ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 922 "กระดาษขาว"สองแผ่น
ตอนที่ 922 “กระดาษขาว”สองแผ่น
หลินเซี่ยมองเฉินเจียซิ่งด้วยสีหน้าระแวดระวัง แล้วถามว่า “นายคิดจะทำอะไร? อย่ามาสร้างปัญหาให้ฉันนะ”
“พี่สะใภ้ ผมแค่อยากถามว่าในเซี่ยงไฮ้มีคอร์สอบรมการถ่ายภาพไหมครับ? ผมก็อยากไปอบรมเพื่อสอบใบรับรอง จะได้หางานได้ง่ายขึ้นในอนาคต”
เฉินเจียซิ่งรู้ตัวว่าพูดความในใจออกไปแล้ว เขาจึงกะพริบตาเล็กน้อยแล้วรีบแก้ตัว “เอ่อ ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงว่า ผมอยากเรียนรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะได้ทำงานในร้านของเราอย่างมีใบรับรอง จะได้มีอะไรชี้แจงกับลูกค้าได้”
เฉินเจียซิ่งพูดถึงตรงนี้ แล้วมองหลินเซี่ยด้วยสายตาประจบเอาใจต่อ ยกย่องเธอว่า “ถ้าโรงเรียนของคุณมีสาขาที่เกี่ยวข้องในอนาคต ผมก็อาจจะเข้าไปเป็นครูได้ สรุปคือ ผมแค่อยากพัฒนาตัวเอง หวังว่าพี่สะใภ้จะช่วยสนับสนุนผมด้วยนะครับ”
เฉินเจียซิ่งแสดงท่าทีถ่อมตัว ทำตัวเหมือนคนหนุ่มที่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเองจริงๆ โจวลี่หรงกับหยางหงเสียได้ยินคำพูดของเฉินเจียซิ่งแล้ว ก็มองไปที่หลินเซี่ยด้วยความคาดหวัง
ถ้าหลินเซี่ยมีช่องทาง พวกหล่อนก็หวังว่าเฉินเจียซิ่งจะได้ออกไปเรียนรู้และประสบความสำเร็จ
“ขอโทษนะ เรื่องนี้ฉันยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้ามีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง ไว้ฉันค่อยมาบอก”
เฉินเจียซิ่งรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างกับคำตอบของหลินเซี่ย
“ครับ พี่สะใภ้ใหญ่ ขออภัยที่รบกวนครับ”
วันนี้เฉินเจียซิ่งมีท่าทีต่อหลินเซี่ยค่อนข้างสุภาพดี
พวกเขารู้สึกโชคดีที่เจ้านายเป็นคนกันเอง ถ้าเป็นคนอื่น โควตานี้คงหมดไปนานแล้ว
“งั้นพวกเราไปก่อนนะ”
เฉินเจียซิ่งกลับไปทำงานที่หน่วยงาน หยางหงเสียก็กลับที่ทำงานตัวเอง
“แม่ คุณช่วยดูแลเสี่ยวหู่หน่อยนะคะ ฉันจะไปเตรียมเอกสารของพวกเขา ส่งไปให้ทางเซี่ยงไฮ้”
โจวลี่หรงยิ้มพลางตอบรับ “ได้ เธอไปทำธุระของเธอเถอะ เด็กกำลังนอนอยู่ ฉันจะช่วยซักผ้าให้พวกเธอ บ่ายนี้พอเขาตื่น ฉันจะพาไปที่ชุมชนบ้านพักทหาร ปู่ย่าของเธอไม่ได้เจอหลานสักวันก็คงคิดถึงแย่”
หลินเซี่ยรู้สึกซาบซึ้งมากที่แม่สามีเอาใจใส่เธอเช่นนี้
เธอพูดว่า “แม่ ไม่ต้องซักผ้าหรอกค่ะ แค่ดูแลเด็กก็เหนื่อยพอแล้ว”
“ไม่เหนื่อยหรอก”
“ตอนนี้ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว พวกเธอแค่รอไปเซี่ยงไฮ้ตอนสิ้นเดือนก็พอ”
สำหรับการเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ที่กำลังจะมาถึง หลินเยี่ยนและหยางหงเสียต่างเต็มไปด้วยความคาดหวังและความใฝ่ฝัน
ช่วงบ่ายที่ร้านไม่มีลูกค้า ทั้งสองคนอารมณ์ดีจึงอยู่ไม่นิ่ง ทำความสะอาดทั้งในและนอกร้านหนึ่งรอบ แล้วก็สอนลูกมือผู้หญิงเรียนรู้การแต่งหน้า
พวกเขากำลังจะไปสู่เวทีที่ใหญ่กว่า ดังนั้นก่อนจะไปต้องฝึกฝนคนใหม่ในร้านให้ดี เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถรับมือกับสถานการณ์สำคัญได้ด้วยตัวเอง
หลินเซี่ยยังมีธุระของตัวเองที่ต้องยุ่ง เธอเป็นเจ้าของร้าน ต้องรับผิดชอบในการวางแผนกลยุทธ์ งานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ให้คนใต้บังคับบัญชาของเธอทำให้ดีก็พอ
ตอนบ่าย ขณะที่หยางหงเสียและหลินเยี่ยนกำลังปิดร้านเลิกงาน ก็เห็นร่างหนึ่งกำลังเดินวนเวียนอยู่หน้าร้าน
หยางหงเสียเดินนำหน้า เมื่อเห็นชัดว่าคนที่มาเป็นใคร ก็มีรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งบนใบหน้า มองไปที่หญิงสาวที่กำลังล็อคประตู
“เสี่ยวเยี่ยน ฉันไปก่อนนะ”
หลินเยี่ยนล็อคประตูเสร็จ กำลังจะตอบรับ พอหันหลังกลับมาก็เห็นหยางหงเสียกำลังทักทายชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ริมถนน
“ไว้เจอกัน”
หยางหงเสียหันกลับไปมองหลินเยี่ยนอีกครั้ง ส่งสายตายิ้มๆ มาให้หล่อน โบกมือลา แล้วก็ไปขึ้นรถประจำทาง
“ทำไมคุณถึงมาที่นี่?” หลินเยี่ยนล็อคประตูให้เรียบร้อย เดินลงบันได มองไปทางชายคนนั้นที่กำลังเดินมาหาหล่อนเช่นกัน
ลู่เจิ้งอวี่สวมชุดสูทและเสื้อเชิ้ต คงเพิ่งมาจากห้องเต้นรำ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเหนื่อยล้ามาก สายตาที่มองหลินเยี่ยนเจือไปด้วยความน้อยใจและเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“เสี่ยวเยี่ยน ไปกินข้าวกันเถอะ” ลู่เจิ้งอวี่เดินเข้ามา ยื่นมือไปรับกระเป๋าจากมือหล่อนอย่างเป็นธรรมชาติ
“ได้เลย ฉันเลี้ยงเอง พอดีมีเรื่องอยากคุยกับคุณหน่อย”
หลินเยี่ยนเดินเคียงข้างลู่เจิ้งอวี่อย่างมั่นใจและสง่างาม พวกเขาไปที่ร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่ง
ทั้งสองสั่งอาหารแล้วนั่งดื่มน้ำรอ ลู่เจิ้งอวี่ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาจ้องมองหลินเยี่ยนตลอด สีหน้าดูหนักอกหนักใจมาก
“คุณไม่ใช่มีเรื่องจะคุยกับผมหรอกหรือ?” ลู่เจิ้งอวี่มองหล่อนพลางถาม
หลินเยี่ยนพยักหน้า “ใช่ ฉันมีข่าวดีอยากจะบอกคุณ”
“คุณดีใจแทนฉันใช่ไหม?” หลินเยี่ยนถามพลางยิ้มมองหน้าลู่เจิ้งอวี่
มุมปากลู่เจิ้งอวี่แต้มรอยขมขื่น ยกแก้วน้ำขึ้นจิบเบาๆ “ดีใจสิ”
หลินเยี่ยนจับสังเกตเห็นความผิดหวังในดวงตาของเขาอย่างว่องไว “นี่คุณทำสีหน้าแบบไหนอยู่น่ะ? ฉันรู้สึกว่าคุณไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ที่ได้ยินข่าวนี้”
“ผมดีใจมาก” ลู่เจิ้งอวี่วางแก้วน้ำลง มองหน้าหล่อนแล้วพูดอย่างจริงจัง “แต่ก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย”
หลินเยี่ยน “????”
เมื่อเห็นสายตางุนงงของหลินเยี่ยน ลู่เจิ้งอวี่ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด
“เสี่ยวเยี่ยน พวกเราตอนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกัน?” เขารวบรวมความกล้า สบตากับดวงตาใสซื่อของหล่อนแล้วถาม
หลินเยี่ยนตอบ “เพื่อนไง”
ดวงตาอันบริสุทธิ์ของหล่อนมองลู่เจิ้งอวี่ แล้วถามอย่างจริงจัง “พวกเราไม่ได้ตกลงกันแล้วหรือว่าจะเป็นเพื่อนกันก่อน และให้ความสำคัญกับอาชีพการงานเป็นหลัก”
“ใช่ เราจะเป็นเพื่อนกันก่อน และให้ความสำคัญกับอาชีพการงาน แต่ว่า…” ลู่เจิ้งอวี่ มองเธอด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “แต่ว่าในแผนอนาคตของผมมีคุณอยู่ด้วย ผมพยายามทำงานหนักทุกวันก็เพื่อจะมีอนาคตที่สดใสกับคุณ”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็หม่นลง “แต่ดูเหมือนคุณจะไม่ได้คิดแบบนี้”
ใบหน้าเล็กๆ ของหลินเยี่ยนแดงก่ำทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของลู่เจิ้งอวี่ หล่อนก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
หัวใจของหล่อนเต้นรัวแรง
เขาบอกว่าอนาคตของเขามีหล่อนอยู่ด้วย
นอกจากหลินเยี่ยนจะรู้สึกเขินอายแล้ว ยังรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า
“ฉัน…” หล่อนเขินอายจนไม่รู้จะตอบคำพูดของเขาอย่างไร
บางคำพูด แม้ในใจจะเข้าใจดี แต่กลับพูดออกมาไม่ได้
ความลังเลของหล่อนทำให้สีหน้าของลู่เจิ้งอวี่ยิ่งหม่นลงกว่าเดิม
เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อลดระยะห่างกับหลินเยี่ยนลงเล็กน้อย ก้มหน้าลงพยายามสบตากับหล่อน
“เสี่ยวเยี่ยน ในเวลาเช่นนี้ ฉันหวังว่าเธอจะมองฉันตรงๆ และมองความสัมพันธ์ของเราอย่างจริงจัง”
“ฉันอยากถามเธอว่า ในแผนอนาคตของเธอ มีฉันอยู่ด้วยไหม?” ลู่เจิ้งอวี่ถามคำถามนี้ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเพราะความประหม่า
ตอนนี้ท่าทางของหล่อนแตกต่างจากช่างแต่งหน้าที่เก่งกาจในร้านอย่างสิ้นเชิง
ลู่เจิ้งอวี่รอคำตอบจากหล่อนไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าถามซ้ำ เขารู้ว่าหลินเยี่ยนเป็นมือใหม่ในเรื่องความรัก
แม้ตัวเขาจะอายุมากกว่าหลินเยี่ยนหลายปี แต่เขาก็เหมือนกับหล่อนตรงที่ไม่มีประสบการณ์ด้านความรักเลย
คนสองคนที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาเหมือน “กระดาษขาว” ได้อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้อย่างงุ่มง่ามและระมัดระวัง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้ยินข่าวว่าหลินเยี่ยนจะไปศึกษาต่อ บางทีเขาอาจจะไม่เลือกที่จะพูดความในใจออกมาในวันนี้
เขาจะให้เวลาหล่อนต่อไป
ในขณะที่ลู่เจิ้งอวี่นั่งตัวตรงด้วยความผิดหวัง ทันใดนั้นหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยปากเบาๆ ว่า “มี”
เสียงของหล่อนเบามาก และมีเพียงคำสั้นๆ คำเดียว แต่ก็ยังชัดเจนและแจ่มแจ้งในหูของลู่เจิ้งอวี่
“เสี่ยวเยี่ยน เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ” ลู่เจิ้งอวี่โน้มตัวเข้าใกล้หล่อนอีกครั้ง “เธอช่วยพูดซ้ำอีกครั้งได้ไหม ในแผนอนาคตของเธอมีฉันอยู่ด้วยไหม”
“ฉันบอกว่ามี นายไม่ได้ยินหรือไง” หลินเยี่ยนพูดอย่างหงุดหงิด แล้วรีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
ปฏิกิริยาของหล่อนในสายตาของลู่เจิ้งอวี่ช่างน่ารักเหลือเกิน
ความจริงแล้ว มือของเขาก็ยื่นออกไปโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายสติก็กลับคืนมา เขาหยุดตัวเองไว้ทันและดึง “กรงเล็บ” กลับมา
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่เคยจับมือกันอย่างเป็นทางการเลย เขากลัวว่าการกระทำที่กะทันหันของเขาจะทำให้หล่อนตกใจ
“แล้วทำไมเธอไม่บอกฉันเรื่องที่เธอจะไปศึกษาต่อที่เซี่ยงไฮ้ล่ะ” ลู่เจิ้งอวี่มองหล่อนด้วยสายตาน้อยใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ซานบอกฉันวันนี้ ฉันคงไม่รู้เลยว่าเธอจะไป”
หลินเยี่ยนพยายามสงบสติอารมณ์ ตอนนี้สีหน้าของหล่อนไม่ร้อนผ่าวเหมือนเมื่อกี้แล้ว หัวใจก็เต้นช้าลง เธออธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันตั้งใจว่าจะบอกนายหลังจากสมัครเรียนและทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันกลัวว่าถ้าบอกเร็วเกินไปแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคนจะผิดหวังเปล่าๆ”
หลินเยี่ยนพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองตาของลู่เจิ้งอวี่ แล้วถามคำถามที่สะกิดใจว่า “ถ้านายรู้เร็วกว่านี้ คงขัดขวางไม่ให้ฉันไปใช่ไหม?”
“ตอนแรกเฉินเจียซิ่งยังไม่ยอมให้พี่หงเสียไปเลย สุดท้ายต้องอาศัยทุกคนช่วยกันพูดให้เขาเข้าใจ เขาถึงยอมอย่างไม่เต็มใจ คุณจะไม่เข้าใจเหมือนเขาและขัดขวางไม่ให้ฉันไปใช่ไหม?”
เมื่อลู่เจิ้งอวี่ได้ยินคำพูดของหลินเยี่ยน เขาก็อึ้งไปสองสามวินาที จู่ๆ อารมณ์ก็พลันเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดี มุมปากค่อยๆ ยกยิ้มขึ้น ทั้งตัวจมดิ่งอยู่ในความรู้สึกตื่นเต้น
“นายเป็นอะไรไป? โง่ไปแล้วเหรอ?” หลินเยี่ยนมองเขาอย่างงงๆ แล้วเหลือบมองเขาอย่างกับเห็นผี “นายหัวเราะอะไร? ฉันพูดจริงนะ พี่เจียซิ่งคัดค้านจริงๆ ตอนแรก ฉันไม่ได้โกหกนาย”
“อืม ฉันรู้ว่าเธอไม่โกหก”
พอพนักงานเสิร์ฟอาหารมา ลู่เจิ้งอวี่ก็อารมณ์ดีมาก ลุกขึ้นรับอาหาร หลังจากแยกตะเกียบเรียบร้อยแล้วก็ส่งตะเกียบให้หลินเยี่ยน แล้วคีบอาหารให้อย่างเอาใจใส่
จู่ๆ ลู่เจิ้งอวี่ก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นท่าทีหรือน้ำเสียงที่พูดกับหลินเยี่ยน ก็ดูกล้าแสดงออกมากขึ้น
ลู่เจิ้งอวี่คีบอาหารให้หล่อน แถมยังพูดกับหล่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้หลินเยี่ยนรู้สึกแปลกๆ เมื่อกี้เขายังมองหล่อนด้วยสายตาตำหนิและน้อยใจ แต่ตอนนี้กลับอ่อนโยน
“นายไม่โกรธแล้วใช่ไหม?” หลินเยี่ยนพูดพลางกินอาหารไปด้วย “ฉันไม่ได้ตั้งใจไม่บอกนายจริงๆ นะ ฉันกลัวว่าเหตุการณ์จะไม่แน่นอน สมัครไม่ติด อะไรทำนองนี้”
ใบหน้าหล่อเหลาของลู่เจิ้งอวี่ประดับรอยยิ้ม “ฉันเข้าใจ”
“เธอวางใจได้ ถึงแม้เธอจะบอกฉันเร็วกว่านี้ ฉันก็จะไม่คัดค้านเหมือนพี่เจียซิ่ง ฉันจะสนับสนุนงานของเธออย่างเต็มที่ การศึกษาต่อเป็นเรื่องที่ดีมาก ฉันมีความคิดก้าวหน้านะ”
คำพูดของลู่เจิ้งอวี่ทำให้หลินเยี่ยนดีใจมาก หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ อย่างร่าเริง ใบหน้าขาวผ่องเปล่งประกายสดใส “ขอบคุณ ฉันรู้ว่านายเหมือนพี่ชายฉันตรงที่เข้าใจเหตุผลดี”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เอ็นดูคู่นี้จริงๆ เลย ดูมีความใสบริสุทธิ์แบบยังไม่เผชิญความโหดร้ายของโลก
ไหหม่า(海馬)