ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 926 บัญชีที่ชวนสับสนของวังซูเฟิน
ตอนที่ 926 บัญชีที่ชวนสับสนของวังซูเฟิน
หลินจินซานให้ความสำคัญกับเรื่องหน้าตามากในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งคำพูดเมื่อครู่นี้ของวังซูเฟินฟังดูรุนแรงเกินไป ประกอบกับตัวเขาเองก็มีปัญหากับวังซูเฟินอยู่แล้ว จึงไม่มีทางที่จะเอาใจหล่อน
ลู่เจิ้งอวี่มองหลินจินซานที่กำลังโกรธจัด รู้สึกโล่งใจที่ตัวเองไม่ได้คุยเรื่องงานกับเขาอย่างละเอียดเมื่อครู่
“พอเถอะ ใจเย็นๆ หน่อย เดี๋ยวพี่เซี่ยมาเห็นสีหน้าแบบนี้ของพี่แล้วคงตำหนิพี่แน่”
หลินจินซานเป็นคนเชื่อฟังคนอื่น เขาสูดหายใจลึกสองครั้ง พยายามบังคับตัวเองให้สงบอารมณ์ลง
ไม่ควรปล่อยให้คนแบบนั้นมามีอิทธิพลต่ออารมณ์ของตัวเอง
แม้เขาจะได้รับประโยชน์จากน้องสาว แต่เขาก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง และทุ่มเทความรักให้กับครอบครัว เขากำลังแสดงความกตัญญูด้วยวิธีของตัวเอง
การให้ระหว่างคนในครอบครัวเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างให้
ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอ่อนแอที่เอาแต่พึ่งพาน้องสาวในการหาเงิน
“ตอนนี้นายยังเรียกพี่เซี่ยอยู่เหรอ?” หลินจินซานพยายามบังคับตัวเองให้เบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ให้วังซูเฟินมีผลกระทบต่ออารมณ์ของเขา
เขามองลู่เจิ้งอวี่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “หมายความว่าไง? นายไม่อยากคบกับน้องสาวฉันแล้วเหรอ?”
เขาพูดด้วยท่าทางภาคภูมิใจว่า “ฉันจะบอกนายให้นะ เสี่ยวเยี่ยนของฉันกำลังจะไปเรียนต่อที่เซี่ยงไฮ้ พอกลับมาแลวหล่อนจะเก่งกาจมาก ถ้านายไม่ขยันให้ดีๆ พลาดโอกาสไปอย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ”
เสี่ยวเยี่ยนของเขากับชุนฟางจะไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้ด้วยกัน
เขายังไม่เคยไปเซี่ยงไฮ้เลย
“แน่นอนว่าผมอยากพัฒนาความสัมพันธ์กับเสี่ยวเยี่ยนครับ”
พอลู่เจิ้งอวี่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้มีท่าทางนิ่งขรึมเหมือนตอนคุยเรื่องงานอีกต่อไป
เขามองหน้าหลินจินซาน แล้วรีบบอกว่า “ผมอยากคบกับหล่อนมาก อยากเป็นแฟนอย่างถูกต้องตามครรลองของหล่อน”
“แต่ผมเรียกพี่ไห่มาเจ็ดแปดปีแล้ว เรียกจนชิน” ลู่เจิ้งอวี่เกาศีรษะแล้วถอนหายใจ “อีกอย่าง เสี่ยวเยี่ยนยังไม่ได้ให้สถานะอะไรกับผม ถ้าผมเปลี่ยนไปเรียกอย่างอื่น พี่ไห่คงต้องตีผมแน่ๆ”
ลู่เจิ้งอวี่พูดจบก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม มองหน้าหลินจินซานอย่างกระตือรือร้นแล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “พี่ซาน เรื่องของผมกับเสี่ยวเยี่ยน คุณน้ากับลุงเซี่ยคงไม่คัดค้านใช่ไหมครับ? พวกเขามีความเห็นยังไงกับผมบ้าง?”
ลู่เจิ้งอวี่ไม่ค่อยมั่นใจในเรื่องนี้ โดยเฉพาะฐานะทางบ้านของเขาที่ธรรมดามาก พ่อแม่ก็เป็นแค่คนงานทั่วไป ไม่มีชาติตระกูลที่โดดเด่น ตัวเองก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากมาย ในขณะที่หลินเยี่ยนเป็นหลานสาวของพี่ไห่ เป็นน้องสะใภ้ของเฉินเจียเหอ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง
“พวกเขาน่าจะมีความเห็นที่ดีกับนายนะ” หลินจินซานเอียงศีรษะนึกทบทวน “ฉันจำได้ว่าลุงเซี่ยของฉันยังชมนายบ่อยๆ เลย บอกว่านายเป็นคนมุ่งมั่นและขยัน ทำงานจริงจัง อีกอย่างนายก็เคยเป็นทหารมาก่อน ถือว่าเป็นสหายร่วมรบกับเขา เขามีความเห็นที่ดีมากกับนายทีเดียวละ”
เมื่อพูดเช่นนี้ ดวงตาของลู่เจิ้งอวี่ก็เปล่งประกายขึ้นทันที “จริงหรือ?”
“วางใจเถอะ ต่อให้นายกับเสี่ยวเยี่ยนยังไม่ได้คบหาดูใจกันอย่างเป็นทางการ แต่พวกนายก็มีความสัมพันธ์คลุมเครือกันมาสักพักแล้ว ด้วยระดับการดูแลอย่างเข้มงวดของแม่ฉันที่มีต่อพวกเรา เป็นไปไม่ได้ที่แม่จะไม่เคยได้ยินเรื่องที่เสี่ยวเยี่ยนสนิทสนมกับนาย
ถ้าพวกเขาไม่พอใจนาย พวกเขาคงให้เสี่ยวเยี่ยนตัดขาดจากนายไปนานแล้ว ไม่ให้เป็นแม้แต่เพื่อน แล้วจะยอมให้นายพาหล่อนไปดูหนังเดินเล่นในสวนสาธารณะได้ยังไง?”
หลินจินซานมองเขาด้วยสีหน้าจริงจังและพูดต่อว่า “เสี่ยวเยี่ยนเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาตั้งแต่เด็ก หล่อนทำอะไรข้างนอก คบเพื่อนคนไหน ก็จะเล่าให้แม่ฉันฟังเกือบทั้งหมด เพราะโลกนี้อันตราย พวกเราพี่น้องมาจากชนบท ทุกก้าวที่เดินล้วนระมัดระวัง ไม่ว่าจะคบเพื่อนหรือทำงาน ก็ทำด้วยความจริงใจและความระมัดระวังอย่างที่สุด”
ลู่เจิ้งอวี่คลายคิ้วที่มุ่นขมวดและยิ้มออกมาในที่สุด “ขอบคุณพี่ซาน พี่พูดแบบนี้ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก”
หลินจินซานเตือนเขา “แต่นายต้องจริงใจกับน้องสาวฉันนะ”
“แน่นอนครับ แน่นอน”
ตอนนี้ลู่เจิ้งอวี่กับหลินจินซานสลับบทบาทกันโดยสิ้นเชิง หลินจินซานกลับดูเหมือนเป็นหัวหน้าของลู่เจิ้งอวี่
ลู่เจิ้งอวี่ก้มหัวและโค้งคำนับต่อหน้าเขา
ก็นะ ตำแหน่งพี่เขยใหญ่ก็เหมือนกับเป็นหัวหน้าไม่ใช่หรือ
ในตอนนั้นเอง เซี่ยไห่ก็มาถึง
เขามีนักบัญชีหลิวจากห้องเต้นรำและชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆ ตามหลังมาด้วย
ชายหนุ่มสวมกางเกงยีนส์ขาบาน เสื้อแจ็กเก็ตลายดอก และเสื้อเชิ้ตสีเขียวที่พับปกออกมานอกปกเสื้อแจ็กเก็ต
เขามีผมดกหนา ไว้ผมแสกกลาง คาดแว่นกันแดดไว้บนศีรษะ ดูทันสมัยมาก
บุคลิกและการแต่งตัวของเขาคล้ายคลึงกับเซี่ยไห่เมื่อไม่กี่ปีก่อนอย่างยิ่ง
คนผู้นี้คือผู้จัดการของห้องเต้นรำอีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่าเจิ้งซวี่ ปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปี
“พี่ไห่ นักบัญชีหลิว พวกคุณมาถึงแล้วหรือครับ?”
ลู่เจิ้งอวี่เดินเข้าไปต้อนรับ “เสี่ยวเจิ้งก็มาด้วย”
เซี่ยไห่กวาดตามองไปรอบๆ ห้องโถงของห้องเต้นรำ เห็นมีเพียงลู่เจิ้งอวี่กับหลินจินซานสองคน เขาจึงถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผู้จัดการวังจากสาขาเมืองหนานเฉิงยังไม่มาหรือ?”
ลู่เจิ้งอวี่ตอบ “มาแล้วครับ กำลังรออยู่ที่ห้องประชุมชั้นสอง”
“ดี งั้นขึ้นไปกันเถอะ” เซี่ยไห่พูดด้วยบุคลิกทรงพลัง เท้าที่สวมรองเท้าหนังก้าวเดินอย่างสง่างาม “ประชุมกัน”
เซี่ยไห่กับนักบัญชีหลิวเดินนำหน้า ลูกน้องสี่คนเดินตามหลังขึ้นบันไดไปด้วยกัน
ลู่เจิ้งอวี่เปิดประตูห้องประชุม วังซูเฟินกำลังนอนหลับคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะ เสียงเปิดประตูทำให้หล่อนตกใจสะดุ้งตื่นรีบนั่งตัวตรง เมื่อเห็นเซี่ยไห่และคนอื่นๆ เข้ามา ก็พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ “เถ้าแก่เซี่ย ฉันรอจนหลับไปแล้ว พวกคุณนี่ไม่มีความตรงต่อเวลาเลย คนทำงานใหญ่จะมาหละหลวมแบบนี้ได้ยังไง?”
เซี่ยไห่มองนาฬิกาข้อมือ พูดเสียงเรียบ “ผมนัดประชุมตอนบ่ายสองโมง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายหนึ่งโมงห้าสิบนาที”
วังซูเฟินหัวเราะแก้เก้อ “งั้นเป็นฉันที่มาเร็วไปเอง”
หล่อนออกจากสถานีรถไฟตอนเที่ยงครึ่ง ไม่ทันได้แวะไปที่ชุมชนบ้านพักทหาร เฉินเจิ้งกั๋วสามีของหล่อนกับเฉินเจียหมิงลูกชายกลับบ้านไปแล้ว มีเพียงหล่อนที่รีบมาประชุมที่นี่
“ทุกคนนั่งลงเถอะ”
เซี่ยไห่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างสง่างาม ลู่เจิ้งอวี่และคนอื่นๆ ทยอยนั่งลงตามลำดับ
เขานั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน มองทุกคนแล้วกล่าวว่า “วันนี้ผมเรียกทุกคนมาประชุมเพื่อพูดถึงปัญหาการดำเนินงานในไตรมาสแรกเป็นหลัก”
นักบัญชีหลิวนำเอกสารที่เตรียมไว้แล้ววางลงตรงหน้าเซี่ยไห่ พร้อมทั้งแจกสำเนาเอกสารให้ทุกคนคนละชุด
“ผู้จัดการทุกท่านลองดูยอดลูกค้าและยอดขายของห้องเต้นรำที่แต่ละคนรับผิดชอบในไตรมาสนี้ด้วย”
พอเซี่ยไห่พูดถึงตรงนี้ สายตาคมก็กริบกวาดมองพวกเขา “คนที่อยู่อันดับสุดท้าย ผมจะปลดออกจากตำแหน่งผู้รับผิดชอบ”
หลายคนนั่งอยู่ตรงนั้น ตรวจดูรายงานกันด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีด
สีหน้าของทุกคนดูเคร่งขรึม บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียดมาก
หลินจินซานรีบพลิกดูเอกสารอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นช่องของห้องเต้นรำที่เขารับผิดชอบ เขาก็ลอบถอนหายใจโล่งอก
ไม่ได้อยู่อันดับสุดท้าย
แต่ผลงานก็ไม่ได้อยู่อันดับหนึ่งเช่นกัน
เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง
เซี่ยไห่กวาดตามองพวกเขา “ทุกคนดูเสร็จแล้วใช่ไหม? ถ้างั้นคนสุดท้ายสามารถดำเนินการลาออกได้เลย”
วังซูเฟินสีหน้าเคร่งเครียด ตกใจสุดขีด
“เถ้าแก่เซี่ย นี่หมายความว่าอย่างไรคะ?” หล่อนขมวดคิ้วมองไปที่เซี่ยไห่ แล้วเอ่ยปากอย่างไม่พอใจ “ทำไมผลประกอบการของห้องเต้นรำสาขาเมืองหนานเฉิงของพวกเราถึงได้อยู่อันดับสุดท้ายล่ะ?”
สีหน้าของเซี่ยไห่กำลังย่ำแย่อยู่แล้ว พอวังซูเฟินพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงตำหนิแบบนี้ สีหน้าของเขาก็ยิ่งดูย่ำแย่ลงไปอีก
“ถ้าผู้จัดการวังไม่ได้สายตายาว ก็น่าจะเห็นตัวเลขบนรายงานได้ชัดเจนนะคะ”
นักบัญชีหลิวชี้ไปที่รายงานและอธิบายว่า “ไม่ว่าจะเป็นจำนวนลูกค้าปกติหรือยอดการใช้จ่ายของลูกค้า ห้องเต้นรำสวินเมิ่งสาขาเมืองหนานเฉิงก็ทำยอดได้ย่ำแย่ที่สุดในบรรดาห้องเต้นรำทั้งสี่แห่ง”
เซี่ยไห่จ้องมองวังซูเฟินด้วยสายตาเฉียบคม สีหน้าแสดงความผิดหวังอย่างถึงที่สุด “แต่เงินทุน อุปกรณ์ และทำเลที่ตั้งของห้องเต้นรำที่ผมลงทุนที่นั่นถือว่าดีที่สุดในบรรดาห้องเต้นรำทั้งสี่แห่งเชียวนะ ผมชักอยากรู้เลยว่าผู้จัดการวังบริหารงานยังไงกันแน่?”
เซี่ยไห่พยักหน้าให้ลู่เจิ้งอวี่ “เสี่ยวลู่ คุณช่วยพูดหน่อยสิ”
ลู่เจิ้งอวี่เปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้าอย่างมืออาชีพ แล้วเอ่ยปากอย่างจริงจัง “ในช่วงที่ผู้จัดการวังบริหารห้องเต้นรำ เพื่อนและญาติที่มาใช้บริการส่วนใหญ่ไม่ต้องจ่ายเงิน ที่สำคัญที่สุดคือคนรู้จักร้องคาราโอเกะได้ไม่จำกัดเวลา ทำให้ลูกค้าจำนวนมากต้องรอคิวอยู่ข้างนอกโดยไม่ได้ห้อง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยมากในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้คาราโอเกะแทบไม่มีกำไรเลย”
หลังจากฟังคำอธิบายของลู่เจิ้งอวี่จบ ทุกคนต่างหันไปมองวังซูเฟินพร้อมกัน
เซี่ยไห่มีสีหน้าดำทะมึนราวกับจะกลั่นหยาดฝนออกมาได้ “ผู้จัดการวัง ผมเป็นเจ้าของสถานบันเทิงนี้ คุณเป็นเพียงผู้รับผิดชอบ เมื่อคุณให้ญาติและเพื่อนเข้าฟรี คุณต้องควักกระเป๋าจ่ายเองในภายหลัง นี่คือกฎ
หากว่าตามขอบเขตอำนาจของคุณ คุณสามารถให้ส่วนลดเครื่องดื่มได้ตามสมควร แต่การให้คนเข้าฟรีแบบไม่จำกัดเวลาตลอดทั้งคืน จนทำให้ลูกค้าที่จ่ายเงินจริงๆ ไม่ได้คิว นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
“สมุดบัญชีนี้ยุ่งเหยิงสิ้นดี คุณคิดว่าส่งบัญชีที่ชวนสับสนมาแล้วผมจะมองไม่ออกว่าขาดทุนหรือ?” เซี่ยไห่หยิบสมุดบัญชีขึ้นมาฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรงสองครั้ง “คุณคิดว่าผมจ้างนักบัญชีมาเป็นตุ๊กตาประดับห้องหรือไง?”
วังซูเฟินก้มหน้ารับฟังคำตำหนิ ไม่กล้าโต้แย้งแม้แต่คำเดียว
คำพูดของเซี่ยไห่ถูกต้องทั้งหมด
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ป้าบริหารงานยังไงคะเนี่ยเละเทะไปหมด ถึงจะเป็นผู้จัดการสาขาแต่ป้าก็ยังไม่ใช่เจ้าของกิจการนะ อย่าสำคัญตัวผิด
ไหหม่า(海馬)