั่งบอกว่าครอบครัวของเขาจะไม่ดูถูกอาชีพของใครอย่างแน่นอน
นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าตนเป็นผู้ชายที่มีความคิดเป็นของตัวเอง เขาตัดสินใจในเรื่องส่วนตัวเองได้ ไม่ลังเลเพราะความคิดเห็นของคนในครอบครัวอย่างแน่นอน
คำพูดของเฉินเจียวั่งทำให้หล่อนรู้สึกสบายใจมาก
ยิ่งตอนนี้เฉินเจิ้นเจียงพูดแบบนี้ออกมา เจียงอวี่เฟยก็รู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้น
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นชุมชนบ้านพักทหาร แต่ความคิดของพวกเขาก็ทันสมัยอยู่เสมอ
ทั้งหลินเซี่ยและหยางหงเสียต่างก็ทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่งานเจ้าหน้าที่รัฐแบบที่คนทั่วไปเข้าใจ
โจวลี่หรงคิดว่าซุปไก่ในหม้อคงจะได้ที่แล้ว หล่อนจึงพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “มาค่ะ กินข้าวกันเถอะ”
หลินเซี่ยกับหยางหงเสียก็ลุกขึ้นไปช่วยยกอาหาร
เจียงอวี่เฟยจะไปช่วย แต่หลินเซี่ยห้ามไว้
“เธอรีบไปนั่งกับคุณปู่คุณย่าเถอะ ไม่ต้องยุ่งแล้ว”
ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ผู้เฒ่าเฉินยังกล่าวอะไรบางอย่างอย่างเป็นทางการอีกด้วย
เจียงอวี่เฟยรู้สึกว่าการได้มาเยี่ยมบ้านตระกูลเฉินอีกครั้งในวันนี้ พวกเขาดูจะให้ความสำคัญและต้อนรับหล่อนอย่างอบอุ่นมากกว่าครั้งแรกที่ตนมาเสียอีก
ถึงแม้เฉินเจียวั่งจะไม่ได้พูดอะไร อีกทั้งหลินเซี่ยก็บอกว่าที่บ้านไม่รู้ว่าครั้งแรกที่หล่อนมาเป็นการแสดง แต่หล่อนก็ยังรู้สึกว่าญาติผู้ใหญ่ของตระกูลเฉินล้วนแต่เฉลียวฉลาด พวกท่านต้องดูออกอยู่แล้ว
การที่หล่อนมาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้ พวกท่านก็ยิ่งยอมรับในความสัมพันธ์ของหล่อนกับเฉินเจียวั่งมากขึ้น
เฉินเจียซิ่งนั่งอยู่ด้านข้าง มองพี่ชายและพี่สะใภ้กำลังคุยกับแฟนของน้องสามอย่างออกรสชาติ ดูเหมือนทุกคนจะเข้ากันได้ดี เขากลับรู้สึกว่าตัวเองดูกลายเป็นส่วนเกินอย่างไรชอบกล
พูดถึงเรื่องอนาคต ทุกคนต่างก็มีอนาคตไกล มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่มีเป้าหมายในชีวิต
งานถ่ายรูปที่ร้านเช่าชุดแต่งงานในตอนนี้ก็เรียกได้ว่าแขวนอยู่บนเส้นด้าย หลินเซี่ยอยากจะไล่เขาออกเมื่อใดก็ได้
ไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย
เฉินเจียซิ่งหรี่ตาลง คิดใคร่ครวญถึงทางเดินชีวิตของตัวเองอย่างจริงจัง
เขาอาจจะต้องหาทางของตัวเองแล้ว
เขาเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากช่างภาพใหญ่จางซ่วน เพียงเท่านี้การหางานด้านการถ่ายภาพข้างนอกก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขอให้การงานลงตัวเสียทีนะเจียซิ่ง คนอื่นเขาดูมั่นคงกันหมดแล้ว
ไหหม่า(海馬)
………………..