ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 917 การเปลี่ยนแปลงของเฉินเจียซิ่ง
ตอนที่ 917 การเปลี่ยนแปลงของเฉินเจียซิ่ง
หยางหงเสียหันหลังให้เฉินเจียซิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น เฉินเจียซิ่งเผชิญหน้ากับปฏิกิริยาของภรรยาแบบนี้ ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ เขาพยายามเมินเฉยต่ออารมณ์ของหยางหงเสีย แต่รู้ว่าตั้งแต่หยางหงเสียได้พบกับหลินจินซานและชุนฟางตอนบ่าย อารมณ์ของหล่อนก็จมดิ่งอยู่ตลอด
เฉินเจียซิ่งนั่งลงที่ขอบเตียง เขายื่นมือไปลูบภรรยา พลางหัวเราะเบาๆ พูดว่า “โอ้ เพิ่งแค่สองทุ่มกว่าๆ เอง จะนอนอะไรกัน? คุณไม่ลุกขึ้นมาจัดการกับหัวหุ่นของคุณหรอกเหรอ?”
หยางหงเสียยังคงหันหลังให้เขา คราวนี้แม้แต่การตอบสนองก็ไม่มี
“ที่รัก ลุกขึ้นมานั่งก่อนได้ไหม? เรามาคุยกันดีๆ หน่อยนะ” เฉินเจียซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มีอะไรก็พูดมา”
หยางหงเสียตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น
เฉินเจียซิ่งจึงขึ้นไปบนเตียง นอนลงข้างๆ หล่อน
พอเฉินเจียซิ่งพูดออกมาแบบนั้น เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างกายของหยางหงเสีย แข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย
“ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณอยากไปอบรมมาก ก่อนหน้านี้ผมคิดไม่รอบคอบ ผมเห็นแก่ตัวเองที่อยากให้คุณอยู่กับผม”
น้ำเสียงของเฉินเจียซิ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“คุณใจดีเสมอ คอยห่วงใยความรู้สึกของผมตลอด ผมบอกไม่ให้คุณไปคุณก็ไม่ไปจริงๆ พอเทียบกันแล้ว ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเลวร้ายและเห็นแก่ตัวมาก ผมมีบุญคุณอะไรถึงได้แต่งงานกับภรรยาที่ใจดีอย่างคุณ”
“ผมคิดดูดีๆ แล้ว ตัดสินใจว่าจะสนับสนุนให้คุณไปอบรมที่เซี่ยงไฮ้กับชุนฟางและคนอื่นๆ อย่างที่คุณบอก นี่เป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่หายากมาก ถึงแม้ว่าในอนาคตคุณจะไม่ได้เป็นครู แต่การได้ไปอบรมครั้งนี้ก็จะช่วยยกระดับการทำงานของคุณในอนาคตได้มาก
พี่สะใภ้บอกว่าต่อไปร้านของพวกคุณจะต้องแขวนใบรับรองคุณสมบัติช่างแต่งหน้า ถ้าคุณไม่ไป ต่อให้จะมีทักษะการแต่งหน้าที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ บางคนอาจจะไม่ยอมรับ และในอนาคตก็จะไม่มีโอกาสก้าวหน้า”
เฉินเจียซิ่งพูดหลายอย่างด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ในที่สุดหยางหงเสียก็มีปฏิกิริยา หล่อนค่อยๆ หันหน้ามาทางเขา มองเขาและถามเพื่อความแน่ใจว่า “คุณพูดจริงๆ เหรอ?”
หล่อนประหลาดใจมากที่เฉินเจียซิ่งมีการเปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้
“แน่นอนว่าผมจริงจัง ผมคิดทบทวนแล้ว”
“ก่อนหน้านี้ที่ผมบอกให้คุณอยู่ต่อเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพี่สะใภ้ก็เป็นคำพูดจากใจจริง ผมกลัวจริงๆ ว่าถ้าพวกคุณไปกันหมด ร้านเช่าชุดแต่งงานจะไม่มีคนดูแล แล้วจะซบเซา ถ้าเป็นแบบนั้นงานของผมก็จะได้รับผลกระทบด้วย แต่เมื่อพี่สะใภ้บอกว่าหล่อนจะรับผิดชอบเอง พวกเราก็ไม่ต้องกังวลแล้ว คุณไปเถอะ”
เฉินเจียซิ่งพูดจบ น้ำเสียงยังคงฟังดูลำบากใจมาก มีแต่ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ว่าตลอดทางมานี้เขาต่อสู้กับความคิดของตัวเองอย่างไร
การเป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจนั้นยากจริงๆ อันดับแรกต้องทนรับแรงกดดันทางจิตใจอย่างมาก
ยังต้องเตรียมใจรับความเสี่ยงด้วย
สิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ก็เป็นความจริง ถ้าหยางหงเสียกับพวกหลินเยี่ยนไปกันหมด หากไม่มีใครดูแลธุรกิจของร้านเช่าชุดแต่งงานแล้วธุรกิจซบเซา งานช่างภาพพาร์ทไทม์ของเขาก็คงต้องเสียไปด้วย
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขากลัวจริงๆ ว่าจะสูญเสียทั้งคนและเงิน
“ทำไมฉันฟังน้ำเสียงของคุณแล้วรู้สึกเหมือนมีใครเอามีดจ่อคอ บังคับให้คุณพูดอย่างนี้”
หยางหงเสียจ้องมองเขาแล้วถามว่า “คุณกลับไปที่ชุมชนบ้านพักทหารแล้วโดนพ่อแม่ด่าใช่ไหมถึงตัดสินใจแบบนี้?”
เมื่อสบตากับหยางหงเสีย เฉินเจียซิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงหลบสายตาไป
คู่สามีภรรยาอยู่ด้วยกันมานาน จริงๆ แล้วไม่มีอะไรที่จะหนีพ้นสายตาของอีกฝ่ายได้เลย
เขากระแอมเบาๆ แล้วอธิบายว่า
“จริงๆ แล้วก็เป็นเพราะผมคิดได้เองด้วย พวกเขาแค่แสดงความคิดเห็นของตัวเอง แน่นอนว่าพวกเขาก็สนับสนุนคุณมากเช่นกัน”
เฉินเจียซิ่งยิ้มพลางพูดกับหล่อนว่า “พอคุณปู่คุณย่าและพ่อแม่ทราบว่าคุณจะไปศึกษาต่อ พวกเขาต่างก็ดีใจมาก ผู้ใหญ่น่ะย่อมหวังให้พวกเราคนหนุ่มสาวมีความกระตือรือร้นที่จะก้าวหน้า ถือโอกาสตอนยังหนุ่มสาวเรียนรู้ให้มาก”
เมื่อเทียบกับวิสัยทัศน์และสายตาของผู้ใหญ่แล้ว เขารู้สึกละอายใจจริงๆ
แต่ถ้ามองจากมุมมองของตัวเขาเอง เขาก็รู้สึกว่าความกังวลของตนก็ไม่ได้ไร้เหตุผล
หยางหงเสียมองเขาอย่างจริงจังแล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจียซิ่ง ความคิดเห็นของคนอื่นฉันไม่ค่อยสนใจหรอก ฉันแค่อยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกันแน่? ทำไมคุณถึงไม่อยากให้ฉันไปศึกษาต่อ? ฉันคิดถึงเรื่องนี้ทั้งบ่าย คุณกังวลอะไรกันแน่?”
เป็นไปตามที่หล่อนวิเคราะห์และตัดสินใจกรือไม่…
“คุณถามว่าผมมีความกังวลอะไรงั้นเหรอ?” เฉินเจียซิ่งมองหล่อนด้วยสายตาน่าสงสาร พูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “คุณไม่รู้หรอกหรือว่าผมกังวลอะไร? ผมกลัวว่าเมื่อคุณไปเมืองใหญ่ คุณจะได้พบคนที่เก่งกว่า จะกลายเป็นผู้หญิงเก่ง ผมเลยกลัวว่าในอนาคตคุณจะดูถูกผม รู้สึกว่าผมไม่คู่ควรกับคุณ ช่องว่างระหว่างพวกเราจะยิ่งห่างกันมากขึ้น และความขัดแย้งก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ”
เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา “มันก็เป็นความทะนงตัวบ้าๆ ของผมที่กำลังทำร้ายตัวเอง ผมกลัวว่าในอนาคตคุณจะเก่งกว่าผม ทำให้ผมเสียหน้า ตอนนี้คุณก็เก่งกว่าผมอยู่แล้ว ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนกินแรงเมีย ต่อไปเมื่อคุณเรียนจบกลับมาแล้วยังจะไปเป็นอาจารย์ที่โรงเรียน ช่องว่างระหว่างพวกเราก็จะยิ่งห่างกันมากขึ้น คนอื่นๆ ก็จะต้องนินทาแน่ๆ
ถึงตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะทนอยู่ต่อไปได้อย่างไร คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนแบบไหน ตัวเองไม่มีความสามารถอะไรมาก แต่ก็ยังรักหน้ารักตา”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณจะคิดแบบนี้ คุณไม่รู้หรอกหรือว่าฉัน หยางหงเสีย เป็นคนแบบไหน?”
หยางหงเสียลุกขึ้นยืน มองตาเฉินเจียซิ่งอย่างมุ่งมั่น “พวกเราสองคนรักกันด้วยความสมัครใจ ฉันแต่งงานกับคุณเพราะฉันชอบคุณ อีกอย่างฉันก็รู้ดีว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหน โอกาสในการเรียนและงานนี้ฉันก็ได้มาเพราะคุณ ถ้าไม่มีคุณ ฉันก็ไม่ใช่อะไรเลย ฉันจะไปเรียนแค่ไม่กี่เดือนแล้วมาดูถูกคุณได้ยังไง? ฉันไม่ได้ตื้นเขินขนาดนั้น ฉันคิดว่าที่คุณคิดแบบนี้กับฉันมันเหมือนเป็นการดูถูกฉันนะ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ คุณอย่าคิดมาก ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการดูถูกหรอก ผมแค่ไม่มั่นใจ คุณรู้ไหม?”
เฉินเจียซิ่งถอนหายใจหนักๆ “ช่วงหลายปีก่อน ผมใช้ชีวิตไปวันๆ เร่ร่อนอยู่ข้างนอก ไม่รู้สึกว่ามีความกดดันอะไรเลย ทำงานไม่ได้ก็ลาออก ไม่มีเงินก็ขอจากที่บ้าน อาศัยว่าตัวเองมาจากชุมชนบ้านพักทหาร ออกไปข้างนอกเพื่อนๆ ก็ยังให้เกียรติผมอยู่บ้าง ผมก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเก่งมาก
ตั้งแต่ทุกคนแต่งงานมีครอบครัว ทุกคนก็เริ่มพยายามมุ่งหน้าไปข้างหน้าสุดกำลัง ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองล้าหลังไปมากแค่ไหน”
ในช่วงหลายปีนั้น ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังพยายามอย่างจริงจังและมุ่งมั่น มีเพียงเขาคนเดียวที่ใช้ชีวิตไปวันๆ
นอกจากนี้ เขายังผ่านชีวิตสมรสที่ล้มเหลวมาแล้ว ทำให้เขาบอบช้ำอย่างหนัก
จิตใจที่ถูกทำร้ายก็พังทลายลง
ตอนนี้ทุกคนต่างประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ มีแต่เขาคนเดียวที่มีพื้นฐานอ่อนแอ อยากจะพยายามอย่างเต็มกำลังแต่ก็คลำหาทิศทางไม่เจอ
เขารู้สึกต่ำต้อยจริงๆ
หยางหงเสียมองดูเฉินเจียซิ่งที่มีสีหน้าหม่นหมองและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกด้อยค่า หล่อนก็พูดอย่างจริงจังว่า
“อย่าไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่เลย พวกเราเทียบกับพวกเขาไม่ได้หรอก ไม่มีใครเปรียบเทียบกับพวกเขาได้ พวกเราแค่ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างสงบและซื่อสัตย์ก็พอแล้ว”
มีผู้ชายกี่คนที่สามารถเป็นวิศวกรพัฒนารถไฟได้เหมือนเฉินเจียเหอ?
แล้วมีผู้หญิงกี่คนที่กล้าลุยกล้าทำเหมือนหลินเซี่ย?
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีความสามารถและทักษะที่เหนือกว่า มีหัวทางธุรกิจ และยังมีครอบครัวที่เป็นรากฐานอันแข็งแกร่ง
เฉินเจียซิ่งถอนหายใจ “พูดแบบนั้นก็ถูก ผมก็อยากจะมุ่งมั่นกับชีวิตเล็กๆ ของตัวเอง แต่นี่คุณก็กำลังจะจากไปไม่ใช่เหรอ? ผมกลัวจริงๆ ว่าคุณจะบินจากไป”
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกหดหู่ใจ
ไม่รู้ว่าถ้าตัวเองพยายามโน้มน้าวให้ครอบครัวยินยอมให้หยางหงเสียไปศึกษาต่อ แล้วจะได้ผลลัพธ์อย่างไร
เฉินเจียซิ่งโบกมือ “โอ๊ย ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ ผมคงจะอ่อนไหวไปหน่อย เราไม่พูดถึงมันแล้วกัน พรุ่งนี้เช้าไปหาพี่สะใภ้ใหญ่ให้ลงทะเบียนให้คุณนะ”
ความหม่นหมองในดวงตาของเขาไม่อาจหลุดรอดสายตาของหยางหงเสียไปได้
หยางหงเสียพูดว่า “พรุ่งนี้เช้าคุณก็ไปทำงานของคุณตามปกติ เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวลแล้ว ฉันจะไปคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่เอง”
“ได้ ต่อไปผมก็จะพยายามอย่างเต็มที่ ขอให้ตามทันฝีเท้าของคุณให้ได้”
เฉินเจียซิ่งปิดไฟ แล้วกอดหล่อนเข้านอน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจียซิ่งไม่ต้องไปเทียบกับใคร พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นและอย่าเพิ่งถอดใจก็พอ
ไหหม่า(海馬)