ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 901 เรียกเด็กที่ยังไม่คลอดว่าอา
ตอนที่ 901 เรียกเด็กที่ยังไม่คลอดว่าอา
เฉินเจียวั่งมองเฉินเจียซิ่งด้วยสายตาผิดหวัง เอ่ยคำพูดอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
เขาถึงกับวิจารณ์อุปนิสัยของเฉินเจียซิ่งออกมาตรงๆ
หลังพูดจบด้วยน้ำเสียงเย็นชาก็หยิบของเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
พอถูกน้องชายของตัวเองพูดใส่แบบนี้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เฉินเจียซิ่งก็โมโหจนเอามือเท้าสะเอว เดินวนไปมาอยู่กับที่
เฉินเจียซิ่งมองร่างของเฉินเจียวั่งที่เดินห่างออกไป สีหน้าเคร่งเครียดพูดด้วยความโกรธ “ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ มันยังเห็นฉันเป็นพี่รองอยู่หรือเปล่า?”
หยางหงเสียมองเฉินเจียซิ่งที่กำลังโกรธจัด หล่อนเองก็ไม่พอใจเช่นกัน จึงมองเฉินเจียซิ่งด้วยสายตาตำหนิ “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจียวั่ง แต่เป็นเพราะคุณหาเรื่องใส่ตัวเอง ฉันบอกว่ารีบไปได้แล้ว แต่คุณก็ยังจะยืนรออยู่ที่นี่ แล้วจะทำอะไรได้?”
“คุณนี่ช่างคิดเล็กคิดน้อยเหลือเกิน ยังจะไปอิจฉาเปรียบเทียบกับน้องชายตัวเองอีก พวกเราแต่งงานกันแล้ว คุณเองก็มีงานทำ พวกเราเลี้ยงดูตัวเองได้แล้ว ทำไมคุณต้องไปคิดถึงของจากผู้ใหญ่ด้วย? ฉันก็ไม่ได้ขอให้คุณเอาของมีค่าอะไรไปที่บ้านฉันนี่”
ในช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้ เฉินเจียซิ่งกลับทำลายบรรยากาศด้วยการทะเลาะกับน้องชายตัวเอง เรื่องนี้ทำให้หยางหงเสียรู้สึกโมโหมากเช่นกัน ที่สำคัญคือหล่อนรู้สึกด้อยกว่าพี่น้องอีกสองคนของตระกูลเฉินอยู่แล้วเพราะฐานะทางบ้าน
แต่พอเฉินเจียซิ่งทำเรื่องวุ่นวายแบบนี้ หล่อนก็กลัวจริงๆ ว่าคนในตระกูลเฉินจะคิดว่าหล่อนแอบยุยงให้เฉินเจียซิ่งทำแบบนี้
เฉินเจียซิ่งรู้ตัวว่าตัวเองผิด เขาเบ้ปาก พึมพำว่า “ใครจะไปสนใจล่ะ? พวกเขามีอะไรที่น่าสนใจด้วยเหรอ? ผมแค่อยากดูว่าคุณปู่ลำเอียงจริงหรือเปล่า ก็แค่อยากรู้น่ะ!”
ตั้งแต่เด็กเขาก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของคุณปู่
แม้ตอนนี้เขาก็ยังคงอยากรู้อยากเห็นจนทำให้ตัวเองอับอาย คุณปู่จะรักน้องสามได้ถึงขนาดไหนกันนะ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขารู้สึกอึดอัดในใจ
“ความอยากรู้อยากเห็นทำให้แมวตายจริงๆ ถ้ารู้แต่แรกก็น่าจะรีบไปเสียก่อน”
ผู้ใหญ่ลำเอียงรักน้องสาม อาศัยว่ามีผู้ใหญ่หนุนหลัง น้องสามจึงไม่เคารพเขาผู้เป็นพี่ชายเลย
ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
เขาเองก็ทำตัวน่ารำคาญจริงๆ ต่อไปคงต้องหลีกเลี่ยงน้องคนนี้จะดีกว่า
หยางหงเสียได้เห็นแล้วว่าเฉินเจียซิ่งทำตัวเป็นเด็กและไม่ยอมรับความผิดของตัวเองอย่างไร ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เขากลับมีทัศนคติคับแคบลงเรื่อยๆ คอยจู้จี้จุกจิกกับครอบครัว ไม่มีความใจกว้างและความเป็นลูกผู้ชายเลยสักนิด
หล่อนมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองและขู่ว่า “ถ้าคุณยังทำแบบนี้อีก เห็นทีฉันจะต้องพิจารณาตามคำพูดเมื่อกี้ของเจียวั่งจริงๆ แล้ว”
“คำพูดอะไร? หมายความว่ายังไง? คุณจะหย่ากับผมเหรอ?”
เฉินเจียซิ่งถูกคำพูดของหยางหงเสียกระตุ้นอารมณ์
เขาจ้องตาหล่อนแล้วพูดอย่างร้อนรน
“พวกเราเป็นคู่สามีภรรยากัน คุณเป็นเมียผม คุณมีความคิดเป็นของตัวเองบ้างไม่ได้หรือไง?
อย่าเชื่อคำพูดคนอื่นตลอดเวลาสิ ผมแค่ทะเลาะกับน้องชายนิดหน่อย แต่คุณกลับฟังเขาแล้วคิดจะหย่ากับผม สรุปคุณอยู่ฝ่ายไหนกันแน่? คุณยังไม่รู้จักผมดีพออีกหรือไง? ผมจะมีเจตนาร้ายอะไรได้ ก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเอง อยากดูว่าเฉินเจียวั่งไปอวยพรปีใหม่ที่บ้านตระกูลเจียงเป็นครั้งแรก ผู้ใหญ่จะให้อะไรเขาบ้าง จะเหมือนกับที่พวกเราได้รับเมื่อปีที่แล้วไหม”
เขามองหยางหงเสียด้วยสายตาน้อยใจแล้วพูดว่า “ผมอยากรู้เรื่องนี้มันไม่ผิดอะไรนี่ ทำไมทุกคนถึงมาโจมตีผม บอกว่าผมมีปัญหาเรื่องนิสัยใจคอ? นี่มันดูถูกกันชัดๆ”
วันนี้เป็นเช้าวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ หยางหงเสียจึงไม่อยากเถียงกับเขาอีก
เฉินเจียซิ่งยิ้มแล้วดึงมือหยางหงเสีย
“พอเถอะ ไปกันเถอะ อย่าให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มากระทบอารมณ์เลย การที่คนในครอบครัวมีปากเสียงกันบ้างเป็นเรื่องปกติ พวกเราจะพูดถึงเรื่องหย่าร้างกันบ่อยๆ ไม่ได้นะ ผมแพ้คำนี้!”
“คุณไม่รู้หรอกว่าเจ้าสามมันปากเสียแค่ไหน ฟังที่เขาพูดแค่ผ่านๆ ก็พอแล้ว ไอ้เด็กเวรนั่นชอบยุแหย่ให้เราสองคนทะเลาะกันที่สุด ถ้าคุณมาทะเลาะกับผมจริงๆ ก็จะเป็นไปตามแผนของมันไม่ใช่หรือ?”
เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่กับเสิ่นเสี่ยวเหมย เจ้าสามยังปากร้ายกว่าทุกวันนี้อีก
เฉินเจียซิ่งพูดอย่างลื่นไหลจนหยางหงเสียถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความขัดแย้งระหว่างพี่น้องจริงๆ
เฉินเจียซิ่งฉวยโอกาสรีบจับมือหยางหงเสียทันที
“รีบไปกันเถอะ พ่อแม่รออยู่ ถ้าเราสองคนไป พวกท่านต้องดีใจมากแน่ๆ”
เมื่อก่อนแม่ยายของเขาคอยพูดให้เขาหาเส้นสายให้น้องชายของภรรยาเข้ากองทัพ แต่หลังจากที่เขาไม่สนใจ หยางหงเสียก็แทบจะไม่กลับบ้านเกิดเลย
ผู้ใหญ่อาจจะรู้สึกถึงความเย็นชาของพวกเขา กลัวว่าลูกสาวจะตัดขาดจากครอบครัว ดังนั้นท่าทีของพวกเขาจึงเปลี่ยนไปมาก และไม่พูดถึงเรื่องขอเส้นสายให้น้องชายอีกเลย
ทุกครั้งที่มาเย่มลูกสาวที่บ้านหลังเล็กของพวกเขา ก็จะเอาของมาให้มากมายอย่างใจกว้าง
เฉินเจียซิ่งก็รู้สึกปลื้มใจกับการเปลี่ยนแปลงของผู้ใหญ่ และท่าทีของเขาที่มีต่อพวกเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
เซี่ยไห่ขับรถไปรับเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยพร้อมทั้งครอบครัวของพวกเขา
ทันทีที่มาถึงบ้าน ทุกคนในครอบครัวก็มารวมตัวกัน เย่ไป๋และเซี่ยอวี่ที่กำลังท้องแก่ก็มาด้วย
เย่ไป๋คอยประคองหล่อนอย่างระมัดระวัง พอเข้าบ้านและนั่งลงก็กลายเป็นแฟนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ
แม้แต่เสี่ยวหู่ที่อยากจะเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ก็ถูกหลิวกุ้ยอิงอุ้มไปแทน
หลิวกุ้ยอิงอุ้มพลางพูดว่า “เสี่ยวหู่ อย่าให้ย่ารองอุ้มนะ ในท้องของย่ารองมีอาของหนูอยู่นะ”
เซี่ยอวี่ “!!!!”
มุมปากของหล่อนกระตุกเล็กน้อย มองหลิวกุ้ยอิงแล้วพูดอย่างเบาๆ “พี่สะใภ้คะ พูดแบบนี้ฉันยังงงเลย อาอะไรกันคะ?”
หลิวกุ้ยอิงหัวเราะพูดว่า “เสี่ยวอวี่ ลูกของเธอมีศักดิ์สูงกว่าพวกเสี่ยวหู่หนึ่งรุ่น ก็เรียกว่าอาไม่ใช่เหรอ? ควรเรียกว่าอาฝ่ายแม่ใช่ไหม?”
เซี่ยอวี่มองหล่อนอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้คะ ทำไมถึงมั่นใจว่าเป็นอาล่ะคะ? ฉันชอบลูกสาวนะคะ”
เย่ไป๋อยู่ข้างๆ ยิ้มพลางเห็นด้วย “ใช่ พวกเราชอบลูกสาวกันทั้งนั้น”
เย่ไป๋มองพวกเขาแล้วตอบว่า
“โรงพยาบาลไม่ได้ทำการตรวจที่เกี่ยวข้อง แต่คุณปู่รองของผมได้จับชีพจรให้เสี่ยวอวี่แล้ว”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยอวี่ก็บ่นว่า
“คุณปู่เย่ไม่ยอมบอกพวกเราเลย ไม่ยอมบอกเด็ดขาดว่าจับปุ๊บก็รู้เพศของเด็กแล้ว บอกว่าคลอดออกมาเดี๋ยวก็รู้เอง”
คุณแม่เซี่ยพูดอย่างจริงจังว่า “ไม่บอกนั่นแหละถูกแล้ว คลอดออกมาเป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น มีอะไรต้องตรวจด้วย? รู้ล่วงหน้าแล้วจะทำยังไง? พวกเธอชอบลูกสาว ถ้าในท้องเป็นลูกชาย พวกเธอจะให้เขากลายเป็นลูกสาวหรือไง นี่ไม่ใช่การสร้างความกังวลให้ตัวเองเปล่าๆ หรอกหรือ รักษาความลับเอาไว้บ้าง รอให้ลูกสร้างความประหลาดใจให้พวกเราเถอะ”
“แม่ครับ ที่คุณพูดถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาวก็ล้วนเป็นของขวัญที่สวรรค์มอบให้พวกเรา เป็นผลผลิตแห่งความรักของผมกับเสี่ยวอวี่ ขอเพียงเสี่ยวอวี่กับลูกปลอดภัยและแข็งแรงก็พอแล้ว”
คุณแม่เซี่ยพอใจมากกับความคิดของเย่ไป๋ที่ยกเซี่ยอวี่เป็นอันดับหนึ่งเสมอ นางยิ้มพลางตอบรับว่า “เสี่ยวไป๋นี่พูดดีจริงๆ”
“แม่ครับ ถ้าลูกในท้องของย่ารองเกิดมาแล้ว ผมต้องเรียกว่าอาจริงๆ เหรอครับ?” หู่จือได้ยินข่าวแบบนี้ ใบหน้าน้อยๆ ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขามองดูหลินเซี่ยด้วยตาเป็นประกายแล้วพูดว่า
หลินเซี่ยถอนหายใจหนักแล้วเอ่ยปากว่า “ไม่มีทางเลือกหรอก ใครใช้ให้พวกเรามีศักดิ์ต่ำล่ะ ลูกดูพ่อกับอารองสิ พวกเขาเคยเป็นเพื่อนทหารกันมาก่อน แต่ก็ยังต้องเรียกเขาว่าอารองไม่ใช่หรือ?”
หู่จือเบ้ปากพึมพำว่า “นี่มันต่ำเกินไปแล้วนะ”
เซี่ยไห่มองดูสีหน้าไม่เต็มใจของหู่จือแล้วยิ้มพลางเติมน้ำมันเข้ากองไฟ “หู่จือ อย่าเพิ่งรีบร้อนสิ ต่อไปเมื่อลูกของพวกเราเกิดมา ตอนนั้นเธอคงอายุ 10 ขวบแล้ว ก็ต้องเรียกว่าอาเหมือนกันนะ”
หู่จือได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ แล้วรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเลยทีเดียว
เขาเริ่มคร่ำครวญว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ? ทำไมพวกคุณไม่มีลูกเร็วกว่านี้?”
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจียซิ่งสมควรโดนหงเสียตบกลับให้เข้าที่เข้าทางที่สุด
ลำดับญาติครอบครัวนี้ช่างพันกันยุ่งเหยิงชวนงงงวยเหลือเกิน
ไหหม่า(海馬)