ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 892 จดหมายของเซี่ยไห่
ตอนที่ 892 จดหมายของเซี่ยไห่
หลินเซี่ยช่วยเช็ดน้ำตาให้คุณแม่เซี่ย แล้วปลอบโยนว่า “คุณย่า เราไม่ควรเสียใจกับคนแบบนั้น อย่าให้พวกเขามีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา สามสิบกว่าปีแล้วที่ไม่เคยเห็นเงาของเขา ตอนนี้พวกเราก็จงเป็นฝ่ายที่เขาอยากเจอก็ไม่ได้เจอ แค่ทำเป็นไม่สนใจเขาก็พอค่ะ”
“อืม พ่อของเธอไล่คนนั้นไปแล้ว พวกเราจะไม่มีทางสนใจเขาเด็ดขาด”
คุณแม่เซี่ยถอนหายใจยาว “ไม่เป็นไรแล้วๆ ดูสิย่าไม่เป็นอะไรเลย พวกเธออย่าได้กังวลใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ไม่คุ้มค่าหรอก”
คุณแม่เซี่ยตั้งใจจะลงจากเตียง บอกว่าจะไปหาของเล่นที่ซื้อมาให้เด็กๆ ตอนไปเดินห้าง
หลินเซี่ยพยุงคุณย่าออกจากห้องนอน เห็นเฉินเจียเหอวางเสี่ยวหู่ลงบนพื้น ส่วนเด็กน้อยกำลังเกาะโซฟาค่อยๆ ก้าวเดิน
หลินเซี่ยยิ้มพลางพูดกับคุณแม่เซี่ยว่า
“คุณย่า ดูเสี่ยวหู่สิคะ ช่วงนี้เขาเกาะกำแพงเดินได้แล้วนะ”
“หลานชายเสี่ยวหู่ของฉันเก่งจังเลย”
หลินเซี่ยเดินเข้าไปอุ้มลูกชายขึ้นมา แล้วพูดยิ้มๆ ว่า
“ยาย…ทวด……”
เสี่ยวหู่พยายามเลียนแบบหลินเซี่ย เรียกเสียงดังว่ายายทวด แม้จะฟังดูไม่ใกล้เคียงนัก แต่คุณแม่เซี่ยและก็ยังดีใจตอบรับเสียง
เพราะมีเด็กอยู่ บรรยากาศในบ้านก็รื่นเริงขึ้นมาก ทุกคนต่างมองดูเด็ก บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้น
เซี่ยเหลยเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า มีอารมณ์ที่มั่นคงจนน่ากลัว หลินเซี่ยแอบสังเกตเขาหลายครั้ง เรื่องเมื่อวานดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบต่อเขา
เขาทำงานไม่หยุด ซักผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเสร็จแล้ว ก็เริ่มจัดการกำจัดดอกไม้และหญ้าที่เหี่ยวแห้งในสวน
“พ่อ พักหน่อยสิคะ” หลินเซี่ยเห็นพ่อของเธอทำงานไม่เข้าบ้าน จึงออกไปเรียก
เซี่ยเหลยโบกเคียวตัดหญ้าแห้ง “ไม่เหนื่อยหรอก พวกเธออย่าออกมานะ ข้างนอกหนาว พ่อจะทำความสะอาดหน่อย”
หลินเซี่ยยังอยากจะเกลี้ยกล่อม แต่หลิวกุ้ยอิงกลับดึงเธอไว้
“ปล่อยให้เขาทำเถอะ ถ้าอยู่ว่างๆ ก็จะอารมณ์ไม่ดี”
หลิวกุ้ยอิงถอนหายใจ “พ่อเขาเป็นคนเก็บกด มีอะไรก็เก็บไว้ในใจ จริงๆ แล้วแม่รู้ว่าลึกๆ เขาก็ไม่สบายใจเหมือนกัน”
คุณแม่เซี่ยหาของเล่นใหม่มากมายให้เด็กทั้งสองคน หนึ่งในนั้นคือปืนของเล่นที่หู่จืออยากได้มานาน เขาถือปืนยิงปิ้วๆ อย่างมีความสุขไม่หยุด
คนชรามองดูเด็กๆ เล่นของเล่น ในที่สุดใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม
ขณะกินข้าวนางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดกับเซี่ยเหลยและคนอื่นๆ ว่า “เรื่องนี้อย่าบอกเสี่ยวอวี่เด็ดขาดนะ หล่อนท้องแก่แล้ว อย่าให้มันกระทบจิตใจของหล่อน”
เซี่ยเหลยตอบรับว่า “พวกเราไม่พูดหรอก”
คุณแม่เซี่ยพูดว่า “ถึงพวกแกจะไม่ได้พูด แต่ฉันกลัวว่าเสี่ยวไห่จะอดปากโป้งไม่ได้น่ะสิ”
“แล้วเขาไปไหนล่ะเนี่ย? สงสัยกำลังโมโหจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแน่ๆ” คุณแม่เซี่ยหมดอารมณ์กินอีกแล้ว เริ่มคร่ำครวญว่า “โธ่ ลูกๆ ของฉัน จนถึงตอนนี้ยังต้องถูกไอ้เวรตะไลนั่นมาพัวพันกับชีวิต ช่างบาปกรรมจริงๆ”
“ไม่แปลกเลยที่มันป่วยหนัก ถือว่ากรรมตามสนองมันแล้ว”
แค่ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจที่ลูกทั้งสามของนางต้องเผชิญ ก็สมควรให้ไอ้แก่หอกหักนั่นได้รับผลกรรมแล้ว
“แม่ กินข้าวเถอะ อย่าพูดอีกเลย”
หลังจากกินข้าวเสร็จ คุณแม่เซี่ยก็นั่งอยู่บนโซฟา มองเซี่ยเหลยและคนอื่นๆ พลางถอนหายใจ
“ฉันว่าคนที่ชื่อเซี่ยปิงคนนั้นก็ไม่ได้ดูเหมือนคนไม่ดีนะ เขาก็เหมือนพวกเธอ ต่างฝ่ายต่างลำบากมาด้วยกันทั้งนั้น ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงถึงได้ยอมตามหาพวกเราให้ไอ้เวรตะไลนั่น”
“แม่ครับ ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้ายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราทั้งนั้น ถ้าครั้งหน้าเขามาอีก ก็อย่าต้อนรับเขาเลย”
เซี่ยเหลยพูดเสียงไม่ดังนัก สีหน้าก็ดูปกติ แต่ความหมายในคำพูดชัดเจนและหนักแน่นมาก
“อืม อย่าให้เขาเข้ามาอีกเลย พวกเราก็ไม่อยากให้เรื่องนี้มากระทบบรรยากาศวันปีใหม่ด้วย” คุณแม่เซี่ยพูด “ทุกคนต่างเหนื่อยมาทั้งปีแล้ว ถึงช่วงปีใหม่ก็ควรจะมีความสุขกัน งั้นลืมเรื่องนี้ไปเถอะ”
นางมองนาฬิกา พอไม่เห็นเซี่ยไห่กลับมาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงหันไปพูดกับเซี่ยเหลย “โทรหาเสี่ยวไห่หน่อยสิ ทำไมถึงป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก อย่าให้เขาไปทำอะไรเหลวไหลข้างนอกนะ”
คุณแม่เซี่ยกังวลว่าเซี่ยไห่อาจจะไปเจอคนที่ชื่อเซี่ยปิงคนนั้นข้างนอก แล้วจะเกิดปะทะกัน
นางเป็นห่วงลูกชายคนเล็ก กลัวว่าเขาจะเสียใจอยู่ข้างนอกคนเดียว
เฉินเจียเหอพูดว่า “ผมจะโทรหาเขาเองครับ”
ในตอนนี้ ลินดากำลังถือโทรศัพท์มือถือ ส่วนเซี่ยไห่ถือกระดาษแผ่นหนึ่ง กำลังอ่านอะไรบางอย่างใส่โทรศัพท์
“เฉินซื่อเหม่ย แกยังมีหน้ามาหาพวกเราอีกหรือ? พวกเรารู้สึกอับอายที่มีพ่อแท้ๆ แบบแก ชาตินี้พวกเราไม่มีทางให้โอกาสแกได้เจอพวกเราอีกแล้ว พวกเราไม่สนใจมรดกบ้าๆ ของแกหรอก ความสัมพันธ์ของพวกเราขาดสะบั้นตั้งแต่วินาทีที่แกทิ้งพวกเราไปอย่างไร้เยื่อใยเมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว”
“ถึงแกตายไปก็จะไม่ได้รับเงินกงเต๊กแม้แต่ใบเดียวจากลูกชายแท้ๆ ลงไปอยู่ในปรโลกก็จะเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนที่ยากจนข้นแค้น!”
ลินดามีสีหน้าเก้อเขิน พูดขัดขึ้นมาว่า “พอได้แล้วมั้ง?”
หล่อนรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ฟังดูเด็กมาก
“พอแล้ว”
ตอนที่เซี่ยไห่อ่านจดหมายฉบับนี้ เขาดื่มด่ำไปกับอารมณ์อย่างเต็มที่ บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนเป็นหดหู่และโกรธแค้น
ลินดาพูดกับคนที่อยู่ปลายสายว่า “คุณเขียนตามความหมายคร่าวๆ นี้ก็พอ แสดงออกถึงความโกรธและความเกลียดชังเป็นหลัก อย่าให้อีกฝ่ายมาวุ่นวายอีก แค่ตัดขาดความสัมพันธ์ก็พอ”
ลินดาตั้งใจฝากเพื่อนโทรหาเพื่อนนักเขียนบทคนหนึ่งที่หล่อนไม่ได้สนิทสนมด้วยมากนัก
จุดประสงค์ก็คือหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยใช้ลีลาการเขียนของเขามาปรับแต่งคำด่าตรงๆ ของเซี่ยไห่ให้ดูนุ่มนวลอ้อมค้อมขึ้นสักหน่อย
ให้คนแก่คนนั้นรู้ถึงท่าทีของพวกเขา ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว
แต่เซี่ยไห่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของลินดา เขาตะโกนใส่โทรศัพท์ว่า “สวัสดี เขียนตามที่ผมบอกเลยนะ”
“เขาจะจดตามที่คุณพูด แค่นี้แหละ” ลินดาผลักเขาออกไป
ปลายสายเป็นนักเขียนบทที่มีชื่อเสียงพอสมควร หล่อนรู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ไปขอให้ฝ่ายนั้นทำเรื่องเด็กๆ แบบนี้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไปให้นักเขียนบทเขียนอะไรแบบนี้ให้ ไม่ใช่ว่านักเขียนบทคนนั้นยิ่งเขียนให้แรงกว่าเดิมอีกนะ?
ไหหม่า(海馬)
………………..