ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 923 อยากคบหาดูใจโดยได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง
ตอนที่ 923 อยากคบหาดูใจโดยได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง
หลินเยี่ยนเอาความสัมพันธ์ของหล่อนกับลู่เจิ้งอวี่มาเปรียบเทียบกับหยางหงเสียและเฉินเจียซิ่ง ทำให้ลู่เจิ้งอวี่รู้สึกตื่นเต้นในใจมาก
ความรู้สึกสูญเสียและไม่แน่ใจก่อนหน้านี้หายไปในพริบตา
เขาคอยตักอาหารให้หลินเยี่ยนอย่างเอาใจใส่ ให้หล่อนกินเยอะๆ
“นายก็กินบ้างสิ” หลินเยี่ยนเห็นเขายิ้มตาหยีมองหล่อนกินข้าวอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ตัวเองไม่ยอมกินข้าว ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จึงคีบเนื้อติดมันชิ้นหนึ่งจากจานเนื้อผัดพริกให้เขา “นายกินอันนี้สิ”
“ขอบคุณ” ลู่เจิ้งอวี่คีบเนื้อชิ้นนั้นใส่ปากอย่างมีความสุข
หลังกินข้าวเสร็จ ลู่เจิ้งอวี่ชวนไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ
หลินเยี่ยนกลัวว่าถ้ากลับดึกแม่จะว่า จึงลังเลอยู่
“เสี่ยวเยี่ยน ไปเดินเล่นกันเถอะ ตอนนี้ยังไม่มืดมาก เดี๋ยวฉันไปส่งเธอเอง”
ด้วยการยืนกรานของลู่เจิ้งอวี่ หลินเยี่ยนจึงจำต้องตามเขาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ๆ
หลินเยี่ยนไม่ได้ปฏิเสธ หล่อนก้มหน้าไม่พูดอะไร ปล่อยให้เขาจูงมือหล่อนไป
“เสี่ยวเยี่ยน พวกเราคบกันมานานแล้ว แต่ฉันยังไม่เคยสารภาพรักกับเธออย่างเป็นทางการเลย” ลู่เจิ้งอวี่มองหล่อนด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความรัก พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ถ้าไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแต่งงาน ไม่ได้พบพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย ฉันคิดว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบ”
“นายหมายความว่ายังไง?” หลินเยี่ยนถามด้วยเสียงอ่อนหวานใบหน้าแดงเรื่อ
ลู่เจิ้งอวี่กลืนน้ำลายอย่างประหม่า รวบรวมความกล้าพูดว่า “ฉันชอบเธอ อยากคบกับเธออย่างเป็นทางการ อยากเปิดเผยความสัมพันธ์กับเธอ อยากคบกันโดยได้รับการอนุญาตและสนับสนุนจากผู้ใหญ่ ได้ไหม?”
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคลุมเครือ แม้ทั้งสองคนจะชอบกันและรู้ใจกัน แต่ก็ยังไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคง
การที่ไม่ได้ให้สถานะที่ชัดเจนแก่กันและกัน ทำให้ความสัมพันธ์นี้เปราะบางมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้หลินเยี่ยนกำลังจะไปเรียนต่อต่างเมือง เขาไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นใดๆ และหล่อนก็คงไม่ปรึกษาเขาเป็นคนแรก
เขากลัวที่จะสูญเสียหล่อนไป
เมื่อไม่กี่วันก่อน เซี่ยไห่ยังถามเขาว่าความสัมพันธ์กับหลินเยี่ยนพัฒนาไปถึงไหนแล้ว
เขาพูดว่าควรคบหาดูใจกันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
“ฉันชอบเธอ ฉันอยากให้เธอเป็นแฟนของฉัน อยากพาเธอไปพบพ่อแม่ของฉัน อยากแนะนำเธอให้ทุกคนที่ฉันรู้จักได้รู้”
ลู่เจิ้งอวี่มองหล่อน พูดอย่างจริงใจว่า “แล้วฉันก็หวังว่าจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธออย่างเปิดเผยในฐานะแฟนของเธอ”
เขาแสดงท่าทีอย่างจริงใจว่า “เธอวางใจได้ ฉันจะไม่ส่งผลกระทบต่องานของเธอ และจะไม่ก้าวก่ายอาชีพของเธอ เธออยากทำอะไรฉันก็สนับสนุนเธอ เมื่อเธอเหนื่อย ฉันจะอยู่เบื้องหลังเป็นที่พึ่งที่แข็งแกร่งให้เธอ เธอไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น ชีวิตของเธอก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแต่มีคนที่ห่วงใยและรักเธอเพิ่มขึ้นมาอีกคนเท่านั้น”
หลินเยี่ยนฟังคำพูดของเขา มองดูความจริงใจที่แสดงออกมาทางสีหน้าแววตา หัวใจของหล่อนก็เต้นรัวอย่างบอกไม่ถูก
ครู่หนึ่งผ่านไป หล่อนพูดอย่างงงๆ ว่า “ทำไมจู่ๆ นายพูดเก่งขึ้นมาล่ะ?”
“ฉัน…” ลู่เจิ้งอวี่เกาศีรษะแล้วยิ้มเขินๆ “นี่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของฉัน เป็นคำพูดที่มาจากใจจริงๆ”
“คำพวกนี้ฉันคิดมานานแล้ว อยากบอกเธอมาตั้งนานแล้ว” ลู่เจิ้งอวี่มองหล่อน พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและระมัดระวัง “เสี่ยวเยี่ยน เธอคิดยังไงบ้าง?”
หลินเยี่ยนก้มหน้าครุ่นคิดอยู่สองสามวินาที แล้วพูดว่า “ฉัน… ฉันยังไม่รู้ ฉันต้องคิดดูก่อน”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบทันที ลู่เจิ้งอวี่ก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“ได้ ฉันให้เวลาเธอคิด” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แกล้งทำเป็นผ่อนคลาย “เมื่อไหร่ที่เธอคิดได้แล้วก็บอกฉันนะ”
“ฉันจะรอเธอ รอตลอดไป”
เขาแสดงออกถึงความจริงใจที่มีต่อความสัมพันธ์นี้อย่างชัดเจน
หลินเยี่ยนในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านสติปัญญาหรือความคิด ล้วนเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น หล่อนเป็นเด็กดีตัวอย่าง เป็นเด็กสาวที่เติบโตมาจากชนบท แม้ว่าตอนนี้จะเข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว แต่สิ่งที่ฝังอยู่ในนิสัยของหล่อนก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
คำพูดของลู่เจิ้งอวี่ แม้จะทำให้หล่อนรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้หล่อนสูญเสียสติ
ในตอนนี้ สิ่งที่หล่อนกำลังพิจารณาอยู่ในใจคือ หล่อนจำเป็นต้องรายงานให้ครอบครัวทราบ ต้องได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการจากพวกเขา ถึงจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์นี้ต่อไปได้
หล่อนเติบโตมาในชนบท ยังวางตัวเรียบร้อยและยึดในขนบธรรมเนียมดั้งเดิมอยู่
ลู่เจิ้งอวี่ส่งหล่อนถึงหน้าบ้านตระกูลเซี่ย มองหล่อนเข้าไปข้างใน แล้วจึงหันหลังจากไป
ตอนนี้คนอื่นๆ ย้ายออกไปหมดแล้ว เซี่ยไห่ก็แทบจะไม่กลับมา ในบ้านเหลือแค่หลินเยี่ยนคนเดียวที่อายุน้อยที่สุด
คุณแม่เซี่ยก็เป็นห่วงหลินเยี่ยนมาก หล่อนเป็นผู้หญิง กลับบ้านดึก ผู้ใหญ่ก็ย่อมต้องถามไถ่เป็นธรรมดา
แต่หลิวกุ้ยอิงเคร่งเครียดเกินไป คุณแม่เซี่ยจึงจ้องหลิวกุ้ยอิงด้วยสายตาดุๆ บอกให้อย่าดุลูกมากนัก
พอหลิวกุ้ยอิงกลับเข้าห้องไป คุณแม่เซี่ยก็ดึงหลินเยี่ยนมานั่งที่โซฟา
“เสี่ยวเยี่ยน เสี่ยวลู่เป็นคนมาส่งเธอใช่ไหม?” คุณแม่เซี่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น “พวกเธอสองคนไปเดทกันมาใช่ไหม?”
หลินเยี่ยนก้มหน้าไม่กล้ามองคุณแม่เซี่ย “คุณย่า ไม่ใช่หรอกค่ะ”
“ดูท่าทางเขินอายของเธอสิ ยังไม่กล้าบอกย่าอีก”
คุณแม่เซี่ยอยู่มาถึงวัยนี้ เจอผู้คนมามากมาย แค่ดูสีหน้าของหลินเยี่ยนก็รู้ความในใจของหล่อนได้แล้ว
กลับมาดึกขนาดนี้ แถมไม่ได้บอกว่าอยู่กับพี่ชายพี่สาว นอกจากไปเดทกับลู่เจิ้งอวี่แล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก?
นางจับมือหล่อนไว้แล้วพูดอย่างจริงจัง “เสี่ยวเยี่ยน ในเมื่อพวกเธอสองคนคบกันแล้ว ก็อย่าคบกันแบบแอบๆ ซ่อนๆ เลย ต้องให้ผู้ใหญ่ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเธอนะ”
หลินเยี่ยนฟังคำพูดของคุณย่าแล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย “คุณย่า คุณพูดถูกแล้วค่ะ”
หล่อนรู้สึกดีใจที่ผู้ใหญ่คิดถึงหล่อนมากขนาดนี้
คืนนี้ลู่เจิ้งอวี่ก็พูดถึงปัญหานี้เหมือนกัน หลินเยี่ยนไม่รู้จะบอกครอบครัวอย่างไรดี แต่คุณย่าก็พูดถึงเรื่องนี้พอดี
หล่อนพูดว่า “จริงๆแล้วลู่เจิ้งอวี่ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน แต่ฉันไม่รู้จะบอกพวกคุณยังไงดี”
“อายใช่ไหม?” คุณแม่เซี่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
หลินเยี่ยนหน้าแดงไม่กล้าเงยหน้า ส่งเสียงอืมเบาๆ ออกมาเสียงหนึ่ง
“มีแฟนแล้วมีอะไรให้อายล่ะ?” คุณแม่เซี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่าง พวกเธอก็แอบคบกันไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องเขินอายแล้ว”
“ที่บ้านเกิดของเรา แม่สื่อจะมาบ้านก่อน” หลินเยี่ยนพูด
“เด็กโง่ ที่เมืองเราก็ต้องมีแม่สื่อเหมือนกัน แต่ว่าต้องเป็นตอนที่ทั้งสองคนคุยกันจนลงตัวแล้ว ตอนที่จะพูดถึงเรื่องแต่งงานถึงจะให้แม่สื่อมาสู่ขอ”
คุณแม่เซี่ยอธิบายให้หล่อนฟังว่า “พวกเธอต้องพบกับผู้ปกครองก่อน ให้ทั้งสองฝ่ายได้พิจารณา ถ้าเห็นด้วยแล้วค่อยๆ คบหากันไป แบบนี้คนอื่นก็จะไม่มีอะไรให้พูด”
สาวชนบทอย่างพวกหล่อนไม่เคยพูดเรื่องมีแฟนกับครอบครัวเอง มักจะให้แม่สื่อมาพูดแทน
ถ้าเห็นด้วยก็จะหมั้นหมาย หลังจากหมั้นแล้วถึงจะได้คบหากันอย่างเปิดเผย
“ได้ ย่าจะเป็นคนพูดเอง เรื่องนี้ให้ย่าจัดการ ถ้าพวกเขาเห็นด้วย ก็พาเสี่ยวลู่มาที่บ้านนะ”
คุณแม่เซี่ยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยจัดการเรื่องแต่งงานของคนรุ่นหลัง ทำให้นางรู้สึกภาคภูมิใจมาก
นางพูดว่า “เธอเองก็ต้องไปบ้านเขาด้วยนะ ต้องดูสภาพครอบครัวของเขา พบปะพ่อแม่ของเขา ทำความรู้จักกับครอบครัวลู่ให้มากขึ้น การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กๆ”
สำหรับผู้หญิงที่จะแต่งงาน นอกจากดูตัวผู้ชายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดูครอบครัวของเขาด้วย เพราะสภาพแวดล้อมทางครอบครัวสำคัญมากในทุกๆ ด้าน
คุณแม่เซี่ยพูดถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้ม พูดต่อว่า “แต่ว่า พ่อแม่ของเสี่ยวลู่น่าจะเป็นคนดีมีหลักการนะ ถ้าเขาไม่น่าไว้ใจ อารองของเธอก็คงไม่ให้ความสำคัญกับเขาขนาดนั้น แถมยังปล่อยให้เขาตามจีบเธอด้วย ดังนั้นเรื่องนี้เราน่าจะวางใจได้”
“เอาล่ะ ไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ย่าจะคุยกับแม่เธอในเรื่องของเธอเอง”
มีคุณย่าใจดีคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หลินเยี่ยนก็รู้สึกสบายใจขึ้นทันที
หลินเยี่ยนกลับเข้าห้องไป ส่วนคุณแม่เซี่ยรอไม่ไหวถึงวันรุ่งขึ้น จึงไปเคาะประตูห้องของหลิวกุ้ยอิงกับเซี่ยเหลย
ตอนนี้พวกเขายังไม่นอน หลิวกุ้ยอิงกำลังเย็บซ่อมแซมเสื้อไหมพรมตัวหนึ่งของเซี่ยเหลย
เขาทำงานจนรักแร้เสื้อขาด เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อที่หลินเซี่ยซื้อให้เขาตอนที่เพิ่งได้พบกันใหม่ๆ
เขาสวมใส่มาสองปีแล้ว แม้จะขาดก็ยังเสียดายไม่อยากทิ้ง
จึงให้หลิวกุ้ยอิงเย็บซ่อมให้ เขาจะได้ใส่ต่อไป
“คุณแม่ ทำไมยังไม่พักผ่อนอีกล่ะคะ?” หลิวกุ้ยอิงนั่งอยู่ที่หัวเตียงกำลังเย็บผ้า เมื่อเห็นแม่สามีเข้ามา หล่อนก็ลุกขึ้นยืน
เซี่ยเหลยที่นอนอ่านหนังสืออยู่ก็ลุกขึ้นนั่งเช่นกัน
“แม่มีเรื่องอยากคุยกับพวกเธอหน่อย” คุณแม่เซี่ยนั่งลงบนเก้าอี้
“แม่ พูดมาเถอะครับ” เซี่ยเหลยวางหนังสือในมือลง หลิวกุ้ยอิงก็หยุดเย็บผ้า
คุณแม่เซี่ยยิ้มพลางพูดกับหลิวกุ้ยอิงว่า “อิงจื่อ เธอเย็บผ้าของเธอต่อไปเถอะ ระวังเข็มด้วยนะ”
“ฉันแค่อยากคุยกับพวกเธอเรื่องของเสี่ยวเยี่ยนเฉยๆ” คุณแม่เซี่ยพูดตรงประเด็นทันที มองพวกเขาแล้วเอ่ยปากว่า “เรื่องที่เสี่ยวเยี่ยนกับเสี่ยวลู่กำลังคบกันเป็น แฟน พวกเธอคงได้ยินมาบ้างแล้วใช่ไหม”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ต่างคนต่างเขิน ให้คบกันเองคงไม่เหมาะ เข้าทางผู้ใหญ่เลยดีกว่า
ไหหม่า(海馬)