ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 93 ไม่ได้ใช้ให้ดูแลถึงบนเตียงเสียหน่อย
ตอนที่ 93 ไม่ได้ใช้ให้ดูแลถึงบนเตียงเสียหน่อย
ตอนที่ 93 ไม่ได้ใช้ให้ดูแลถึงบนเตียงเสียหน่อย
เฉินเจียเหอเห็นชายสามคนนั่งอยู่ในห้อง จึงถามว่า “พวกนายมาที่นี่ทำไม?”
ฟางจิ้นเป่าตอบว่า “สวัสดีปีใหม่ จวิ้นเฟิงบอกว่านายกลับมาแล้ว ฉันก็เลยลางานเป็นพิเศษเพื่อมาหานายถึงที่”
ลู่เจิ้งอวี่เห็นเฉินเจียเหอก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้นว่า “พี่เฉิน พวกเรามีพี่สะใภ้ทั้งที ทำไมถึงไม่เชิญเรามาร่วมโต๊ะแสดงความยินดีเลยล่ะ?”
เฉินเจียเหอเหลือบมองหลินเซี่ยแล้วหัวเราะเบา ๆ “อีกหน่อยเราจะมีงานเลี้ยงฉลองแต่งงานแน่”
“ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้าง? เจิ้งอวี่ วีรกรรมนายที่ฉันได้ยินมาจากเหล่าฟางไม่เบาเลยนี่?”
เมื่อเผชิญการจ้องมองของเฉินเจียเหอ ลู่เจิ้งอวี่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่เฉิน ฉันจริงจังกับงานของฉันมากนะ”
“หยุดลอยชายไปวัน ๆ ได้แล้ว คิดถึงแม่ของนายให้มากขึ้น ขยันหาเงินเพื่อเก็บไว้แต่งงานกับภรรยาซะ”
“เข้าใจแล้ว พี่เฉิน พอเห็นว่าหนุ่มทึนทึกแบบพี่สามารถแต่งงานกับภรรยาที่สวยขนาดนี้ได้ ผมก็มั่นใจในตัวเองขึ้นเป็นกอง อยากแต่งงานกับภรรยาที่สวยเท่าพี่สะใภ้บ้าง”
ฟางจิ้นเป่ามองออกว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทางเหมือนคางคกอยากกินเนื้อหงส์ จึงมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า “ไอ้หนุ่มนี่ ชักจะเรียกร้องเกินไปแล้ว”
“พวกเราอยู่ที่นี่กันมาสักพักแล้ว คนก็ได้เจอสมใจ เราคงต้องขอตัวก่อน”
ฟางจิ้นเปามองหู่จือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หู่จือ ป้าของเธอกำลังคิดถึงเธออยู่พอดี ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาเธอก็มากลับบ้านซะงั้น เขาอยากให้เธอไปนอนค้างที่บ้านสักสองวัน อยากไปหรือเปล่า?”
หู่จือพยักหน้าทันที “ไปฮะ”
หลังจากพูดจบ หู่จือก็เงยหน้าขึ้นและมองเฉินเจียเหอด้วยดวงตาเป็นประกาย “พ่อครับ ผมขอไปนอนค้างและเล่นกับพี่เสี่ยวเป่าที่บ้านลุงฟางได้ไหม?”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “เอาสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยตามลุงฟางกลับไปที่บ้าน”
“หู่จือ มาเร็ว ฉันจะช่วยเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่” หลินเซี่ยพาหู่จือเข้าไปในห้อง ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเก่าออก แล้วสวมเสื้อผ้าตัวใหม่ที่สะอาดเอี่ยม
เป็นอย่างที่หู่จือพูดจริง ๆ เขามีเสื้อผ้าใหม่มากมายเต็มตู้
แม้กระทั่งแจ็คเกตหนังระดับไฮเอนด์หลายตัวก็เก็บอยู่ในตู้ยังไม่ได้แกะป้ายออกเลย
ในขณะที่ช่วยเขาเปลื้องผ้า หลินเซี่ยก็บ่นว่า “มีเสื้อผ้าดี ๆ อยู่เต็มตู้ เธอกลับพอใจจะสวมแค่ชุดลายพรางทหาร มาเถอะ เปลี่ยนไปใส่แจ็กเกตหนังปกขนสัตว์ดีกว่า หากไม่รีบใส่ตั้งแต่ตอนนี้ ปีหน้าคงโตเกินกว่าจะใส่แล้วล่ะ”
หลินเซี่ยสวมแจ็กเกตหนังทับเสื้อสเวตเตอร์ตัวใน แล้วหยิบรองเท้ามาให้อีกคู่หนึ่ง
“ไปค้างบ้านคุณลุงสองวัน หลังกลับมาไว้เราค่อยทำการบ้านที่ครูสั่งแล้วกันนะ”
หู่จือพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม ผมไปค้างแค่สองวันก็กลับมาแล้ว ผมจะไปบอกป้าฟางและพี่เสี่ยวเป่าว่าตอนนี้ผมมีแม่เลี้ยงแล้ว”
หลินเซี่ยลูบหัวเขา แล้วเดินออกมาจากในห้องพร้อมกับกระเป๋าใบน้อย
ลู่เจิ้งอวี่ช่วยถือกระเป๋า ส่วนฟางจิ้นเป่าเอื้อมมือไปอุ้มหู่จือขึ้นมา
“เจียเหอ ฉันขอยืมตัวหู่จือหน่อยนะ ภายในไม่กี่วันจะพากลับมาส่งถึงที่เลย”
“ได้”
“ไปอยู่บ้านลุงก็เชื่อฟังเข้าล่ะ อย่าทะเลาะกับพี่เสี่ยวเป่า”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาดูรักหู่จือกันมาก หลินเซี่ยก็โล่งใจ
เฉินเจียเหอส่งพวกเขาออกไปข้างนอก ฟางจิ้นเป่าเดินเข้ามาหาเขา ถามด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบาว่า “เจียเหอ ฉันสังเกตว่าบ้านของนายว่างเปล่าผิดปกติ นายไม่คิดจะซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าบ้านหลังแต่งงานเลยหรือไง?”
“ทำไมต้องซื้อของพวกนั้นด้วย?”
ฟางจิ้นเป่ามองอีกฝ่ายที่ทำหน้านิ่งเฉยไม่รู้ประสา พูดอย่างระอาว่า “สามสิ่งสำคัญที่ต้องมีเมื่อแต่งงานไง อย่าบอกนะว่านายไม่ได้ซื้ออะไรสักอย่าง? อุตส่าห์ได้แต่งกับสาวสวยทั้งที นายนี่มันจริง ๆ เลย”
“ตอนที่ฉันแต่งงานกับพี่สะใภ้ของนาย จำไม่ได้เหรอว่าตอนนั้นฉันจนมาก? ในบรรดาสามสิ่งสำคัญยุคนั้นอย่างนาฬิกา จักรยาน และจักรเย็บผ้า ขนาดฉันมีเงินพอซื้อแค่จักรเย็บผ้าให้หล่อนเท่านั้นหล่อนยังบ่นฉันจนหูชา แต่ก็ยังดีกว่านายซะอีก นายมันหมาป่าตาขาวที่ไม่มีอะไรเลย”
ในฐานะคนที่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน ฟางจิ้นเป่าสอนประสบการณ์ให้เขาอย่างจริงจัง “นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้ นายแต่งงานทั้งทีแต่กลับไม่สนใจทำอะไรอย่างที่ควรทำเลยเนี่ยนะ หลังจากผ่านไปสักระยะถ้าหล่อนรู้ว่าภรรยาของคนอื่นมีทุกอย่าง คราวนี้หล่อนก็จะวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ใส่ใจของนาย แล้วชีวิตนายก็จะหาความสงบไม่ได้อีก จะนั่งจะยืนในบ้านยังลำบาก โต้เถียงอะไรกับหล่อนก็ไม่ได้ พอตกกลางคืนก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ตักตวงความสุขจากหล่อน”
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางจิ้นเป่า ร่างกายที่สูงโปร่งและทรงพลังของเฉินเจียเหอก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจ
“อีกอย่าง ผู้หญิงเป็นฝ่ายย้ายมาอยู่กับเรา ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เราไม่อาจปฏิบัติต่อภรรยาอย่างเลวร้ายได้ นายแต่งงานแค่ครั้งเดียวในชีวิต การเงินของนายคงไม่ขัดสนเกินกว่าจะจ่ายหรอกมั้ง”
เฉินเจียเหอถามอย่างถ่อมตัว “แล้วสามสิ่งสำคัญในยุคนี้คืออะไร? ขอโทษนะ นี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกของผม ผมไม่มีประสบการณ์จริง ๆ”
ลู่เจิ้งอวี่ตอบอย่างรวดเร็วว่า “ฉันรู้ ฉันรู้ เพื่อนร่วมงานของฉันเพิ่งแต่งงานไปหมาด ๆ สามสิ่งสำคัญที่เขาซื้อเข้าบ้านคือทีวีสี ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า แต่ของพวกนี้มีราคาแพง คนส่วนใหญ่ไม่มีเงินซื้อ น้อยคนที่จะซื้อได้”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินเจียเหอ “เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ช่วยเตือนผม”
บ้านของฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่อยู่ทางเดียวกัน จึงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ในขณะที่ถังจวิ้นเฟิงต้องกลับไปที่บ้านพักในเขตสถานีรถไฟ ต้องมุ่งหน้าไปทิศใต้
หลังจากส่งฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่กลับไปแล้ว ถังจวิ้นเฟิงก็เรียกเขาไว้ “พี่เฉิน พี่ตั้งใจจะอยู่กับแม่สาวน้อยคนนี้ไปตลอดชีวิตจริง ๆ เหรอ?”
“ทำไม?” ใบหน้าของเฉินเจียเหอเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
ถังจวิ้นเฟิงลูบจมูกตัวเอง ไม่กล้ามองหน้าเขา ก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง
“ลูกพี่ลูกน้องฉันมาหาฉันเมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันคิดว่าหล่อนอาจจะยังอยากพัฒนาความสัมพันธ์กับพี่อยู่ หล่อนยังสาวยังสวย แถมยังอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ ฉันเลยอยากจะให้พี่เลือกภรรยาอย่างระมัดระวัง เพราะสุดท้ายแล้วพวกพี่สองคนต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”
“ระหว่างฉันกับถังหลิงมันเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เคยคิดในเชิงนั้นกับหล่อนมาก่อนเลย ในฐานะเพื่อน นายอย่าพยายามเข้าข้างหล่อนดีกว่า อย่าก้าวก่ายความสัมพันธ์ส่วนตัวของฉัน”
ทัศนคติของเฉินเจียเหอแข็งแกร่ง ถังจวิ้นเฟิงจึงโบกมือ “งั้นก็แล้วแต่พี่”
“จริงสิ ถังหลิงเป็นโสดมาหลายปีแล้วเหรอ? หล่อนไม่เข้าตาผู้ชายคนไหนเลยหรือไง?” เฉินเจียเหอมองไปที่ถังจวิ้นเฟิงแล้วถามทันที
วันนั้นตอนอยู่ที่บ้านของครอบครัว เมื่อหลินเซี่ยเล่าเรื่องที่เพื่อนของเธอถูกสวมเขาอย่างกะทันหัน ถังหลิงดูมีสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัวความผิดชัดเจนมาก
หลินเซี่ยเพิ่งจะเล่าเรื่องนี้ได้ไม่นาน หญิงสาวผู้วางตัวหยิ่งยโสก็รีบหาข้อแก้ตัว แล้วจากไปเหมือนคนมีชนักติดหลัง
เฉินเจียเหอรู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องเล่าของหลินเซี่ยมีนัยแอบแฝงบางอย่าง บางทีถังหลิงอาจไม่ได้หลงใหลในตัวเขาถึงขนาดนั้น
ถังจวิ้นเฟิงตอบ “หล่อนบอกฉันแค่ว่าที่ผ่านมาหล่อนไม่เคยลืมนายเลย นายรู้ไหม เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่ของพวกเรา ทำให้เราไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี ครอบครัวของหล่อนอาศัยอยู่นอกเมือง ฉันเลยไม่ค่อยรู้ประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่เฉพาะเจาะจงของหล่อนสักเท่าไหร่”
“ทำไมจู่ ๆ นายถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” ถังจวิ้นเฟิงมองเขาอย่างสงสัย
“เปล่า นายกลับไปได้แล้ว”
“เดี๋ยวสิ ฉันเกือบลืมเรื่องงานไปแล้ว” ถังจวิ้นเฟิงเหลือบมองไปทางประตูรั้วของอาคารพักอาศัย แล้วเดินเข้าไปใกล้เขาพลางกระซิบว่า “ตอนที่เข้าเวรเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนฉันจะเห็นแม่ของหู่จือที่สถานีรถไฟ”
“อะไรนะ?” สีหน้าของเฉินเจียเหอแข็งค้าง “นายจำคนผิดหรือเปล่า?”
ถังจวิ้นเฟิงบอกว่า “ตอนนั้นผู้โดยสารในสถานีพลุกพล่านเกินไป หล่อนหายตัวไปในพริบตา แต่ฉันแน่ใจเลยว่าเห็นหล่อนกำลังเดินควงแขนผู้ชายคนหนึ่งกับตาตัวเอง”
“พี่เฉิน พี่บอกว่าไม่ได้ยินข่าวคราวจากหล่อนมาหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ ๆ หล่อนถึงมาปรากฏตัวที่ไห่เฉิงล่ะ? เป็นไปได้ไหมว่าหล่อนมาตามหาหู่จือ?”
เฉินเจียเหอบอกเขาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ฝากนายจับตามองที่สถานีรถไฟไว้ให้ดี”
ถังจวิ้นเฟิงตอบรับ “อืม พี่เองก็ดูแลเขาให้รัดกุมขึ้นอีกหน่อย ตอนนั้นหล่อนทิ้งลูกตัวเองไปแบบเงียบเชียบได้ ตอนนี้หล่อนก็แอบลักพาตัวหู่จือไปเงียบ ๆ ได้เหมือนกัน”
“รู้แล้ว”
หลังฟังคำบอกเล่าของถังจวิ้นเฟิง อารมณ์ของเฉินเจียเหอก็ซับซ้อนขึ้น
เขาเลี้ยงหู่จือมาเป็นเวลาสี่ปี ถ้าแม่ผู้ให้กำเนิดมาตามหาเขาจริง ๆ เขาจะทำอย่างไรดี?
หลังจากส่งถังจวิ้นเฟิงกลับไปแล้ว เฉินเจียเหอก็ยืนนิ่งงันอยู่พักหนึ่ง
เมื่อคิดถึงสามสิ่งสำคัญที่ต้องซื้อหลังแต่งงาน เขาจึงเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งอยู่นอกประตูอาคารพักอาศัย
หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จเขาก็กลับบ้าน หลินเซี่ยกำลังล้างแก้วน้ำอยู่พอดี เฉินเจียเหอหยิบถุงดำที่เขาหิ้วติดมาจากข้างนอกเดินผ่านประตูเข้าไป แล้วยื่นให้หลินเซี่ย
“ได้มาแล้ว”
“นี่คือ…”
หลินเซี่ยเปิดถุงออกดู
“ผมหาซื้อมาจนได้หลังจากไปเดินดูตามห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง” ใบหน้าหล่อเหลาและเด็ดเดี่ยวของเฉินเจียเหอกลายเป็นแดงเรื่อ
หลินเซี่ยเห็นผ้าอนามัยสองห่อในถุงสีดำ พบว่ามันเหมือนกับของที่เธอซื้อมาเองทุกประการ ก็มองไปที่ชายหนุ่มซึ่งหน้าแดงลามไปถึงใบหู รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
เธอเขย่งปลายเท้า ชะโงกหน้าไปจูบเขาอย่างแรงตรงข้างแก้ม
จากนั้นเธอก็กอดคอเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ “ขอบคุณค่ะ ไม่นึกเลยว่าคุณจะยอมซื้อของพวกนี้ให้ฉันจริง ๆ คงเขินอายน่าดูเลยใช่ไหมคะ?”
ในยุคนี้เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการ ว่าผู้ชายวัยผู้ใหญ่ออกจากบ้านไปหาซื้อสินค้าสำหรับผู้หญิงเป็นเรื่องที่แปลกขนาดไหน
เขากอดเธอตอบเบา ๆ แล้วพูดว่า “ไม่มากหรอก”
เพราะเขายอมควักเงินเพิ่มอีกหนึ่งหยวน และขอให้พนักงานสาวที่หน้าห้างสรรพสินค้าช่วยเป็นธุระไปซื้อมาให้
เขายังไม่ลืมสายตาและสีหน้าตอนที่พนักงานสาวคนนั้นมองเขาเลย
“คุณยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่ปวดแล้วค่ะ” หลินเซี่ยพูดอย่างมีความสุข “จริงสิ ฉันขอเล่าอะไรบางอย่างให้ฟังหน่อย เมื่อกี้นี้พี่สาวจางมาขอให้ฉันช่วยไปซ้อมการแสดงกับพวกหล่อน ฉันเลยตัดสินใจเข้าร่วม และยังได้รับผิดชอบการออกแบบท่าเต้นด้วย ฉันจะนำชื่อเสียงมาสู่โรงงานยานยนต์ของเราให้ได้เลย”
“ตั้งใจซ้อมล่ะ ไว้พร้อมเมื่อไหร่ผมจะมาดู”
เฉินเจียเหอมองหน้าเธอแล้วพูดเบา ๆ “ผมต้องออกไปข้างนอกอีกแล้ว ไว้คืนนี้ผมจะพาคุณออกไปดูหนังนะ”
“ได้ค่ะ ฉันขอตัวไปซ้อมเต้นกับพี่จางและคนอื่น ๆ ก่อน รีบกลับมานะ จะได้กินข้าวมื้อเย็นกันแต่หัววัน”
“ไม่สิ เราออกไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ”
“ได้”
หลังจากเฉินเจียเหอออกไปแล้ว หลินเซี่ยก็ลงไปชั้นล่างเพื่อตามหาพี่สาวจาง
…
เวลานี้ ที่บ้านตระกูลเซี่ย
ร่างสูงของเฉินเจียเหอยืนนิ่งอยู่ที่นั่น มองดูชายชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หลี่ พูดกับอีกฝ่ายว่า “ผู้เฒ่าเซี่ย โปรดเข้าใจผมด้วยครับ”
“จะให้ฉันเข้าใจอะไร?” ชายชราที่สวมชุดคอจีน ใส่แว่นตา หวีเส้นผมที่เรียงตัวเบาบางบนกระหม่อมอย่างพิถีพิถัน มองดูชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ววิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างไม่พอใจ “ฉันแค่บอกเธอว่าผู้หญิงคนนั้นถูกส่งกลับไปอยู่ชนบท หล่อนเพิ่งเคยไปอยู่ในที่แบบนั้นอาจไม่ชินกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ก็เลยขอให้เธอช่วยดูแลหล่อนตอนอยู่ในหมู่บ้านตามสมควร ใครจะไปคิดว่าเธอจะถือโอกาสเอาเปรียบหล่อน ฉันไม่ได้ใช้ให้ดูแลกันถึงบนเตียงซะหน่อย”
ชายชราภูมิฐานด้วยวัยวุฒิคนนี้ เปล่งเสียงพูดประโยคสุดท้ายเหมือนเค้นตะคอกออกมา
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใครคือแม่แท้ๆ ของหู่จือกันหนอ?
พี่เหอช่างเป็นผู้ชายเสียสละ สละความอายไปซื้อผ้าอนามัยมาให้เซี่ยเซี่ยด้วย
ไหหม่า(海馬)