ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 914 ผู้อาวุโสเข้ามาแทรกแซง
ตอนที่ 914 ผู้อาวุโสเข้ามาแทรกแซง
“แม่คะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะค่ะ” หลินเซี่ยมองโจวลี่หรงแล้วพูดว่า “ฉันตั้งใจว่าจะรอให้เฉินเจียเหอกลับมาก่อนแล้วค่อยบอกพวกคุณ แต่เมื่อคุณถามแล้ว ฉันก็เลยจะคุยกับคุณสักหน่อย”
“พี่ชายฉันและคนอื่นๆ ไม่ได้พูดถึงเจียซิ่งในแง่ลบหรอกค่ะ พวกเขาแค่โกรธแทนหงเสียที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม”
หลินเซี่ยเล่าให้โจวลี่หรงฟังถึงแผนการที่จะส่งหยางหงเสียและชุนฟางไปฝึกอบรม
แน่นอนว่าเธอก็เล่าถึงท่าทีของเฉินเจียซิ่งที่มีต่อเรื่องนี้ด้วย
“แม่คะ คิดว่าความคิดของฉันเป็นยังไงบ้าง?” หลินเซี่ยพูดจบแล้วมองโจวลี่หรง อยากฟังความเห็นของหล่อน
โจวลี่หรงได้ยินข่าวนี้แล้วดวงตาก็เป็นประกายด้วยความยินดี เธอพูดอย่างดีใจว่า “เซี่ยเซี่ย นี่มันเรื่องดีเลยนะเนี่ย”
การได้ไปฝึกอบรมที่เซี่ยงไฮ้นั้นเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนาแต่ไม่มีโอกาส
เมื่อกลับมาจากการฝึกอบรม ไม่ต้องพูดถึงทักษะการแต่งหน้าของพวกเธอเลย แค่สถานะทางสังคมก็สูงขึ้นมากแล้ว
ก่อนหน้านี้ในสายตาคนนอก พวกเธออาจเป็นแค่ช่างแต่งหน้าธรรมดาที่เปิดร้านทำธุรกิจ แต่เมื่อได้ใบรับรองการฝึกอบรมจากสถาบันที่มีชื่อเสียงในเซี่ยงไฮ้ พวกเธอก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นครูในวงการนี้อย่างแท้จริง
โจวลี่หรงในฐานะที่เคยเป็นผู้หญิงทำงาน พอได้ยินข่าวแบบนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก
หล่อนแค่ไม่ทันช่วงเวลาที่ดี หากหล่อนอายุน้อยกว่านี้สักสิบปี ก็จะเริ่มเรียนใหม่ตั้งแต่ต้นเพื่อทำงานกับหลินเซี่ย
แน่นอนว่าหล่อนก็ไม่ลืมคำสัญญาของหลินเซี่ยที่บอกว่าจะจัดหางานให้หล่อนหลังจากสร้างโรงเรียนเสร็จ
พูดตามตรงแล้ว หล่อนตั้งตารออย่างมาก
หลินเซี่ยพูดต่อว่า “น้องรองไม่เห็นด้วยที่หงเสียจะไป แถมยังล้างสมองหงเสียว่าอยู่เฝ้าร้านให้ฉันเพื่อแบ่งเบาภาระงานให้ฉันดีกว่า เขาคิดอะไรในใจ พวกเราทุกคนต่างก็เห็นชัดเจน”
“ทำไมเจียซิ่งถึงเป็นแบบนี้นะ” โจวลี่หรงขมวดคิ้วหลังจากได้ฟังหลินเซี่ยเล่ารายละเอียด “เขาถึงกับขัดขวางไม่ให้หงเสียออกไปเรียนรู้ แบบนี้มันเกินไปแล้ว”
“ตัวเองไม่มีความมุ่งมั่นแล้วยังไม่ให้คนอื่นพัฒนาอีก”
โจวลี่หรงครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเรื่องนี้บางทีพวกเขาในฐานะผู้ปกครองอาจต้องออกหน้าตักเตือนเฉินเจียซิ่ง ถ้าปล่อยให้เฉินเจียซิ่งทำตามนิสัยตัวเอง แน่นอนว่าต้องพัง
“เรื่องนี้ฉันจะคุยกับเขาทีหลัง ถ้าเขาขัดขวางหงเสียจริงๆ เหมือนที่จินซานพูด ต่อไปหงเสียจะต้องมีปมในใจแน่นอน สามีภรรยาทั้งสองคนนานไปก็จะมีช่องว่างระหว่างกัน”
ลูกชายโง่เง่าของหล่อนคนนั้น คิดว่าตัวเองผูกมัดหยางหงเสียไว้ได้แล้ว เขาก็จะรู้สึกปลอดภัย
แต่เขากลับมองข้ามจุดหนึ่งไป นั่นคือหยางหงเสียเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
ต่อให้ครั้งนี้หล่อนถูกเขาขัดขวางไว้ได้ แล้วต่อไปล่ะ?
เมื่อหยางหงเสียมองดูเพื่อนพี่น้องรอบข้างกลับมาจากการศึกษาต่อ กลายเป็นคนที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ตัวเองยังคงย่ำอยู่กับที่ หล่อนจะคิดอย่างไร?
หล่อนจะมองเฉินเจียซิ่งอย่างไร?
สักวันหนึ่งหยางหงเสียก็จะมองเห็นการกระทำเห็นแก่ตัวของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เห็นโจวลี่หรงตั้งใจจะเข้าไปแทรกแซง หลินเซี่ยก็เห็นด้วย “แม่ คุยกับเขาสักหน่อยก็ดีนะคะ หงเสียกับฉันเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กัน พวกเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แล้วหล่อนก็ขยันและจริงจังกับการทำงาน ฉันถึงอยากเลื่อนตำแหน่งให้หล่อน ให้พวกหล่อนทุกคนได้เรียนรู้ทักษะที่ก้าวหน้ากว่าเดิมกลับมา”
“ถ้าย่ำอยู่กับที่ตลอดเวลา ต่อให้ในภายหน้าอยากใช้งานพวกหล่อน แต่พวกหล่อนกลับไม่มีความสามารถ ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้”
การที่ญาติพี่น้องช่วยเหลือกันก็เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่มีเงื่อนไขว่าอีกฝ่ายต้องมีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่มอบให้
“เซี่ยเซี่ย ที่เธอยินดีช่วยเหลือพวกหล่อนแบบนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ฉันดีใจมากที่เธอใจกว้างขนาดนี้ ในบรรดาพวกเธอ เธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด แต่กลับเป็นคนที่มีวุฒิภาวะและมีความสามารถมากที่สุด พวกหล่อนควรจะรู้สึกขอบคุณเธอถึงจะถูก”
หลังจากผ่านเหตุการณ์มากมายเช่นนี้ โจวลี่หรงก็รู้สึกชื่นชมและยอมรับความสามารถและการกระทำของหลินเซี่ยอย่างจริงใจจากก้นบึ้งของหัวใจ
“เจียซิ่งเองก็ค่อนข้างขาดความสามารถในการทำงาน แต่ผู้ชายมักรักศักดิ์ศรีหน้าตา ตอนที่เขาเริ่มคบกับหงเสีย สถานะของหงเสียอาจด้อยกว่าเขาเล็กน้อย แต่ตอนนี้หงเสียก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้เจียซิ่งรู้สึกเสียหน้าและไม่มั่นคง ทั้งไม่สมดุลและขาดความมั่นใจ”
โจวลี่หรงในฐานะแม่เข้าใจลูกชายของตัวเองดีที่สุด หล่อนรู้ว่าเฉินเจียซิ่งกำลังกังวลเรื่องอะไร
แต่สังคมกำลังพัฒนา คนก็ควรก้าวหน้าด้วย หยางหงเสียเป็นคนขยันและซื่อสัตย์อยู่แล้ว การเรียนแต่งหน้ากับหลินเซี่ยก็เป็นความคิดของเฉินเจียซิ่งเอง แต่ตอนนี้เขากลับมาขัดขวางความก้าวหน้าของหล่อน พฤติกรรมแบบนี้ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน
การเป็นผู้ชายที่คับแคบ ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่เพียงแต่น่าผิดหวัง แต่ยังน่ารำคาญอีกด้วย
โจวลี่หรงได้ยินหลินเซี่ยบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะลงทะเบียนให้พวกหล่อนอย่างเป็นทางการ ก็รู้สึกนั่งไม่ติดที่
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ยังไม่ได้กินข้าวเพราะรอเฉินเจียเหอ โจวลี่หรงบอกว่าหลายเรื่องพูดทางโทรศัพท์ไม่ชัดเจน ต้องคุยกันต่อหน้า
หล่อนตั้งใจจะไปที่บ้านของเฉินเจียซิ่งตอนนี้ แต่หลังจากคิดไปคิดมาก็ตัดสินใจที่จะเรียกเขาออกมาคุยกันตามลำพัง
หล่อนพูดว่า
“งั้นเดี๋ยวฉันจะโทรหาเจียซิ่ง ให้เขากลับมาที่ชุมชนบ้านพักทหารสักหน่อย ฉันจะคุยกับพ่อของเธอ ปู่ย่าของเธอ และทุกคนเพื่อตักเตือนเขา เขาจะเข้าใจเอง”
โจวลี่หรงส่งเพจเจอร์ไปหาเฉินเจียซิ่ง
“ที่บ้านเก่ามีเรื่องด่วน รีบกลับมาด้วย”
หลังจากส่งเพจเจอร์ โจวลี่หรงกำลังจะไป แต่ถูกหลินเซี่ยขวางไว้ “แม่คะ พวกเรารีบทำอาหารกันเถอะ แม่กินเสร็จค่อยกลับ เขาต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะมาถึงชุมชนบ้านพักทหารจากบ้าน”
“ฉันกลับไปกินที่บ้านดีกว่า”
หลินเซี่ยยังคงรั้งหล่อนไว้ “กินที่นี่เถอะ ให้เด็กๆ เล่นไป เราสองคนทำราดหน้าก็เสร็จเร็วอยู่ค่ะ”
หลินเซี่ยยืนกรานให้โจวลี่หรงกินข้าวให้เสร็จก่อนกลับ
ตอนนี้กลับไปบ้านก็คงไม่มีอาหารแล้ว
อีกอย่าง ให้เฉินเจียซิ่งรออีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
มีลูกชายที่ไม่รู้จักคิด เหมือนติดหนี้ตั้งแต่ชาติปางก่อนจริงๆ
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนั้น อีกอย่าง เฉินเจียซิ่งคนนั้นเคยชินกับความเรื่อยเฉื่อย คงไม่มาถึงชุมชนบ้านพักทหารเร็วขนาดนั้นหรอก
เสี่ยวหู่ถูกอุ้มเข้าไปในรถเข็นเด็ก เธอแช่บิสกิตเล็กๆ วางไว้บนถาดรถเข็นให้เขากินพร้อมกับพวกเขาด้วย ไม่เช่นนั้นเขาจะงอแงจนทนไม่ไหว
หลินเซี่ยเก็บอาหารของเฉินเจียเหอไว้ในหม้อเล็ก จากนั้นนั่งลงกินข้าวกับโจวลี่หรง
โจวลี่หรงเร่งรีบกินอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็จัดการราดหน้าเสร็จไปชามหนึ่ง หลังจากกินเสร็จ หล่อนลุกขึ้นยิ้มให้หลานชายทั้งสองคนพลางกำชับว่า “หู่จือ เสี่ยวหู่ คืนนี้ย่ามีธุระต้องกลับบ้านก่อน พรุ่งนี้เช้าจะมาอีกนะ”
หู่จือถามอย่างเอาใจใส่ “ย่า กลัวไหมครับที่ต้องกลับคนเดียว? อยากให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?”
“ไม่ต้องหรอก เธอกินข้าวให้เรียบร้อย กินเสร็จแล้วไปทำการบ้าน อย่าทำให้แม่โกรธล่ะ”
หลินเซี่ยส่งโจวลี่หรงถึงหน้าประตูบ้าน พอดีกับที่เฉินเจียเหอเลิกงานกลับมาด้วยร่างกายที่อ่อนล้า
เมื่อได้ยินว่าแม่ของเขาจะกลับบ้านดึกและดูเร่งรีบ เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “มีอะไรเกิดขึ้นที่บ้านหรือเปล่า? ปู่ย่าไม่สบายหรือครับ?”
โจวลี่หรงไม่หยุดเดิน “ไม่มีอะไรหรอก พวกเขาสบายดี ฉันไปก่อนนะ ลูกรีบเข้าไปกินข้าวเถอะ แล้วค่อยให้เซี่ยเซี่ยเล่าให้ฟัง”
ขณะพูด โจวลี่หรงก็ลงบันไดไปแล้ว
เฉินเจียเหอมองหลินเซี่ยอย่างสงสัย ใช้สายตาถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น
ลูกชายทั้งสองคนเห็นเฉินเจียเหอกลับมาต่างก็ดีใจมาก เรียกพ่อกันยกใหญ่ เสี่ยวหู่ที่กำลังเล่นของเล่นอยู่ เห็นเฉินเจียเหอก็โบกมือน้อยๆ อยากให้อุ้ม
“เดี๋ยวนะ พ่อต้องไปล้างมือก่อน”
เฉินเจียเหอล้างมือเสร็จก็ออกมาอุ้มลูกชาย แล้วถามหู่จือว่ากินข้าวหรือยัง
“พ่อครับ พวกเรากินแล้ว ตอนนี้ผมจะไปทำการบ้านแล้ว”
เฉินเจียเหอตอบรับ “เดินเล่นในบ้านสักสองรอบก่อนทำการบ้านนะ กินข้าวเสร็จต้องย่อยอาหารหน่อย”
ปกติถ้ามีเวลา ทั้งครอบครัวจะลงไปเดินเล่นข้างล่าง แต่วันนี้อากาศหนาวและมืดแล้ว ไม่กล้าอุ้มเด็กออกไปข้างนอก ได้แต่เดินในบ้าน
“ทำไมแม่รีบกลับจัง” เฉินเจียเหออุ้มลูกชายถามหลินเซี่ยที่ยกชามราดหน้ามาให้เขา
“เรื่องของเฉินเจียซิ่งน่ะสิ” หลินเซี่ยพูดอย่างรังเกียจ “เมื่อคืนฉันพูดอะไรกับคุณไว้นะ? เขาต้องคัดค้านการไปอบรมของหงเสียแน่ๆ แล้วฉันก็ทายถูกจริงๆ ด้วย”
เฉินเจียเหอได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เขาก็รู้สึกเหนื่อยใจอย่างมาก
เมื่อคืนตอนที่หลินเซี่ยพูดถึงเรื่องการอบรม เขายังมองทัศนคติของเฉินเจียซิ่งในแง่ดีอยู่ คิดว่าเขาคงไม่ต่ำช้าถึงขนาดคัดค้านเรื่องดีๆ อย่างการที่ภรรยาจะออกไปเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินเฉินเจียซิ่งไว้สูงเกินไป
“ไม่ต้องสนใจหรอก ในเมื่อแม่เรียกเจียซิ่งไปที่บ้านหลังเก่าแล้ว ผู้ใหญ่คงจะตำหนิและสั่งสอนเขาเป็นอย่างดีแน่นอน”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขนาดแม่ยังสนับสนุนลูกสะใภ้ แล้วแกที่เป็นสามีเขาแท้ๆ ทำไมถึงไม่สนับสนุนเขาละเจียซิ่ง
รอดูเจียซิ่งโดนผู้ใหญ่บ่นหูชาเลย
ไหหม่า(海馬)