ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 879 การโต้กลับ
ตอนที่ 879 การโต้กลับ
ทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มีเพียงเฉินเจียซิ่งที่จมอยู่ในภวังค์ความคิด คิดถึงอนาคตของตนในวันข้างหน้า
หยางหงเสียเห็นสามีกินข้าวแบบเหม่อลอย ไม่ค่อยได้แตะต้องอาหารบนโต๊ะ จึงคีบกับข้าวใส่ชามให้พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “กินข้าวสิ มัวเหม่ออะไรอยู่”
“กินสิ คุณก็กินเยอะๆ นะ” เฉินเจียซิ่งยิ้มให้ภรรยาและคีบกับข้าวให้หล่อนเช่นกัน
แม้เฉินเจียซิ่งจะเป็นคนไม่ค่อยเอาไหน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขารักและดีกับภรรยามาก
ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นเสี่ยวเหมยภรรยาเก่าหรือหยางหงเสียภรรยาคนปัจจุบัน เขาก็ทำหน้าที่สามีที่ดี คอยดูแลเอาใจใส่พวกหล่อนอย่างอ่อนโยนเสมอมา
เฉินเจียวั่งมองภาพนั้นแล้วคิดในใจว่า ข้อดีข้อนี้ของพี่ชายก็เป็นสิ่งที่เขาควรเอาเป็นแบบอย่าง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ครอบครัวเฉินก็ไม่อยากให้เจียงอวี่เฟยกลับ ชวนหล่อนพูดคุยอย่างออกรส
และแอบถามถึงความคิดเห็นของครอบครัวเจียงที่มีต่อเฉินเจียวั่ง
เจียงอวี่เฟยกับเฉินเจียวั่งเป็นเพื่อนมัธยมปลายกัน แถมหล่อนยังเคยเห็นเฉินเจียวั่งป่วยกับตาตัวเองมาก่อน
เป็นแบบนี้แล้ว พ่อของหล่อนจะไม่รู้ได้อย่างไร
สิ่งที่สองผู้เฒ่าตระกูลเฉินเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ พ่อของเจียงอวี่เฟยจะต้องมีความกังวลใจแน่นอน
ต่อให้พวกเขาบอกว่าเฉินเจียวั่งหายดีแล้ว เจียงกั๋วเซิ่งก็อาจจะไม่เชื่อ
ยิ่งไปกว่านั้น อาการของเฉินเจียวั่งในตอนนี้ก็แค่ควบคุมเอาไว้ได้ แม้แต่หมอเย่ก็ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะรักษาหายขาดได้
ในอนาคตข้างหน้า ไม่รู้ว่าวันไหนเฉินเจียวั่งจะเกิดอาการกำเริบขึ้นมาอีกเพราะเรื่องกระทบกระเทือนอารมณ์บางอย่าง พวกเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
ในเมื่อตั้งใจจะคบกันเพื่อแต่งงาน พวกเขาก็ต้องพูดคุยกันให้ชัดเจนในเรื่องนี้เสียก่อน
ครอบครัวเฉินอย่างพวกเขาไม่กล้าปิดบังความจริงแล้วไปหลอกลวงครอบครัวของหล่อน
และหวังว่าครอบครัวของเจียงอวี่เฟยจะยอมรับเฉินเจียวั่งจากใจจริง
เจียงอวี่เฟยยังไม่ทันได้เอ่ยปากตอบ เฉินเจียวั่งก็มองผู้เฒ่าเฉิน บนใบหน้าอันหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ ก่อนจะพูดว่า “คุณปู่ครับ คุณลุงเจียงชอบผมจะตายไป”
หลินเซี่ยค่อนข้างมีสิทธิ์ออกความเห็นในเรื่องนี้ เธอพยักหน้า “คุณปู่คะ เจียวั่งพูดไม่ผิดหรอกค่ะ คุณลุงเจียงค่อนข้างเอ็นดูเจียวั่งจริง ๆ ค่ะ”
เจียงอวี่เฟยเองก็แสดงออกว่าหล่อนได้รับพรจากพ่อแล้ว จึงกล้าตกลงคบกับเฉินเจียวั่งและมากินข้าวที่นี่
เมื่อได้ยินพวกเขาพูด ผู้เฒ่าเฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พยักหน้าอย่างพอใจซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
เฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยในฐานะคนรุ่นหลานย่อมเข้าใจความกังวลของคุณปู่เป็นธรรมดา
เหล่าผู้อาวุโสเป็นห่วงเฉินเจียวั่งจนใจจะขาด
ผู้เฒ่าเฉินจึงรีบฉวยโอกาส “พวกเธอสองคนวางแผนจะลงเอยกันเมื่อไหร่? ให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายมาเจอกันหน่อยดีไหม?”
เฉินเจียวั่งไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้ “คุณปู่ครับ พวกเรายังเรียนไม่จบเลย ยังไม่ต้องรีบร้อนหรอกครับ ยังไงพวกคุณก็ยอมรับอวี่เฟยเป็นหลานสะใภ้อยู่แล้ว”
หากให้เขาวิ่งไปหาครอบครัวเจียงแล้วบอกว่าจะหมั้นกับเจียงอวี่เฟยในตอนนี้ เจียงกั๋วเซิ่งต้องไม่เห็นด้วยแน่ ๆ
ขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น
เฉินเจียซิ่งเดินเข้าไปรับสาย
เมื่อได้ยินเสียงปลายสาย เฉินเจียซิ่งก็เอ่ยทักทาย “อาสะใภ้รองเหรอครับ?”
หลังรับสายจากอาสะใภ้รองที่โทรมาจากเมืองหนานเฉิง เฉินเจียซิ่งก็เงยหน้ามองคนอื่นอย่างลืมตัว
ทันทีที่ปลายสายพูดจบ เฉินเจียซิ่งก็ตอบกลับไปว่า “ปู่ผมอยู่ครับ รอสักครู่นะครับ”
“ปู่ครับ อาสะใภ้รองโทรมา”
เมื่อผู้เฒ่าเฉินได้ยินว่าเป็นลูกสะใภ้รองโทรมา เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเดินไปรับสาย
ไม่ใช่ว่าไม่อยากรับสายของวังซูเฟิน แต่ทุกครั้งที่หล่อนโทรมาก็มักมีแต่เรื่องเดือดร้อน
โดยปกติแล้วลูกชายคนรองของเขามักจะไม่เคยโทรมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพวกเขาเลยสักครั้ง
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด…
“เจียหมิงหมั้นแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมนัดดูตัวล่มอีกแล้วล่ะ?” ผู้เฒ่าเฉินขมวดคิ้ว ถามด้วยความไม่พอใจ
“คุณพ่อ เรื่องนี้มันค่อนข้างใหญ่โต และส่งผลกระทบไม่ดีต่อเมืองหนานเฉิง ฉันเลยคิดว่าจะส่งเจียหมิงไปที่เมืองไห่เฉิง พ่อช่วยหาแฟนที่นั่นให้เขาทีสิคะ”
วังซูเฟินกล่าว “ถ้าหาคนที่เก่งกาจเหมือนหลินเซี่ยได้ก็จะดี จะได้ช่วยเหลือเจียหมิงได้ในอนาคต”
ผู้เฒ่าเฉินฟังแล้วขมวดคิ้ว “ช่วยเหลืออะไร? เจียหมิงมันก็แค่ลูกจ้าง จะต้องไปช่วยเหลืออะไร? แกอยากได้ผู้หญิงที่มีอำนาจ มีเงิน เพื่อให้เจียหมิงเกาะเขากินหรือไง?”
“คุณพ่อ พูดแบบนี้ได้ยังไง นั่นหลานชายแท้ๆ ของพ่อนะคะ” วังซูเฟินไม่แก้ตัว รีบเอ่ยความต้องการของตัวเองออกมา “ยังไงก็ช่วยหาให้หน่อยเถอะค่ะ ฉันคิดจะให้เจียหมิงไปทำงานที่เมืองไห่เฉิง พ่อพอจะจัดหางานให้ได้ไหม?”
“ไม่ได้” ผู้เฒ่าเฉินโกรธจนหนวดกระตุก ตอบอย่างเด็ดขาด “แกอย่าพาเจียหมิงมาที่นี่นะ ฉันไม่หางานให้หรอก ถ้าจะมาก็ให้มาหางานทำเอง ฉันไม่ต้อนรับ”
วังซูเฟินไม่คิดว่าผู้เฒ่าเฉินจะมีท่าทีแบบนี้ โพล่งด้วยความโกรธ “พ่อ เจียหมิงก็เป็นหลานแท้ๆ นะคะ ทำไมถึงทำกับเขาแบบนี้?”
“มันอยู่เมืองหนานเฉิงมาตั้งยี่สิบกว่าปี ทำไมอยู่ๆ ถึงจะมาอยู่เมืองไห่เฉิง? หรือว่ามันไปก่อเรื่องที่เมืองหนานเฉิง?” ผู้เฒ่าเฉินไม่ใช่คนโง่ อะไรที่ผิดปกติ แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ถ้าไม่ใช่เพราะก่อเรื่องจนถูกไล่ออก ทำไมจะต้องทิ้งเมืองหนานเฉิงที่อยู่มากว่ายี่สิบปี แล้วมาหางานทำที่เมืองไห่เฉิงแบบกะทันหันด้วยล่ะ
“ไม่มีค่ะ ไม่ได้ก่อเรื่องอะไร”
ผู้เฒ่าเฉินขมวดคิ้ว ขัดจังหวะวังซูเฟิน “พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว พวกแกก็ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหนานเฉิงนั่นแหละ พวกเราแก่แล้ว ไร้น้ำยา ไปยุ่งเรื่องของคนรุ่นหลังไม่ได้หรอก ต่างคนต่างก็ต้องพึ่งพาตัวเองในการใช้ชีวิต ญาติพี่น้องมาอยู่รวมกันในเมืองเดียวกันมันไม่มีประโยชน์หรอก”
พูดจบ ผู้เฒ่าเฉินก็วางสายโทรศัพท์เสียงดัง
เสียงโทรศัพท์ดังมากจนทุกคนต่างก็ได้ยินที่หวังซูเฟินพูด
“คุณปู่ อาสะใภ้รองหมายความว่ายังไงครับ จะให้คุณปู่หาแฟนให้เจียหมิงเหรอ?” เฉินเจียซิ่งพูดด้วยสีหน้าสะใจ “เจียหมิงไม่ได้หาแฟนรวย ๆ ไว้แล้วเหรอ ทำไมถึงเลิกกันได้ล่ะเนี่ย”
ในที่สุดครอบครัวเฉินก็มีคนที่ต้องมาปวดหัวกับเรื่องงานเหมือนกับเขาแล้ว
ผู้เฒ่าเฉินนั่งลงด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่อยากตอบเฉินเจียซิ่ง
เฉินเจียวั่งก็มีสีหน้าสะใจเช่นกัน
“คุณปู่ เมื่อกี้ทำไมรีบวางสายจังครับ? ครั้งที่แล้วอาสะใภ้รองบอกว่ามีญาติห่างๆ ครอบครัวรวยมากอยากให้ผมไปหา แล้วทำไมหล่อนไม่แนะนำให้ลูกชายตัวเองล่ะครับ?”
เฉินเจียวั่งนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็ยังโกรธอยู่ เลยแกล้งทำเป็นจะโทรศัพท์หาวังซูเฟิน “หรือว่าอาสะใภ้รองลืมญาติห่างๆ ของตัวเองไปแล้ว ผมโทรไปเตือนหล่อนหน่อยดีกว่า ปล่อยให้เฉินเจียหมิงไปหาเอง”
เขาทำท่าจะลุกขึ้นไปโทรศัพท์
“พอได้แล้ว ผ่านมาตั้งนานแล้ว ยังจะไปถือสาอะไรกับคนแบบนั้นอีก?”
เฉินเจิ้นเจียงมองเฉินเจียวั่งเป็นเชิงตักเตือนให้เขาหยุด เฉินเจียวั่งเลยทำได้แค่นั่งลงตามเดิม
“แกใจร้อนเกินไป ต่อไปต้องหัดหนักแน่นให้มากกว่านี้ อย่าเอาแต่โมโหเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ” เฉินเจิ้นเจียงหันไปพูดกับเจียงอวี่เฟย “อวี่เฟย ต่อไปนี้เธอช่วยดูแลเขาหน่อยนะ ฝึกฝนนิสัยเขาหน่อย”
เจียงอวี่เฟยนั่งตัวตรง เงยหน้ามองเฉินเจิ้นเจียง บนใบหน้ามีรอยยิ้มหวานละมุน “คุณลุง ฉันว่าหากเขาโมโหก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ เก็บกดไว้ไม่ดีต่อสุขภาพ”
มุมปากเฉินเจียวั่งยกยิ้ม ขณะเดียวกันก็ชื่นชมเจียงอวี่เฟยอยู่ในใจ
หลินเซี่ยพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ค่ะ เจอคนแบบไหนก็ใช้แบบนั้นแหละค่ะ บางทีก็ต้องลดมาตรฐานตัวเองลงบ้าง ไม่อย่างนั้น คนที่เป็นทุกข์ก็คือตัวเราเอง”
เรื่องที่วังซูเฟินจงใจดูถูกเหยียดหยามเฉินเจียวั่งเมื่อก่อน พวกเขาทุกคนยังจำได้ดี จะมาอ้างเรื่องเป็นผู้ใหญ่แล้วทำอะไรก็ได้แบบนี้ไม่ได้หรอก
ต้องเอาคืนแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน จี้จุดที่ทำให้เจ็บใจ เล่นงานให้หล่อนไม่สบายใจไปเลย
ผู้เฒ่าเฉินมองเหล่าลูกหลานรุ่นหลังด้วยสายตาทั้งรักทั้งเอ็นดู พร้อมกับอบรมสั่งสอนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “พวกเธอเป็นเด็กยุคใหม่ ความคิดความอ่านต่างจากพวกเรามาก เด็กเอ๋ย พวกเธอต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง”
เฉินเจียวั่งรีบยกมือขึ้นอุดหูทันที “คุณปู่ครับ ผมไม่ฟังแล้ว เรื่องแบบนั้นพวกเราไม่เอาด้วยหรอกครับ พวกเรายึดหลักใครไม่ยุ่งกับเรา เราก็ไม่ยุ่งกับเขา แต่ถ้าใครมายุ่งกับเราก่อน พวกเราจะเล่นงานให้เขาดิ้นพล่านไปเลยครับ”
ผู้เฒ่าเฉินได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก
เฉินเจิ้นเจียงรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “เอาล่ะ พวกเธอเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ตราบใดที่ไม่ทำอะไรผิดกฎหมาย ก็ทำตามที่พวกเธอต้องการเถอะ”
ในเมื่อห้ามไม่ได้ก็ปล่อยพวกเขาไป
การไม่ยอมให้ตัวเองถูกเอาเปรียบก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง
ในเมื่อเฉินเจิ้นเจียงไม่ได้สนิทกับน้องชายตัวเองอยู่แล้ว เขาก็ไม่คิดจะยัดเยียดความคิดให้ลูกชายของตัวเองต้องไปสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับลูกพี่ลูกน้องหรอก
แน่นอน หากทุกคนมีทัศนคติที่ตรงกัน ความสามัคคีของครอบครัวจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
แต่กับสถานการณ์ในตอนนี้ เฉินเจียหมิงกับพวกเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน แถมยังไม่สนิทกัน ไม่มีพื้นฐานความรู้สึกต่อกันเลยแม้แต่น้อย
จะไปผูกมัดกันทำไม
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไหนป้ารองบอกว่าหาแฟนรวยให้ลูกได้แล้วไงล่ะ แล้วโทรมาหาบ้านใหญ่ให้บ้านใหญ่ช่วยเหลือทำไม
ลูกหลานตระกูลเฉินก็เป็นพวกแค้นฝังหุ่นเหมือนกันนะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)