ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 909 ถูกล้างสมอง
ตอนที่ 909 ถูกล้างสมอง
คำพูดของเฉินเจียซิ่งประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวหยางหงเสีย หล่อนเริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเองว่าจะสามารถทำหน้าที่ครูได้จริงหรือไม่
จริงอยู่ที่พวกเขาเปิดคอร์สอบรมเองสองครั้ง แต่หลินเซี่ยก็ไม่เคยให้หล่อนสอนเลย เพียงแค่ให้ทำงานเบื้องหลังเท่านั้น
ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่กำลังจะเปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการ ครูต้องมีวุฒิการศึกษาและความสามารถ หล่อนออกไปอบรมสามเดือนกลับมาจะสามารถเป็นครูได้จริงหรือ?
แม้จะมีประสบการณ์พอ หล่อนก็ไม่กล้าขึ้นไปสอนบนแท่นบรรยาย
เฉินเจียซิ่งฉวยโอกาสนี้โอบหล่อนไว้และพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ที่รัก ฟังผมนะ พวกเราทำงานในร้านให้ดี ผมเป็นช่างภาพ คุณทำผมและแต่งหน้า พวกเราบริหารร้านนี้ให้ดี สร้างผลกำไรให้มาก ก็จะได้เงินเดือนสูง พี่สะใภ้ก็มีความสุข พวกเราก็มีความสุข ไม่อย่างนั้นถ้าโรงเรียนสร้างเสร็จแล้วร้านปิดตัวลง จะหานักเรียนมาได้อย่างไร?”
หยางหงเสียนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าลำบากใจ ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดหล่อนก็ตัดสินใจ มองเฉินเจียซิ่งและพูดว่า “ต่อไปฉันอาจจะไม่ได้เป็นครู แต่ฉันก็ไม่อยากปล่อยผ่านโอกาสในการอบรมที่ดีแบบนี้ไป แม้จะทำผมและแต่งหน้าในร้านเช่าชุดแต่งงาน แต่การได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ ได้ไปดูการแต่งหน้าและทรงผมที่กำลังเป็นที่นิยมในเมืองใหญ่ก็เป็นสิ่งที่ดีนะ”
คำพูดของหยางหงเสียไม่ได้ทำให้เฉินเจียซิ่งพอใจ เขาถอนหายใจ มองหล่อนและพูดว่า “หงเสีย ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจคำพูดของผมล่ะ? ถ้าพวกคุณไปกันหมด แล้วร้านเช่าชุดแต่งงานจะทำอย่างไร? พี่สะใภ้ถ่ายทอดฝีมือให้พวกคุณหมดแล้ว ผมว่าเทคนิคการแต่งหน้าและทำผมของคุณไม่ได้ด้อยไปกว่าช่างแต่งหน้าในเมืองใหญ่เลย คุณเคยเข้าไปทำงานในกองถ่ายทำผมและแต่งหน้าให้นักแสดงมาแล้ว นั่นถือเป็นการยืนยันระดับสูงสุดแล้ว พวกคุณออกไปเรียนก็เพื่อใบรับรองเท่านั้น ถ้าไม่ได้เป็นครู แล้วจะเอาของพวกนั้นไปทำอะไร”
คำพูดนี้หยางหงเสียเห็นด้วย
ทักษะการแต่งหน้าและการจัดแต่งทรงผมของหลินเซี่ยนั้นอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการแฟชั่นอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่มีแฟชั่นอะไรกำลังเป็นที่นิยมภายนอก หลินเซี่ยก็สามารถสอนพวกหล่อนได้ทุกอย่าง
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา หล่อนยังได้ยินมาว่ามีกองถ่ายเชิญหลินเซี่ยไปเป็นสไตลิสต์ แต่หลินเซี่ยปฏิเสธไปเพราะมีงานในมือมากเกินไป
เธอบอกว่ารอให้ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเซี่ยอวี่เริ่มถ่ายทำ เธอจึงจะไปเป็นสไตลิสต์ประจำตัวของเซี่ยอวี่
เห็นหยางหงเสียไม่พูดอะไร เฉินเจียซิ่งยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“เห็นไหมว่าผมพูดถูก? พี่สะใภ้ใหญ่ไปเป็นครูสอนสไตลิสต์ในเมืองใหญ่ได้แล้ว พวกคุณเป็นลูกศิษย์ของหล่อน ยังจำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ อีกหรือ? ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเราตอนนี้คือการแบ่งเบาภาระงานบางส่วนของหล่อน และบริหารร้านเช่าชุดแต่งงานให้ดี ให้หลินเยี่ยนกับชุนฟางไปเรียนรู้ พี่สะใภ้ใหญ่รับผิดชอบการสร้างโรงเรียน ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง อย่าให้กระทบกับงานของร้านเช่าชุดแต่งงาน ถ้าไม่มีผลกำไร อนาคตพวกเราก็จะไม่มีอาชีพทำกิน”
เฉินเจียซิ่งพูดต่อว่า “พี่สะใภ้ใหญ่คงอยากให้คุณอยู่ดูแลร้านด้วย แต่หล่อนอาจจะไม่กล้าพูดตรงๆ พวกเราต้องมีไหวพริบเข้าใจสถานการณ์หน่อย”
หยางหงเสียรู้สึกว่าคำพูดของเฉินเจียซิ่งมีเหตุผลมาก
บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่เฉินเจียซิ่งพูดจริงๆ หลินเซี่ยอยากให้หล่อนอยู่ช่วยงาน แต่ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ
กลัวว่าหล่อนจะไม่พอใจ คิดว่าเธอลำเอียงเข้าข้างน้องสาวกับพี่สะใภ้แท้ๆ
เมื่อเป็นเช่นนั้น หล่อนก็ควรจะเข้าใจเหตุผลและอาสาที่จะอยู่ดูแลร้านเอง
หยางหงเสียคิดถึงตรงนี้แล้วก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว “ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปบอกพี่สะใภ้ว่าพวกเราจะอยู่ดูแลร้าน ให้หลินเยี่ยนกับชุนฟางไปเรียนแทน”
เฉินเจียซิ่งโอบหยางหงเสียเข้ามากอด แล้วจูบที่แก้มหล่อนทีหนึ่ง “นั่นแหละถูกต้องแล้ว พวกเราในฐานะครอบครัวของหล่อน ควรจะช่วยแบ่งเบาภาระให้หล่อน”
…
วันรุ่งขึ้น เมื่อมาถึงร้าน หยางหงเสียก็บอกการตัดสินใจของตัวเองให้หลินเซี่ยฟัง
หลินเซี่ยได้ยินคำพูดของหล่อน ปฏิกิริยาแรกก็คือ “เป็นเพราะเฉินเจียซิ่งไม่ให้เธอไปใช่ไหม?”
หยางหงเสียรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่ใช่หรอก ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะเป็นครู ฉันเรียนจบแค่มัธยมต้น ไม่มีความรู้มากนัก พอขึ้นไปยืนบนแท่นบรรยายก็ประหม่า แม้แต่ตอนเราเปิดคอร์สอบรม ฉันก็ไม่เคยสอนเลย แล้วฉันจะไปเป็นครูในโรงเรียนได้ยังไง? ฉันคิดว่าฉันยังคงดูแลร้านเช่าชุดแต่งงาน ทำผมและแต่งหน้าให้เจ้าสาวจะดีกว่า อีกอย่างถ้าพวกเราสามคนไปอบรมกันหมด ก็จะไม่มีคนดูแลร้าน”
ชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่จะแต่งงานกันในช่วงปลายปีหรือช่วงปีใหม่ พอถึงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน คนอาจจะยุ่งกับการทำงาน คนที่แต่งงานก็จะมีน้อยลงเมื่อเทียบกัน
ตอนนี้จึงถือว่าเป็นช่วงว่าง พอดีที่จะให้พวกเธอออกไปเรียนรู้ได้
แม้หลินเซี่ยจะมีท่าทีเป็นธรรมชาติ ทำให้หยางหงเสียคลายความกังวล แต่หยางหงเสียก็ยังคงปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า “ขอยกเลิกดีกว่า”
“หงเสีย เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เป็นเพราะเฉินเจียซิ่งไม่ให้เธอไปใช่ไหม?” หลินเซี่ยมองหล่อนด้วยสีหน้าจริงจังและพูดว่า “เธอไม่ต้องกลัว บอกความจริงกับฉันมา ถ้าเขาไม่ให้ไป ฉันจะไปคุยกับเขาเอง”
จากความเข้าใจของหลินเซี่ยที่มีต่อเฉินเจียซิ่ง มันมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่ไอ้หมอนั่นจะขัดขวางไม่ให้หยางหงเสียไปอบรม
เมื่อวานเธอก็มีความกังวลเรื่องนี้ และก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ…
หยางหงเสียเผชิญหน้ากับสายตาคมกริบของหลินเซี่ยจนหลบไม่พ้น จึงจำต้องพูดความจริงออกมา “เจียซิ่งก็แค่เป็นห่วงพวกเรา เขากลัวว่าถ้าทุกคนไปหมด จะกระทบกับธุรกิจของร้าน เขาบอกว่าให้ชุนฟางกับหลินเยี่ยนไปอบรม ส่วนฉันกับเขาจะอยู่ดูแลร้าน แบบนี้ผลประกอบการของร้านก็จะไม่ลดลง พวกเราก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองไงคะ”
“งั้นบอกฉันมา เธออยากออกไปเรียนรู้ไหม?” หลินเซี่ยมองหยางหงเสียและถาม
หยางหงเสียยิ้มเล็กน้อย ในดวงตาดูเหมือนจะไม่มีความคาดหวังมากนัก “พี่สะใภ้คะ ฉันว่าคุณเป็นช่างแต่งหน้าที่เก่งที่สุดในประเทศแล้วนะ ฉันเรียนกับคุณก็จบแล้ว ส่วนใบรับรองนั่น มีหรือไม่มีก็ได้”
“ช่างแต่งหน้าที่เก่งที่สุดอะไรกัน? เธอนี่ช่างยกยอฉันจริงๆ” หลินเซี่ยพูดอย่างหงุดหงิด “พวกเธอรู้ไหมว่ายุคสมัยกำลังก้าวหน้า รสนิยมของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้แต่เทรนด์แฟชั่นในแต่ละปีก็ไม่เหมือนกัน พวกเราทุกคนต้องออกไปเปิดหูเปิดตา เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ กลับมา แค่อาศัยสิ่งที่ฉันสอนพวกเธอมาทำธุรกิจให้ใหญ่โตและแข็งแกร่งน่ะมันไม่พอหรอก”
สำคัญที่สุดคือ แม้ว่าเทคนิคการแต่งหน้าและจัดทรงผมของเธอเองจะอยู่ในแนวหน้าของวงการแฟชั่นจริง แต่เธอก็ไม่มีพลังงานมากพอที่จะสอนพวกหล่อนตลอดเวลา
ทักษะการแต่งหน้าและการจัดทรงผมที่เธอมีอยู่จากยุคหลัง อาจไม่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้เสียทีเดียว
ดังนั้น เธอจึงอยากส่งพวกหล่อนทั้งหมดออกไปเรียนรู้กับช่างแต่งหน้าในเมืองแฟชั่น เพื่อเปิดหูเปิดตาและเห็นโลกกว้าง เมื่อพวกหล่อนกลับมาหลังจากเรียนจบ บุคลิกภาพของพวกหล่อนจะเปลี่ยนไป
หลินเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินบทสนทนาระหว่างหลินเซี่ยกับหยางหงเสีย ก็เดินเข้ามาและพูดกับหยางหงเสียว่า
“พี่หงเสีย พี่สาวของฉันพูดแบบนี้แล้ว พวกเราต้องไปเรียนนะ ไม่อย่างนั้นทักษะของเราจะตามไม่ทัน ต่อไปอย่าว่าแต่จะเป็นครูเลย ธุรกิจของร้านก็จะแย่ลงเรื่อยๆ เมืองไห่เฉิงเปิดร้านทำผมเจ้าสาวไปหลายร้านแล้ว ตอนนี้การแข่งขันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันได้ยินมาว่ามีร้านเช่าชุดแต่งงานที่เถ้าแก่ใหญ่ลงทุนซื้อชุดแต่งงานทั้งหมดเป็นแบรนด์ดังรุ่นใหม่ที่ขนส่งมาจากเซินเจิ้น พวกเรากำลังมีความกดดันมาก ถ้าอยากแข่งขันกับคู่แข่ง นอกจากชุดแต่งงานแล้วยังต้องแข่งกันที่ฝีมือแต่งหน้าของเราด้วย พวกเราต้องตามให้ทันกระแสยุคสมัย อย่าได้ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ เป็นอันขาด”
“เสี่ยวเยี่ยนพูดได้ดีมาก” หลินเซี่ยชูนิ้วโป้งให้หลินเยี่ยน
หลังจากหลินเยี่ยนมาอยู่ในเมือง หล่อนไม่เพียงแต่เรียนรู้เทคนิคการแต่งหน้าอย่างกระตือรือร้น แต่ยังใช้เวลาว่างอ่านหนังสือเพิ่มเติม ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการทำงานโดดเด่น แต่การพูดจาและกิริยาท่าทางของหล่อนก็เปลี่ยนไปและพัฒนาขึ้นอย่างมาก
หยางหงเสียฟังคำพูดของหลินเซี่ยและหลินเยี่ยน เธอก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่หลินเซี่ยให้พวกหล่อนไปเรียนเพิ่มเติมไม่ใช่แค่พูดลอยๆ
ในแผนของหลินเซี่ยมีหล่อนอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่พูดไปงั้นๆ อย่างที่เฉินเจียซิ่งกล่าวหา
“งั้นฉันกลับไปปรึกษากับเจียซิ่งอีกที”
หลินเซี่ยมองหล่อนและพูดว่า “เธอไม่ต้องไปปรึกษาหรอก ฉันจะคุยกับเขาเอง”
หากเฉินเจียซิ่งคัดค้านจริงๆ หยางหงเสียคงไม่มีทางโน้มน้าวเขาได้เลย
บ่ายนี้เฉินเจียซิ่งมีนัดถ่ายรูปพรีเวดดิ้งให้กับคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งพอดี
หลินเซี่ยจึงรอเขาที่ร้านเลย
เธอจงใจส่งหยางหงเสียออกไปซื้อของที่จำเป็นสำหรับร้าน
รอให้เฉินเจียซิ่งทำงานเสร็จและส่งลูกค้ากลับไปแล้ว จึงเชิญเขานั่ง
“น้องรอง นั่งก่อนสิ เรามาคุยกันหน่อย”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เรื่องนี้ต้องให้เซี่ยเซี่ยลงสนามเองแล้ว ไม่งั้นโดนเจียซิ่งล้างสมองแบบกู่ไม่กลับแน่
ไหหม่า(海馬)