ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 925 มาเถอะ มาทำร้ายกันและกัน
ตอนที่ 925 มาเถอะ มาทำร้ายกันและกัน
หลังจากที่หลินเยี่ยนกล่าวว่าจะพิจารณาเปิดเผยความสัมพันธ์กับลู่เจิ้งอวี่ ลู่เจิ้งอวี่ก็ตื่นเต้นและคาดหวังจนนอนไม่หลับทั้งคืน
พอดีบ่ายวันรุ่งขึ้น เซี่ยไห่จะเรียกประชุมผู้รับผิดชอบของสถานเต้นรำหลายแห่ง
นี่เป็นเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเมื่อไม่กี่วันก่อน
รวมกับสถานเต้นรำอีกหนึ่งแห่งที่วังซูเฟินรับผิดชอบในเมืองหนานเฉิง ไม่นับสำนักงานใหญ่ในเมืองเชินเฉิง เซี่ยไห่มีสถานเต้นรำในเครือทั้งหมดสี่แห่ง
ไตรมาสแรกของปีนี้สิ้นสุดลงแล้ว เขาต้องการเรียกผู้รับผิดชอบทั้งสี่คนมาสรุปสถานการณ์การดำเนินงานในไตรมาสแรก
สถานที่คือห้องประชุมในสถานเต้นรำเก่าของพวกเขา
ตอนนี้เป็นเวลาพัก พนักงานทั่วไปเลิกงานกันหมดแล้ว มีเพียงลู่เจิ้งอวี่ที่รออยู่ในห้องโถงเพื่อต้อนรับคนอื่นๆ
หลินจินซานมาถึงเป็นคนแรก
เมื่อเขาเข้ามา ก็เห็นลู่เจิ้งอวี่กำลังฮัมเพลงพลางทำความสะอาดอยู่
“อ้าว คุณผู้ช่วยลู่ คุณมาทำความสะอาดด้วยตัวเองเลยหรือนี่?” หลินจินซานพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มองดูลู่เจิ้งอวี่ด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดหยอกล้อ
ปกติแล้วถ้าลู่เจิ้งอวี่เห็นว่าการทำความสะอาดไม่เรียบร้อย เขาจะต้องเรียกพนักงานที่อยู่เวรวันนั้นมาตำหนิอย่างรุนแรงแน่นอน พร้อมทั้งเรียกประชุมทุกคนด้วย
วันนี้อารมณ์ดีขนาดนี้ ถึงกับลงมือทำเองเลยหรือ?
“พี่ซาน คุณมาแล้วหรือ?” ลู่เจิ้งอวี่วางไม้กวาดลง พูดพร้อมรอยยิ้ม “พื้นยังกวาดไม่สะอาด ผมเลยเก็บกวาดหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวพี่ไห่กับผู้จัดการคนอื่นๆ มาเห็นแล้วจับผิดฝั่งเราได้”
ตอนนี้ลู่เจิ้งอวี่ไม่เพียงแต่เป็นผู้ช่วยของเซี่ยไห่ ต้องจัดการเรื่องทุกอย่างของห้องเต้นรำทั้งหมด ยังต้องรับผิดชอบดูแลห้องเต้นรำตรงถนนเก่านี้ด้วย
เซี่ยไห่ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการสร้างโรงเรียน
หลังจากเก็บไม้กวาดเรียบร้อยแล้ว ลู่เจิ้งอวี่ก็เชิญหลินจินซานนั่ง พร้อมทั้งหยิบน้ำมาให้ขวดหนึ่ง
“พี่ซาน ทำไมคุณมาเช้าจัง?” เขาถามพร้อมรอยยิ้ม
วันนี้เป็นวันรายงานสถานการณ์ธุรกิจไตรมาสแรก หลินจินซานรู้สึกค่อนข้างตื่นเต้น
กังวลมากว่าผลงานของห้องเต้นรำที่เขารับผิดชอบจะไม่ดีเท่ากับที่อื่น และจะถูกตำหนิ
ยิ่งกลัวว่าเซี่ยไห่จะคิดว่าเขาไม่มีความสามารถในการเป็นผู้จัดการ และจะปลดเขาออก
เขาก็เป็นคนรักหน้ารักตา ถ้าทำงานได้แย่ที่สุด ก็จะเสียหน้า
ครอบครัวก็จะผิดหวังในตัวเขา
ลู่เจิ้งอวี่เป็นผู้ช่วยพิเศษ และเป็นคนสนิทที่เซี่ยไห่ไว้วางใจมากที่สุด หลินจินซาน เข้าไปใกล้ๆ เขาและถามอย่างระแวดระวัง “เจิ้งอวี่ ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหม ยอดขายของห้องเต้นรำที่ฉันดูแลอยู่นั้นอยู่อันดับที่เท่าไหร่”
“พี่ซาน อีกสักครู่เมื่อทุกคนมาพร้อมกันและเริ่มประชุม คุณก็จะรู้เอง” สำหรับเรื่องงาน ลู่เจิ้งอวี่เคร่งครัดและจริงจังมาก
เขาไม่ตั้งใจจะให้สิทธิพิเศษกับใคร หรือเปิดเผยข้อมูลล่วงหน้า
หลินจินซานรู้สึกทรมานใจ ไม่ตั้งใจจะยอมแพ้แค่นี้ ตอนนี้มีแค่เขากับ ลู่เจิ้งอวี่ สองคน พูดคุยกันก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกสักครู่ก็จะเปิดเผยอยู่แล้ว
“แกบอกฉันล่วงหน้าหน่อยสิ ฉันจะได้เตรียมใจไว้ พวกเราเป็นอะไรกัน? ฉันเป็นพี่เขยในอนาคตของแก แกจะใจร้ายปล่อยให้ฉันกังวลและทรมานใจแบบนี้เหรอ?”
หลินจินซานเริ่มใช้สถานะกดดันเขาแล้ว ถึงแม้ลู่เจิ้งอวี่จะเป็นคนเคร่งครัดแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ถูกหลินจินซานข่มขู่เสียแล้ว
หลินเยี่ยนบอกว่าต้องกลับไปคิดดูก่อนแล้วค่อยตอบเขา เขาไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่
เรื่องนี้ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจาก “พี่เขย” คนนี้อีกแล้ว
“ผมบอกคุณได้แค่ว่า คุณไม่ได้อยู่อันดับสุดท้าย ไม่ต้องกังวลไป”
หลินจินซานได้ยินคำพูดของลู่เจิ้งอวี่ ก็ถอนหายใจโล่งอก “จริงเหรอ คุณแน่ใจนะ ผมไม่ได้อยู่อันดับสุดท้ายจริงๆ ใช่ไหม”
ลู่เจิ้งอวี่พยักหน้า “ใช่ วางใจได้ ห้องเต้นรำที่ถนนชิงเนี่ยนคุณบริหารได้ไม่เลวนะ ดูจากยอดขายทั้งไตรมาส ธุรกิจก็ไปได้สวย และไม่เคยมีเหตุทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น ถือว่าบริหารงานได้ดี คุณไม่ต้องกังวลว่าจะโดนดุหรอก”
“แล้วใครล่ะที่อยู่อันดับสุดท้าย” หลินจินซานคลายความกังวลไปได้ ทั้งตัวผ่อนคลายลง แล้วเข้าไปใกล้เขาอีก อยากรู้อยากเห็น
ลู่เจิ้งอวี่ไม่อาจบอกเรื่องนี้ได้ เขาทำท่าลึกลับ “เดี๋ยวพอเข้าประชุมคุณก็รู้เอง”
จากที่เขารู้จักหลินจินซาน ถ้ารู้เนื้อหาการประชุมล่วงหน้า พอคนที่อยู่อันดับสุดท้ายมาถึง เขาคงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอาย
หลินจินซานสบายใจแล้ว ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
ขอแค่ไม่ใช่ตัวเองก็พอแล้ว
“พี่ซาน คุณกลับบ้านมาหรือยัง?” ลู่เจิ้งอวี่กระแอมเบาๆ มองหลินจินซานแล้วถามอย่างสุภาพ
“กลับบ้านเหรอ?” หลินจินซานพูด “บ้านไหนล่ะ? ผมเพิ่งออกมาจากบ้านนะ”
ลู่เจิ้งอวี่พูดว่า “ก็บ้านทางน้าน่ะ”
“ผมกลับไปเมื่อวานซืน”
ลู่เจิ้งอวี่ได้ยินแล้วก็ตอบรับเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก
หลินจินซานเมื่อคืนไม่ได้เจอหน้าหลินเยี่ยน
หลินเยี่ยนคิดยังไงกันแน่ บอกเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขากับครอบครัวหรือเปล่า หลินจินซานคงไม่รู้
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ประตู
ลู่เจิ้งอวี่ลุกขึ้นเดินไปดู
เขาคิดว่าเซี่ยไห่มาแล้ว แต่กลับเห็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวฉูดฉาดเดินเข้ามา
ใกล้เดือนเมษายนแล้ว แต่ยังใส่เสื้อขนสัตว์อยู่อีก
แม้ว่าลมฤดูใบไม้ผลิจะเย็นเฉียบและอากาศจะแปรปรวน แต่การแต่งตัวแบบนี้ก็เกินไปจริงๆ
ลู่เจิ้งอวี่ตะลึงไปสองสามวินาที ก่อนจะจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
หล่อนคือวังซูเฟินผู้จัดการห้องเต้นรำสวินเมิ่งในเมืองหนานเฉิง
ลู่เจิ้งอวี่เห็นหล่อนแล้วก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สวัสดีครับ เชิญเข้ามา”
เขาเคยไปสำรวจเมืองหนานเฉิงกับเซี่ยไห่มาก่อน วังซูเฟินจึงรู้จักเขาเป็นธรรมดา
วังซูเฟินทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น “คุณเสี่ยวลู่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
หล่อนสวมเครื่องประดับทองและเงิน แต่งหน้าหนาจัด ผมหยิกสั้น ดูเหมือนภรรยาเศรษฐีทีเดียว
หล่อนเดินเข้ามาเห็นหลินจินซานนั่งอยู่ตรงนั้น สายตาของหล่อนกวาดมองใบหน้าของหลินจินซาน แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่ใช่พี่ชายของหลินเซี่ยหรอกหรือคะ?”
หลินจินซานจำวังซูเฟินได้เช่นกัน เขาไม่คิดว่าครั้งนี้แม้แต่ผู้รับผิดชอบจากเมืองหนานเฉิงก็มาด้วย
ดูเหมือนว่าการประชุมไตรมาสนี้จะเป็นทางการมาก
เขาเคยเจอวังซูเฟินในงานแต่งงานของหลินเซี่ย เนื่องจากวังซูเฟินชอบกลั่นแกล้งน้องสาวของเขาด้วยคำพูดประชดประชัน หลินจินซานจึงไม่ค่อยมีความประทับใจที่ดีต่อป้าคนนี้
แต่ตอนนี้พวกเขาถือว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกัน หลินจินซานจึงเก็บอารมณ์ส่วนตัวไว้ และลุกขึ้นทักทายหล่อน
“เสี่ยวหลิน ฉันได้ยินว่าเธอก็แต่งงานแล้วเหรอ?” วังซูเฟินมองสำรวจหลินจินซานและถาม
หลินจินซานพยักหน้า “ครับ แต่งงานแล้ว”
สายตาของวังซูเฟินมองสำรวจเขาอย่างไม่เกรงใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและดูถูก “เธอนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้พึ่งบุญน้องสาว ดูสิ ตอนนี้เธอไม่เพียงแต่ได้ดูแลโรงเต้นรำ แต่ยังได้แต่งงานด้วย ถ้าอยู่ในชนบท คงแทบจะหาอาหารกินให้อิ่มท้องยังยากเลยนะ”
หลินจินซาน “!!!!”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจในทันที
หลินจินซานตั้งใจจะสุภาพกับหล่อน แต่เมื่อหล่อนไม่เคารพตัวเอง และจงใจมาหาเรื่อง งั้น หลินจินซานก็จะไม่สุภาพเช่นกัน
“ใช่แล้วครับป้าวัง พูดถึงเรื่องนี้ พวกเราทุกคนต่างก็ได้รับประโยชน์จากน้องสาวของผมทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวของผม คุณก็คงไม่ได้รู้จักอารองของผมหรอก”
หลินจินซานมองหล่อนยิ้มมุมปาก พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ถึงแม้จะรู้จักกัน อารองของผมก็อาจจะไม่ให้โอกาสแบบนี้กับคุณหรอก ดูสิ ตอนนี้คุณไม่เพียงแต่ได้ดูแลโรงเต้นรำ แต่ยังใส่เสื้อขนสัตว์ในวันที่อากาศร้อนจัด ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณคงซื้อเสื้อขนสัตว์ตัวนี้ไม่ได้แน่”
“แก…” วังซูเฟินไม่คิดว่าหลินจินซานจะไม่เคารพหล่อนซึ่งเป็นผู้อาวุโส หล่อนมองเขาด้วยท่าทางยโส “ร้านโรงเต้นรำนี้เป็นของครอบครัวฉัน ถ้าเถ้าแก่เซี่ยไม่ร่วมมือกับฉัน ฉันก็จะไม่ขายร้านให้เขา ฉันมีทุนนะ เราสองคนไม่อาจเทียบกันได้หรอก”
หลินจินซานหัวเราะเยาะ “โอ้โห พูดเหมือนกับว่าทั้งเมืองหนานเฉิงมีแต่ร้านของครอบครัวคุณเท่านั้น ถ้าอารองของผมไม่ได้คำนึงถึงหน้าเซี่ยเซี่ย ก็น่าจะหาทำเลที่ดีกว่านี้เปิดโรงเต้นรำ และส่งคนที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่านี้มาบริหารนะ ใครกันแน่ที่ได้รับประโยชน์ คนเราต้องมีจิตสำนึก ต้องรู้จักสำนึกบุญคุณ”
วังซูเฟิน “!!!”
“พอเถอะ” ลู่เจิ้งอวี่พูดเสียงเข้มขัดจังหวะหลินจินซาน
เขามองไปทางวังซูเฟิน พูดอย่างสุภาพ “ผู้จัดการวัง เชิญคุณขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องประชุมชั้นสองก่อน เถ้าแก่เซี่ยน่าจะมาถึงในไม่ช้า”
วังซูเฟินถูกหลินจินซานด่าจนหน้าแตก หน้าที่แต่งหนาจัดย่นเข้าหากัน หล่อนจ้องหลินจินซานอย่างโกรธเคือง แล้วเดินขึ้นชั้นสอง
ลู่เจิ้งอวี่พาวังซูเฟินไปที่ห้องประชุม แล้วก็ลงมาชั้นล่าง
ลู่เจิ้งอวี่ลงมาชั้นล่าง หลินจินซานพูดอย่างไม่พอใจ “ทำไมนายถึงห้ามฉัน ฉันยังพูดไม่จบเลย”
“นี่มันงานอะไรกัน?” ลู่เจิ้งอวี่ทำหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผู้จัดการหลิน โปรดระวังสถานะและคำพูดของคุณด้วย”
“หล่อนล่ะระวังบ้างไหม?” หลินจินซานผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งถูกวังซูเฟินพูดเสียดสีประชดประชันจนทนไม่ไหว
ก็เพราะถูกพูดถึงจุดเจ็บปวด
ใช่แล้ว เขาได้โอกาสการทำงานแบบนี้เพราะพึ่งพาน้องสาว
แต่เขาก็ทุ่มเทความพยายามในการทำงานมากกว่าร้อยเท่านะ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ยังไม่ต้องไปสู้ป้าเขาหรอกจินซาน เดี๋ยวผลประกอบการออกมาก็จะรู้เองว่าใครกันแน่ที่มีฝีมือ เริ่มรู้สึกเหมือนจะเดาได้แล้วล่ะว่าใครจะมีผลประกอบการบ๊วยสุด
ไหหม่า(海馬)