ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 902 ไม่มีทางที่จะใจดีเกินไป
ตอนที่ 902 ไม่มีทางที่จะใจดีเกินไป
คำพูดของหู่จือทำให้ทุกคนหัวเราะลั่น
เซี่ยไห่มองลินดาโดยไม่รู้ตัว เขาทำหน้าเคร่งขรึมและสั่งสอนหู่จือว่า “เด็กน้อย เรื่องนี้มันรีบร้อนได้ที่ไหน? พวกเราอยากมีลูกเมื่อไหร่ก็มีเมื่อนั้นแหละ ก็แค่เรื่องลำดับญาติเท่านั้นเองจะเป็นอะไรนักหนา เรียนรู้จากพ่อของเธอบ้างสิ”
เขาพูดพลางมองเฉินเจียเหออย่างมีความหมาย แล้วมองไปที่เย่ไป๋ ก่อนจะเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า
“เขาน่ะ เรียกฉันว่าอารอง แล้วเรียกเพื่อนสนิทคนนี้ว่าลุง เธอเห็นไหมว่าเขาเรียกอย่างมีความสุขแค่ไหน?”
หู่จือไม่เข้าใจ เขาเงยหน้ามองเฉินเจียเหอ แล้วถามเสียงใสว่า “พ่อครับ พ่อเรียกอย่างมีความสุขจริงๆ เหรอครับ?”
“ลูกคิดว่ายังไงล่ะ?” เฉินเจียเหอมองเขาด้วยหางตา แล้วถามกลับเสียงเบา
หู่จือเอียงคอ แล้วเริ่มแสดงความคิดในใจของตัวเอง
“ผมรู้สึกว่าพ่อต้องไม่มีความสุขแน่ๆ ตารองอายุน้อยกว่าพ่อด้วยซ้ำ พ่อจะเรียกเขาว่าอาได้อย่างมีความสุขได้ยังไงล่ะครับ”
พอหู่จือนึกถึงว่าในอนาคตตัวเองจะต้องเรียกทารกในผ้าอ้อมว่าอา เขาก็รู้สึกหดหู่มาก
คนที่ควรจะเรียกว่าอาควรเป็นผู้ใหญ่แบบอารองกับอาสามไม่ใช่หรือ?
เฉินเจียเหอสังเกตเห็นเซี่ยไห่และเย่ไป๋มองพวกเขาพ่อลูกด้วยสีหน้าขบขัน เขาก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วหันไปพูดกับลูกชายว่า “ลูกต้องเปิดใจให้กว้าง ต่อไปไม่ว่าจะเป็นลูกของตารองหรือลูกของย่ารอง พวกเขาก็ล้วนเป็นผู้ใหญ่ของลูก ผู้ใหญ่ต้องเอาใจใส่ผู้น้อย เข้าใจไหม?”
เซี่ยไห่ “…”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!
ที่แท้เฉินเจียเหอคนเจ้าเล่ห์นี่ก็คิดแบบนี้นี่เอง
จริงๆ แล้วเมื่อก่อนตอนที่พวกเขาเป็นสหายพี่น้องกัน เขารู้สึกว่าตัวเองเด็กกว่าเฉินเจียเหอมาก แม้เฉินเจียเหอจะอายุน้อยกว่าเขาหลายปี แต่เขามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ นิสัยหนักแน่น ปกติก็มักจะเอาใจใส่เขา
ตั้งแต่เฉินเจียเหอแต่งงานกับหลานสาวของเขา สถานะของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไป ตัวเขาเองก็ไม่กล้าที่จะเอาแต่ใจอีกต่อไป
เพราะเขาจำได้เสมอว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ของเฉินเจียเหอ ผู้ใหญ่ก็ต้องวางตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่
หลายครั้งที่ควรจะออกเงินก็ต้องออก ควรจะออกแรงก็ต้องออก ถึงจะมีอารมณ์ก็ไม่สามารถระบายออกมาตามใจชอบได้
ตอนแรกที่เฉินเจียเหอเรียกเขาว่าอารอง เขาก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโส
แต่ตอนนี้พอคิดดีๆ แล้ว การเป็นผู้อาวุโสมันดีตรงไหนกัน?
นอกจากความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเฉินเจียเหอเรียกเขาว่าอารองในตอนแรกแล้ว ก็แทบไม่มีข้อดีอื่นเลย
ต่อไปลูกของเขาจะต้องยอมอ่อนให้สองยักษ์ตระกูลเฉินนี่ตั้งแต่เกิดเพียงเพราะสถานะผู้อาวุโสหรือ?
นี่มันน่าเศร้าเกินไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หู่จือกลับโตกว่าพ่อของเขามาก
เขามองเฉินเจียเหอแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พ่อครับ ผมไม่จำเป็นต้องให้พวกเขายอมผมหรอก ผมจะให้เด็กๆ ยอมผมได้ยังไง มันดูไม่รู้จักกาลเทศะเกินไปแล้ว ถึงผมจะมีศักดิ์ต่ำกว่า แต่ผมอายุมากกว่านะครับ คุณครูบอกว่ารุ่นพี่ต้องดูแลรุ่นน้อง”
เซี่ยไห่ได้ยินคำพูดของหู่จือ ก็ตื่นเต้นอุ้มเขาขึ้นมาทันที “โอ้โห หลานชายคนโตของฉัน อารองรักเธอไม่เสียเปล่าเลย เธอพูดถูกมาก”
หลินเซี่ยพูดพลางยิ้มว่า
“ไม่ต้องให้ใครยอมใครหรอกค่ะ ใครถูกก็ฟังคนนั้น”
“ดี พวกเราทุกคนเคารพคำตอบที่ถูกต้อง”
พวกเขากลัวว่าในวันดีๆ แบบนี้ เซี่ยปิงจะมาสร้างความรำคาญให้ทุกคนอีกโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
แน่นอนว่าเซี่ยไห่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดกับเซี่ยปิงในคืนส่งท้ายปีเก่านั้นชัดเจนพอแล้ว
เซี่ยปิงดูไม่เหมือนคนที่จะไม่มีขอบเขตและรบกวนคนอื่นไปเรื่อยๆ เขาน่าจะไม่มาอีก
คนอื่นๆ ไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาแค่ไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเซี่ยอวี่ก็พอ
พวกเขากลัวว่าหล่อนจะอารมณ์แปรปรวนและส่งผลกระทบต่อลูกในท้อง
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เซี่ยอวี่บอกว่าหล่อนรู้สึกเหนื่อยและต้องการพักผ่อนสักครู่
เย่ไป๋เข้าไปในห้องกับหล่อน เมื่อสามีภรรยาคู่นี้ไม่อยู่ในห้องโถง เซี่ยไห่ก็ทนไม่ไหว จึงเล่าเรื่องที่เซี่ยปิงมาที่บ้านในคืนส่งท้ายปีเก่าให้เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยฟัง
เซี่ยไห่มีสีหน้าเคร่งเครียด ท่าทางเหมือนกำลังจะฟ้องร้อง เอ่ยปากว่า “เขาอยากจะเป็นพี่น้องกับพวกเรา อยากเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเรา แล้วย่าเธอก็ใจอ่อน พอเห็นเซี่ยปิงยืนอยู่หน้าประตูในคืนส่งท้ายปีเก่าที่หิมะตก ท่านก็เกิดความสงสาร เลยให้เขาเข้ามากินข้าวปีใหม่ด้วยกัน พอกินเสร็จเขาก็ไม่ยอมไป จนฉันต้องใช้ไม้แข็งไล่เขาออกไป”
เซี่ยไห่มองดูเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ย อยากฟังความเห็นของพวกเขา “พวกเธอคิดว่าฉันทำถูกต้องไหม? ฉันควรไล่เขาออกไปหรือไม่?”
เซี่ยไห่เชื่อว่าในบ้านนี้ต้องมีคนที่เข้าใจเขา
ถ้าไม่ตรงกัน เขาก็ไม่อยากสนิทกับพวกเขาอีกต่อไป
“อารอง ฉันคิดว่าควรทำแบบนั้น”
หลินเซี่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจังมาก “พวกเราขอยอมทำให้คนอื่นลำบากใจดีกว่าทำให้ตัวเองลำบากใจ ถ้าให้เขาอยู่ต่อ ทุกคนในบ้านก็จะอึดอัด”
แม้หลินเซี่ยจะไม่เคยเจอเซี่ยปิงคนนั้นมาก่อน แต่จากที่ได้ฟังเซี่ยไห่และคนอื่นๆ เล่า ก็พอจะรู้ว่าเขาคงไม่ใช่คนที่เลวร้าย
อย่างน้อยก็ไม่น่ารังเกียจเท่าปู่ของเธอ
ความจริงแล้วเขาก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายเหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ?
ตัวตนของเขาชัดเจนออกปานนั้น
ถ้าจะยอมรับเขาเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือสงสารอดีตของเขา มุมมองแบบนั้นก็ช่างน่าตลกสิ้นดี
นั่นไม่ใช่การฝืนให้ทุกอย่างจบลงอย่างสวยงามหรอกหรือ?
พอหลินเซี่ยพูดเช่นนั้น เซี่ยไห่รู้สึกเหมือนเจอคนที่เข้าใจตน จึงอยากกอดหลานสาวเอาไว้
“เซี่ยเซี่ย เธอพูดถูกมาก เธอเข้าใจฉันจริงๆ ยังไงเธอก็เป็นหลานสาวคนโตของฉัน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีความคิดเห็นตรงกันเลย”
เซี่ยไห่พูดพลางมองแม่และพี่ใหญ่อย่างน้อยใจ คืนนั้นทั้งสองคนไม่ได้เสนอให้เซี่ยปิงออกไปเลย
ไม่ว่าจะเพราะเกรงใจหรือมีความคิดอื่นก็ตาม เซี่ยไห่กลับไม่พอใจการกระทำของพวกเขามาก
เหมือนที่หลินเซี่ยพูด ยอมให้คนอื่นลำบากดีกว่าให้ตัวเองลำบาก ตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมาพวกเขาทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว
ถ้าตอนนี้ยังจะให้พวกเขาใจดีเกินไป ยอมรับลูกของชู้ แล้วตัวเองจะกลายเป็นอะไรไป?
น่ารังเกียจยิ่งกว่ากินแมลงวันเสียอีก
เซี่ยเหลยได้ยินว่าเซี่ยไห่กำลังคุยเรื่องนี้กับหลินเซี่ยและคนอื่นๆ เขาจึงขัดจังหวะเซี่ยไห่อย่างไม่พอใจ “พอเถอะ ช่วงปีใหม่แบบนี้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ได้ไหม? ทำไมนายต้องเล่าเรื่องที่ทำให้เซี่ยเซี่ยรู้สึกแย่ด้วยล่ะ?”
หลินเซี่ยมองเซี่ยเหลยด้วยสีหน้าจริงจัง “พ่อคะ ฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนะคะ เรื่องพวกนี้ฉันควรจะรู้ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โดนพี่เหอเล่นแล้วไงล่ะอารอง อาวุโสแล้วไง ยังไงก็ต้องยึดตามอายุอยู่ดี
สถานการณ์ตอนนั้นที่เซี่ยปิงมาถือว่าน่าลำบากใจอยู่เหมือนกันนะ แต่ยังไงก็ต้องเอาครอบครัวหลวงเป็นหลักไว้ก่อน
ไหหม่า(海馬)