ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 910 หญิงปากร้าย
ตอนที่ 910 หญิงปากร้าย
เฉินเจียซิ่งกำลังจะไป แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย ดวงตาของเขาก็ขยับไหวเล็กน้อย ยิ้มพูดว่า “พี่สะใภ้ มีอะไรหรือครับ? ผมต้องกลับไปที่ทำงานอีกรอบน่ะ”
หลินเซี่ยให้เขาอยู่ต่อตอนนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
หลินเซี่ยมองเขา บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ “วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ไปทำงานทำไม? นายเป็นคนสำคัญในที่ทำงานขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เฉินเจียซิ่ง “!!!”
เธอจะไม่เหลือหน้าให้เขาบ้างเลยหรือไง?
จำเป็นต้องทำร้ายศักดิ์ศรีของเขาขนาดนี้เลยหรือ?
เขามาทำงานพิเศษที่ร้านก็เพราะเป็นคนไม่สำคัญในที่ทำงานนั่นแหละ
“หงเสียจะไปอบรมที่เซี่ยงไฮ้ นายมีความเห็นยังไง?” หลินเซี่ยสบตากับเขา พูดตรงๆ “เห็นด้วยไหมที่ภรรยาของนายจะออกไปเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง?”
เฉินเจียซิ่งพยายามสงบสติอารมณ์แล้วพูดกับเธอว่า “เมื่อคืนผมได้ปรึกษากับหงเสียแล้ว หล่อนรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะเป็นครู ถึงไปอบรมมาก็คงเป็นครูไม่ได้ หล่อนชอบอยู่ที่ร้านแต่งหน้าทำผมให้ลูกค้ามากกว่า หล่อนคำนึงถึงธุรกิจของร้านด้วย ดังนั้นหลังจากคิดทบทวนแล้วก็ตัดสินใจให้หลินเยี่ยนกับชุนฟางไปแทน ส่วนหล่อนจะอยู่ดูแลร้านเอง”
หลินเซี่ยยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “จริงหรือ?”
เฉินเจียซิ่งไม่กล้าสบตากับหลินเซี่ย เขายิ้มแห้ง แล้วพูดว่า “แน่นอนสิ คุณก็รู้ว่าหงเสียเป็นคนเข้าอกเข้าใจคนอื่นเสมอ หล่อนบอกผมว่าคุณดีกับหล่อนมาก ในตอนนี้หล่อนต้องช่วยแบ่งเบาภาระของคุณ ถ้าพวกหล่อนไปกันหมด คุณต้องแบกรับภาระมากมายคนเดียว มันเหนื่อยเกินไป”
“แต่ว่า…” หลินเซี่ยมองเขาด้วยสายตากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม หยุดไปสักพัก แล้วพูดว่า “หงเสียไม่ได้พูดแบบนั้นนะ”
เฉินเจียซิ่ง “!!!”
ในใจเขามีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ถูกภรรยาทรยศแล้วหรือ?
“หล่อนบอกว่านายไม่ให้หล่อนไปเรียนนะ” หลินเซี่ยจ้องมองเฉินเจียซิ่งด้วยสายตายิ้มๆ แล้วพูดว่า “ฉันไม่เชื่อคำพูดของหล่อนเลย น้องรองเป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะขนาดนั้นได้ยังไง? ภรรยาของตัวเองอยากไปศึกษาต่อ นี่มันเรื่องดีขนาดไหน ในฐานะคู่ชีวิต ต้องดีใจไปกับหล่อนสิ จะเป็นไปได้ยังไงที่จะถ่วงขาไม่ให้หล่อนไป?”
เฉินเจียซิ่งเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัวแล้ว
เผชิญหน้ากับสายตาเอาจริงเอาจังของหลินเซี่ย เฉินเจียซิ่งก็เหงื่อตกไหลเป็นทาง เขายิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “ผมจะคัดค้านได้ยังไงกันล่ะ?”
“ในเมื่อนายไม่คัดค้าน ฉันก็จะลงทะเบียนให้หล่อน เดือนหน้าก็จะออกเดินทาง” หลินเซี่ยพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง พลางเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดบันทึก
“เดี๋ยวก่อน” เฉินเจียซิ่งรีบพูดอย่างตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ เรื่องนี้คุณลองพิจารณาดูอีกที จริงๆ แล้วผมคิดว่าหงเสียพูดถูก ร้านต้องการคนช่วย ให้หงเสียอยู่ดูแลร้านดีกว่า ธุรกิจที่ทำมาจนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราไม่ควรทำให้ธุรกิจเสียหาย”
“ไม่เสียหายหรอก มีฉันอยู่นี่ทั้งคน”
หลินเซี่ยเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดบันทึก แล้วมองไปที่เฉินเจียซิ่ง “ฉันลงทะเบียนแล้ว เดี๋ยวก็สามารถสมัครได้ เมื่อนายไม่คัดค้าน ฉันก็จะสมัครให้เลย”
“ผมคัดค้าน!”
มาถึงตอนนี้ เฉินเจียซิ่งก็ไม่สามารถแสร้งต่อไปได้อีก จึงเอ่ยความเห็นที่แท้จริงของตนออกมา “พี่สะใภ้ คุณอย่าเพิ่งสมัครให้หงเสียนะ”
หลินเซี่ยเห็นเขาเผยธาตุแท้ออกมา ดวงตาของเธอจึงฉายแววเย็นชา จ้องมองเฉินเจียซิ่งด้วยสายตาหรี่ลง
เฉินเจียซิ่งกระแอมเบาๆ รวบรวมความกล้าอธิบาย “ผมไม่เห็นด้วยจริงๆ ที่จะให้หล่อนไปเรียนต่อ ผมรู้สึกว่าไม่จำเป็น หงเสียเป็นครูไม่ได้หรอก”
หลินเซี่ยอธิบาย “เป็นครูสอนภาคปฏิบัติ แค่หล่อนมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสอนทฤษฎีหรือวิชาการ เพราะพวกเราจะจ้างครูผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีมาสอนด้วย”
เฉินเจียซิ่งกลัวว่าจะไม่สามารถโน้มน้าวหลินเซี่ยได้ จึงพยายามอธิบายเหตุผลอย่างหนักแน่น “นิสัยของหล่อนไม่เหมาะกับการยืนบนแท่นบรรยายเลย เวลาอยู่ท่ามกลางคนมากๆ หล่อนจะพูดติดอ่างเพราะประหม่า”
“แม้ไม่ได้เป็นครู การทำงานในร้านก็ต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ต้องศึกษาเทคนิคการแต่งทรงผมและแต่งหน้าที่ทันสมัย”
“แต่ว่า…”
หลินเซี่ยมองชายหนุ่มที่พูดอึกอักด้วยสีหน้าลำบากใจ สีหน้าของเธอเย็นชาลง เธอกอดอกมองเฉินเจียซิ่งแล้วถามตรงๆ
“ที่นายไม่อยากให้หงเสียไปอบรม จริงๆ แล้วก็แค่กลัวว่าหล่อนจะก้าวหน้าเร็วเกินไป ช่องว่างระหว่างคุณสองคนจะยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วในอนาคตนายจะไม่คู่ควรกับหล่อน กลัวว่าตัวเองจะถูกหล่อนทิ้งใช่ไหม?”
เฉินเจียซิ่งถูกหลินเซี่ยพูดแทงใจดำ สีหน้าของเขายิ่งดูอึดอัดมากขึ้น
เขาก้มหน้าพึมพำด้วยความรู้สึกผิด “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”
หลินเซี่ยไม่ให้โอกาสเขาแก้ตัว เธอมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเปิดเผยความคิดในใจของเขา “ไม่ นายคิดแบบนั้นแหละ นายเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงมาก แถมยังชอบควบคุมคนอื่น ตัวเองไม่พัฒนาแล้วยังขัดขวางคนรอบข้างไม่ให้พัฒนา กลัวว่าถ้าหล่อนเก่งขึ้นแล้วนายจะเสียหน้าหล่อน หงเสียมีโอกาสดีๆ ในการเรียนรู้แบบนี้ นายไม่ใช่แค่ขัดขวางไม่ให้หล่อนไปเรียน แต่ยังเก่งเรื่องเล่ห์เหลี่ยมวังหลวง ทั้งที่มันเป็นความคิดของนายเองแท้ๆ แต่กลับล้างสมองหงเสียให้หล่อนยอมสละโอกาสในการพัฒนาตัวเองด้วยความเต็มใจ นายนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ”
เมื่อถูกหลินเซี่ยพูดเปิดเผยความคิดในใจ เฉินเจียซิ่งก็อับอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
ต้องยอมรับว่าหลินเซี่ยช่างน่ากลัวจริงๆ
ผู้หญิงฉลาดเกินไปก็ไม่ดีจริงๆ ไม่มีอะไรที่จะหลบสายตาของพวกเธอได้เลย
แต่เฉินเจียซิ่งอยู่ต่อหน้าเธอ แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมรับว่าตัวเองล้างสมองหยางหงเสีย จงใจป้อนความคิดให้หล่อนว่าต้องช่วยแบกรับความกดดันแทนหลินเซี่ย ทำให้หล่อนเต็มใจสละโอกาสในการพัฒนาตัวเอง
เฉินเจียซิ่งก้มหน้าลง สีหน้าเจ็บปวด “พี่สะใภ้ ฟังคำพูดของคุณสิ ผมไม่ได้มีความคิดอย่างที่คุณพูดเลยนะ พวกเราทุกคนต่างก็หวังดีต่อร้านเช่าชุดแต่งงาน ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของร้าน พวกเราไม่อยากให้เรื่องการเรียนต่อมาขัดขวางธุรกิจ คุณลองคิดดูสิ คุณยังต้องไปดูงานที่ไซต์งานก่อสร้าง จัดการเอกสาร ดูแลลูก มีเรื่องให้ทำมากมาย จัดการไม่ไหวหรอก ถ้าหงเสียอยู่ก็สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของคุณได้ พวกเราทุกคนรักใคร่สามัคคีกัน ธุรกิจถึงจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ได้”
“ได้ ในเมื่อนายคิดเพื่อพวกเรามากขนาดนี้ งั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับฉันละกัน”
หลินเซี่ยพูดว่า “ถ้าหงเสียตัดสินใจจะทำงานกับฉันต่อไป หล่อนจำเป็นต้องออกไปเรียนรู้เพิ่มเติม ถึงแม้ว่าในอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นครู แต่ช่างแต่งหน้าทำผมของร้านก็ต้องมีใบรับรอง เพื่อให้ลูกค้าเห็นประวัติการเรียนรู้และคุณสมบัติของช่างทันทีที่เข้ามาในร้าน แบบนี้ถึงจะยืนหยัดอยู่ในวงการนี้ได้”
หลินเซี่ยมองเฉินเจียซิ่งด้วยสีหน้าจริงจังแล้วพูดต่อ “นายขัดขวางความก้าวหน้าของหล่อนไม่ได้หรอก ฉันเข้าใจความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของนายนะ แต่เฉินเจียซิ่ง ถ้านายคิดรักใครสักคน ก็ควรจะก้าวหน้าไปด้วยกัน ให้หล่อนกลายเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่ใช่หักปีกแล้วขังหล่อนไว้ในกรง”
เขาจะไม่เข้าใจหลักการนี้ได้อย่างไร
เฉินเจียซิ่งเงียบลง นั่งอยู่ตรงนั้น ก้มหน้าก้มตาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลินเซี่ยก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขาแล้วเปิดสมุดบันทึก
หลินเยี่ยนไม่ได้ส่งเสียงอะไรอยู่ข้างๆ แต่ได้ยินบทสนทนาระหว่างหลินเซี่ยกับเฉินเจียซิ่งทุกคำอย่างชัดเจน
ตอนนี้หล่อนรู้สึกสงสารหยางหงเสียอยู่บ้าง
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโชคดีที่ตัวเองยังเป็นอิสระ
แม้คนที่หล่อนเลือกคงไม่หักปีกหล่อนอย่างที่พี่สาวพูดไว้ก็ตาม
ในตอนนั้น เสียงตะโกนก็ดังแว่วมา
“เซี่ยเซี่ย พวกเรามาแล้ว”
หลินจินซานกับชุนฟางสองคนถือถุงหลากสีเดินเข้ามา
หลินเซี่ยเห็นพวกเขาก็ถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมพวกเธอมาเวลานี้ล่ะ?”
“เซี่ยเซี่ย พวกเรามาขอบคุณเธอ” หลินจินซานวางถุงใหญ่น้อยในมือทั้งหมดลงบนโต๊ะ “ฉันซื้อของอร่อยๆ มาให้เธอกับลูกๆ มีขาหมูที่เธอชอบด้วยนะ”
หลินจินซานเห็นเฉินเจียซิ่งอยู่ด้วย จึงเอ่ยทักทาย
หลินเซี่ยหัวเราะพลางพูดว่า “ฉันไม่กินขาหมูแล้วล่ะ”
“ทำไมไม่กินล่ะ? ขาหมูไม่มีความผิด แค่เธอโชคไม่ดีเมื่อก่อน ไม่เกี่ยวกับการกินขาหมูสักหน่อย ของพวกนี้อร่อยจริงๆ นะ ฉันซื้อมาเพิ่มอีกสองชิ้น เดี๋ยวกลับบ้านจะอุ่นกิน”
“พวกพี่มีอะไรต้องขอบคุณฉันหรือ?” หลินเซี่ยมองดูของกองนั้นแล้วหันไปยิ้มให้ หลินจินซาน “ถึงกับทุ่มทุนขนาดนี้เลยเหรอ?”
หลินจินซานหัวเราะอย่างสดใส “เธอส่งพี่สะใภ้ไปอบรมที่เซี่ยงไฮ้แล้ว ฉันซื้อของมาให้เธอหน่อยจะเป็นไรไป?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
สลดเลยสิเจียซิ่ง เจอฝีปากพี่สะใภ้เข้าไป แถมมีตัวเปรียบเทียบอย่างคู่ของจินซานกับชุนฟางด้วย
ไหหม่า(海馬)