ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 929 พ่อ อย่ากลับบ้านเลย
ตอนที่ 929 พ่อ อย่ากลับบ้านเลย
ขณะนี้ที่หน้าประตูบ้าน
เฉินเจียวั่งยืนอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าหล่อเหลาดูหม่นหมอง
เขาเพิ่งเลิกงานกลับมา กำลังจะเปิดประตู ก็ได้ยินเสียงแหลมของอาสะใภ้รองดังมาจากด้านในประตู
มือที่ถือกุญแจกำลังไขประตูอยู่ชะงักไปทันที
อารองกับอาสะใภ้รองมาแล้ว เขาไม่อยากเข้าไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิดนั่น
ถ้าเขาเข้าไป แน่นอนว่าจะต้องถูกอาสะใภ้รองพูดจาประชดประชันอีก
ตอนนี้เขาโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว หลังจากฝึกงานมาทั้งวันก็เหนื่อยมากพอแล้ว ไม่มีแรงและเวลามาโต้เถียงกับคนพวกนั้น
เมื่อชีวิตของคนเรามีความสุขและสนุกสนาน ความโกรธแค้นในตัวก็จะลดลง
เหมือนกับเฉินเจียวั่งในตอนนี้ ที่รู้สึกว่าอาสะใภ้รองและคนพวกนั้นช่างไม่มีอะไรน่าสนใจเลย
แทนที่จะเสียเวลาไปทะเลาะเบาะแว้งกับพวกเขา ไปหาแฟนสาวที่โรงเรียนแล้วนัดเดทกันดีกว่า
หรือไม่ก็ไปเยี่ยมหลานชายตัวน้อยที่บ้านพี่ใหญ่
เฉินเจียวั่งกำลังจะหันหลังกลับ แต่แล้วเสียงโกรธเกรี้ยวของคุณปู่ก็ดังลอดออกมาจากประตู
“เธอจะให้ฉันช่วยขอร้องเพื่อรักษางานของเธอเอาไว้เหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!”
เฉินเจียวั่งได้ยินประโยคนั้นของคุณปู่ เขาจึงหยุดฝีเท้าและฟังต่ออีกสักครู่
หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้ยินวังซูเฟินถามคุณย่าว่าพ่อแม่ของเขาจะกลับมาเมื่อใด
เฉินเจียวั่งขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เขามองนาฬิกา ตอนนี้ใกล้หกโมงเย็นแล้ว โดยปกติพ่อของเขาจะปั่นจักรยานกลับจากที่ทำงานช้ากว่าเขาประมาณยี่สิบนาที
ถ้าไม่มีธุระอื่นมาขัดจังหวะ ตอนนี้พ่อของเขาน่าจะมาถึงชุมชนบ้านพักทหารในไม่ช้า
เฉินเจียวั่งถือกระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบใหม่เอี่ยมในมือ เดินอย่างรวดเร็วไปที่ด้านนอกชุมชนบ้านพักทหาร แล้วยืนรออยู่ริมถนน
เฉินเจียวั่งเห็นเขาแล้วรีบโบกมือให้หยุดที่ริมถนน
เฉินเจิ้นเจียงบีบเบรคและเท้าแตะพื้น มองลูกชายแล้วถาม “เจียวั่ง ทำไมไม่กลับบ้าน มายืนทำอะไรตรงนี้?”
เฉินเจิ้นเจียงบอกให้ลูกชายนั่งด้านหลัง “ไปกันเถอะ ขึ้นมาสิ พ่อจะไปส่งหน่อย”
เฉินเจียวั่งยืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าเคร่งเครียด “พ่อ อย่ากลับบ้านเลย”
เฉินเจิ้นเจียงได้ยินคำพูดของลูกชายก็มองด้วยความงุนงง ยิ้มเบาบาง “เป็นอะไรไป? ทำไมไม่ให้กลับบ้าน? แกทำให้ปู่ย่าโกรธหรือ?”
“อารองกับอาสะใภ้รองมาแล้ว” เฉินเจียวั่งตอบ
เฉินเจิ้นเจียงไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจหรือต่อต้านแต่อย่างใด เขายังคงสีหน้าปกติ พูดกับลูกชายอย่างจริงจัง “เจียวั่ง พ่อเข้าใจว่าลูกไม่ชอบอารองกับอาสะใภ้รอง แต่ที่นี่ก็เป็นบ้านของพวกเขาด้วย มีปู่ย่าอยู่ พวกเขามีสิทธิ์กลับบ้านได้ทุกเมื่อ”
ที่ครอบครัวได้อยู่ในชุมชนบ้านพักทหาร ก็เพราะอาศัยบุญคุณของคนแก่
เฉินเจิ้นกั๋วน้องชายของเขาก็เป็นลูกของพ่อแม่เขาเหมือนกัน ถ้าพวกเขาอยากกลับมาก็กลับมาได้ ตราบใดที่คนแก่ไม่ว่าอะไร ครอบครัวของพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรไม่ดี
“พ่อ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผมไม่มีสิทธิ์ห้ามพวกเขากลับมา” เฉินเจียวั่งกลัวว่าอีกสักครู่อารองและอาสะใภ้รองจะตามออกมา เขาจึงอธิบายสถานการณ์อย่างกระชับ “ดูเหมือนว่าอาสะใภ้รองจะเสียงานที่ห้องเต้นรำ หล่อนต้องการให้คุณปู่ไปขอร้องอารองเซี่ย แต่คุณปู่ไม่ตกลง ตอนนี้หล่อนคงกำลังรอให้พ่อกลับไปเพื่อขอความช่วยเหลือ”
“เสียงานเหรอ?” เฉินเจิ้นเจียงสงสัย “ก่อนปีใหม่ไม่ได้บอกว่าทำงานได้ดีเหรอ?”
เฉินเจียวั่งอธิบาย “คงเป็นเพราะห้องเต้นรำที่หล่อนรับผิดชอบขาดทุน อารองเซี่ยเลยไล่หล่อนออก ตอนนี้หล่อนยังไม่ยอมแพ้ ต้องการหาคนช่วยขอร้อง พ่อจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากนี้หรือ?”
เฉินเจิ้นเจียงได้ยินคำพูดของเฉินเจียวั่งก็ขมวดคิ้ว
“ทำไมถึงทำให้ขาดทุนอีกล่ะ?”
เขาปวดหัวเอามือลูบหน้าผาก
พร้อมกับแสดงท่าทีว่า “เรื่องนี้ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่นอน”
เมื่อเฉินเจิ้นเจียงพูดเช่นนี้ เฉินเจียวั่งก็โล่งใจ เขาพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปหาแม่ที่บ้านพี่ใหญ่ บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเขา อาสะใภ้รองคงจะไปขอความช่วยเหลือจากพี่สะใภ้ใหญ่”
“ได้ ไปกันเถอะ”
เฉินเจิ้นเจียงลงจากจักรยาน แล้วพยักหน้าให้เฉินเจียวั่ง “ลูกมาปั่นสิ”
เฉินเจียวั่งมองดูจักรยานคันเก่าที่อายุใกล้เคียงกับเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ “วางจักรยานไว้แล้วเรานั่งรถไปไม่ได้เหรอครับ? ทำไมต้องออกแรงแบบนี้ด้วย? มันไกลนะ”
เฉินเจิ้นเจียงต่อสู้ฝ่าฟันมาหลายสิบปี เขาคัดค้านลัทธิบริโภคนิยมอย่างแข็งขัน “ขี่จักรยานสะดวกกว่า คนหนุ่มสาวไม่ควรคิดแต่จะสนุกสนาน รีบปั่นเถอะ”
เฉินเจียวั่งถูกบังคับให้ขึ้นจักรยาน จึงจำต้องปั่นจักรยาน เฉินเจิ้นเจียงนั่งที่เบาะหลัง พ่อลูกทั้งสองมุ่งหน้าไปบ้านของเฉินเจียเหอ
ขณะเดียวกัน ที่ลานบ้านพักพนักงานโรงงานยานยนต์
“เซี่ยเซี่ย สถานการณ์ก็ประมาณนี้แหละ ฉันเดาว่าป้าวังต้องมาขอร้องเธอแน่ๆ เธออย่าได้ตกลงเด็ดขาดนะ อารองโกรธมาก ถึงขนาดปาของในที่ประชุมเลย”
หลินจินซานนั่งอยู่บนโซฟาที่บ้านของหลินเซี่ย กำลังเล่าเรื่องของวังซูเฟินให้หลินเซี่ยและโจวลี่หรงฟังอย่างละเอียด
“ขาดทุนมากไหม?” โจวลี่หรงฟังหลินจินซานเล่าจบก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ถามเขากลับ
หลินจินซานตอบอย่างจริงจัง “มาก ผมได้ยินนักบัญชีหลิวบอกว่าห้องเต้นรำที่เมืองหนานเฉิงสองเดือนนี้ แม้แต่เงินเดือนพนักงานก็ต้องให้สำนักงานใหญ่ช่วยจ่าย”
“ดูเหมือนอาสะใภ้รองของเขาจะไม่ใช่คนที่เหมาะกับการทำธุรกิจจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวลี่หรง หลินจินซานก็ประเมินอย่างเป็นกลางว่า “ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ปีที่แล้วการบริหารจัดการของหล่อนยังพอใช้ได้ ตอนประชุมปลายปีที่แล้วผมจำได้ว่ากำไรของห้องเต้นรำเมืองหนานเฉิงต่างจากห้องเต้นรำที่ผมรับผิดชอบเพียงเล็กน้อย อารองถึงกับชมหล่อนในตอนนั้น”
ตอนนั้นเซี่ยไห่ยังพูดต่อหน้าพวกเขาว่า แม้วังซูเฟินจะปากร้ายต่อหน้าคนตระกูลเฉิน แต่หล่อนก็มีความสามารถจริงๆ ผู้หญิงวัยกลางคนที่สามารถบริหารห้องเต้นรำได้อย่างเป็นระบบ ถือว่าเก่งมากแล้ว
ผลปรากฏว่าไตรมาสนี้ ห้องเต้นรำเมืองหนานเฉิงขาดทุนอย่างหนัก ถ้าไม่มีห้องเต้นรำอื่นๆ อีกไม่กี่แห่งเป็นหลักค้ำ สถานการณ์แบบนี้ก็แทบจะประกาศล้มละลายได้เลย
“แล้วทำไมถึงขาดทุนล่ะ?” โจวลี่หรงรู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง
ในเมื่อปีที่แล้วบริหารได้ดี ทำไมปีนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
หลินจินซานกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าหล่อนพาคนเข้าฟรีโดยไม่เสียเงิน”
“เซี่ยเซี่ย อารองโกรธมากจริงๆ คราวนี้ เธอลองคิดดู เงินเดือนพนักงานทั้งหมดสำนักงานใหญ่เป็นคนจ่าย สองเดือนนี้เท่ากับทำงานฟรี เธออย่าไปหาอารองเพื่อป้าวังเด็ดขาดนะ” หลินจินซานมองหลินเซี่ยพลางเตือนอย่างจริงจัง
หลินเซี่ยตอบรับว่า “พี่วางใจได้ ถึงหล่อนจะมาหาฉัน ฉันก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”
ไม่ต้องพูดถึงว่าวังซูเฟินมักมีปัญหากับพวกเขาเสมอ ตอนที่เธอแต่งงานกับเฉินเจียเหอใหม่ๆ วังซูเฟินยังดูถูกเธอ พูดจาประชดประชันรังเกียจเธอ
สำคัญที่สุดคือเซี่ยไห่ไล่หล่อนออกเป็นเรื่องงาน หากมีความสามารถไม่พอ เขาก็ต้องเปลี่ยนคนเป็นธรรมดา ไม่ให้หล่อนชดใช้เงินก็ดีแล้ว
ในฐานะที่เป็นหลานสาวของเซี่ยไห่ เธอยังแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ชิดและคนห่างไกลได้อยู่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะช่วยพูดดีให้วังซูเฟิน?
ทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตู
หลินจินซานมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เหลือบมองบานประตูแล้วหันไปมองหลินเซี่ย ถามเสียงเบาว่า “จะเป็นป้าวังมาหาหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยกับโจวลี่หรงก็สบตากัน
“ใครน่ะ?” หลินเซี่ย ตะโกนถาม
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดีที่เจียวั่งยังไม่ไขประตูเข้าไป เลยมาเตือนพ่อได้ทันเวลาก่อน
ทำตัวยังไงให้ญาติพี่น้องหลบหนีราวหนีโรคระบาดละเนี่ยป้า
ไหหม่า(海馬)