ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 930 สุนัขกัดกัน
ตอนที่ 930 สุนัขกัดกัน
“พี่สะใภ้ใหญ่ เป็นผมกับพ่อเองครับ”
เมื่อได้ยินเสียงของเฉินเจียวั่ง ทั้งสามคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลินเซี่ยลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นเฉินเจิ้นเจียงกับเฉินเจียวั่งยืนอยู่หน้าประตู
หลินเซี่ยถามด้วยความประหลาดใจ “พ่อ เจียวั่ง ทำไมพวกคุณถึงมาล่ะคะ?”
“เชิญเข้ามาก่อนค่ะ”
เมื่อเห็นเฉินเจิ้นเจียงกับเฉินเจียวั่งเข้ามา โจวลี่หรงกับหลินเซี่ยก็พอจะเดาได้บ้าง
“อารองกับอาสะใภ้รองอยู่ที่บ้านใช่ไหมคะ?” โจวลี่หรงถามเฉินเจิ้นเจียง
เฉินเจิ้นเจียงมีสีหน้าเหนื่อยล้า พยักหน้าตอบรับ
พอสายตาเหลือบเห็นหลานชายตัวน้อย ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา
เขาเดินเข้าไปหาเสี่ยวหู่ แล้วย่อตัวลงยื่นมือไปเล่นกับเด็ก “เสี่ยวหู่ คิดถึงคุณปู่ไหม?”
เสี่ยวหู่ตอบอย่างเป็นมิตร “คิดถึง”
ความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเฉินเจิ้นเจียงในตอนนี้ เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่ค่อยชัดเจนและเสียงอ้อแอ้ของหลานชาย ก็สลายไปบ้างแล้ว
เฉินเจิ้นเจียงเล่นกับเด็กพลางตอบคำถามของโจวลี่หรง “ผมยังไม่ทันได้เข้าบ้าน เจียวั่งก็บอกว่าอารองกับอาสะใภ้รองและเฉินเจียหมิงอยู่ข้างใน”
เมื่อได้ยินว่าเฉินเจียวั่งรู้รายละเอียด โจวลี่หรงจึงถามเขาเพิ่มเติม “พวกเราได้ยินจินซานบอกว่าอาสะใภ้รองโดนเถ้าแก่เซี่ยไล่ออก ตอนนี้หล่อนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผมไม่ได้เข้าไปข้างในเหมือนกัน ได้ยินพวกเขาคุยกับคุณปู่ตรงประตู” เฉินเจียวั่งกล่าว “หล่อนอยากให้คุณปู่ออกหน้าขอร้องเพื่อรักษางานของหล่อนไว้ แต่คุณปู่ไม่ยอม ตอนนี้หล่อนจึงจะขอความช่วยเหลือจากพวกพ่อแม่กับพี่สะใภ้ ผมเลยพาพ่อมาหลบมาที่นี่ก่อน แล้วก็จะเตือนพวกแม่ว่าอย่าไปยุ่งกับพวกเขานะครับ”
เฉินเจิ้นเจียงก็แสดงจุดยืนอย่างเข้มงวด “เรื่องนี้ทุกคนอย่าไปยุ่ง ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง”
เขามองไปที่หลินเซี่ย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เซี่ยเซี่ย เธอวางใจได้ ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเขามารบกวนเธอ”
หลินเซี่ยตอบรับเบาๆ “ขอบคุณค่ะพ่อ”
“เมื่อกี้จินซานบอกว่า ปีที่แล้วหล่อนยังบริหารห้องเต้นรำได้ดีอยู่เลย ทำไมปีนี้ถึงขาดทุนหนักขนาดนี้ล่ะ?” โจวลี่หรงรู้สึกว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
เฉินเจียวั่ง ที่ “แอบฟัง” การสนทนาของพวกเขารู้เรื่องนี้ดี
เขาอธิบายว่า “ดูเหมือนเฉินเจียหมิงจะทำผิดกฎหมาย อาสะใภ้รองของผมจึงพยายามช่วยเฉินเจียหมิง ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาหล่อนเลยเชิญคนมาใช้บริการฟรีที่ห้องเต้นรำตลอด ประกอบกับปัญหาของเฉินเจียหมิง หล่อนเลยไม่มีเวลาดูแลจัดการห้องเต้นรำ ซึ่งแน่นอนว่าต้องขาดทุนสิครับ”
โจวลี่หรงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เข้าใจได้แล้ว
“มีลูกชายที่ไม่เอาไหนนี่มันน่าปวดหัวจริงๆ”
เฉินเจิ้นเจียงกับโจวลี่หรงไม่กลัวว่าวังซูเฟินและคนอื่นๆ จะมาขอร้อง อย่างมากก็แค่ด่าพวกเขาสักยก แล้วไล่กลับไป
แต่กลัวว่าทั้งครอบครัวจะมาที่ชุมชนพนักงานรถไฟเพื่อหาหลินเซี่ย
เฉินเจิ้นเจียงคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า “เซี่ยเซี่ย เห็นว่าเธอไม่ได้กลับไปเยี่ยมคุณยายและคนอื่นๆ นานแล้ว เดี๋ยวเธอกลับบ้านแม่กับพี่ชายของเธอนะ หลบไปสักพัก ฉันกลัวว่าอาสะใภ้รองของเธอจะมาที่นี่แล้วทำให้พวกเธอโมโห”
“เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านไปเตือนพวกเขาว่าให้รีบกลับเมืองหนานเฉิง ในเมื่อพวกเขามีขาเป็นของตัวเอง ฉันกลัวว่าพรุ่งนี้พอฉันไปทำงานแล้วพวกเขาจะออกมา ห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่”
โจวลี่หรงก็เห็นด้วย “ใช่ๆๆ เซี่ยเซี่ย ไปเยี่ยมคุณยายกับพ่อแม่ของเธอที่บ้านนะ หลบหน้าไปสักพัก เรื่องที่นี่พวกเราจัดการเอง อย่าให้หล่อนมาทำให้พวกเธอหงุดหงิดเลย”
“ก็ได้ค่ะ”
แม้หลินเซี่ยจะอยากกลับบ้านแม่เหมือนกัน แต่การกลับไปในสถานการณ์แบบนี้ก็ทำให้รู้สึกหนักใจจริงๆ
อยู่บ้านตัวเองแล้วยังต้องออกไปหลบคนอื่น
แต่เธอก็ไม่ชอบติดต่อกับคนแบบวังซูเฟินจริงๆ
โจวลี่หรงมองนาฬิกา พึมพำว่า “ทำไมเจียเหอยังไม่กลับมาอีก”
หลินเซี่ยพูดว่า “เขาจะกลับมาตอนสองทุ่มค่ะ ช่วงนี้ยุ่งมาก”
“เซี่ยเซี่ย งั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
หลินจินซานก็อยากให้น้องสาวได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวเหมือนกัน
“ได้” หลินเซี่ยพยักหน้า “งั้นฉันจะพาเสี่ยวหู่ไปด้วย พรุ่งนี้หู่จือต้องไปเรียน แม่ช่วยไปส่งเขาในตอนเช้าหน่อยนะคะ”
หู่จือกำลังทำการบ้านอยู่ในห้อง พอหลินเซี่ยบอกเขาว่าจะพาน้องชายไปบ้านยาย หู่จือก็มองเธอตาละห้อย บอกว่าอยากไปด้วย
หลินเซี่ยลูบหัวเขา พูดเสียงอ่อนโยนว่า “หู่จือ คราวหน้าแม่ค่อยพาลูกไปนะ ลูกทำการบ้านให้เสร็จก่อน ตอนเช้าไปโรงเรียนจากบ้านจะใกล้กว่า ถ้าไปอยู่บ้านยายตอนเช้าลูกต้องตื่นแต่เช้ามืดนั่งรถไป แล้วจะตื่นไม่ไหว”
หู่จือเชื่อฟังคำพูดของหลินเซี่ยมาก แม้จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบรับอย่างว่าง่าย “งั้นก็ได้ครับ”
หลินจินซานอุ้มเสี่ยวหู่ขึ้นมา ส่วนหลินเซี่ยจัดเก็บเสื้อผ้าของเด็กน้อย แล้วออกไปกับพี่ชาย
ก่อนออกไป เธอก็กำชับโจวลี่หรง “แม่คะ แม่ทำอาหารให้พ่อกับพวกเขากินด้วยนะคะ บอกเฉินเจียเหอด้วยเมื่อเขากลับมา”
“ได้ ไปเถอะ”
เฉินเจียวั่งนั่งไม่ติด ทำท่าจะออกไปพร้อมกับหลินเซี่ยและคนอื่นๆ ด้วย
“เจียวั่ง ลูกจะไปกับพี่สะใภ้ด้วยเหรอ?” เฉินเจิ้นเจียงถามลูกชาย
เฉินเจียวั่งพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน เดินตามหลังหลินเซี่ยออกไป “ผมจะไปนัดแฟน ไม่ได้เหรอครับ?”
“ไอ้เด็กบ้านี่ ปากเก่งขึ้นทุกวันจริงๆ”
เฉินเจิ้นเจียงพูดแบบนั้น แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเอ็นดู
พวกเขารู้สึกปลาบปลื้มจริงๆ ที่ลูกชายสามารถเปลี่ยนไปเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวาได้ขนาดนี้
เมื่อคนรุ่นหลังไปกันหมดแล้ว เฉินเจิ้นเจียงกับโจวลี่หรงก็ไม่มีความกังวลอีกต่อไป เฉินเจิ้นเจียงแนะนำว่าเดี๋ยวก็ต้องกลับบ้าน
การหลบหนีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา
การหลบหนีไม่เจอกัน ก็จะทำให้ครอบครัวของเจ้ารองมีความหวัง
“กินข้าวเสร็จผมจะกลับนะ” เฉินเจิ้นเจียงพูด “ผมจะบอกพวกเขาตรงๆ ว่าไปขอร้องไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย พวกเขาก็จะหมดหวัง”
เขาไม่เคยทำเรื่องที่ขัดกับหลักการ
ไม่ว่าใครจะมาขอร้องหรือขอให้ใช้เส้นสายอะไรก็ตาม เขาก็ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
ไม่ให้มีความหวังใดๆ เลย
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องของวังซูเฟินในครั้งนี้ก็เหลือเชื่อมาก
ถ้าเขาไปขอร้องเซี่ยไห่จริงๆ ก็คงจะโดนเซี่ยไห่ด่าแทบตายแน่
“ได้ คุณกลับไปเถอะ บอกพวกเขาให้ชัดเจน อย่าให้พวกเขารบกวนชีวิตของเซี่ยเซี่ยและคนอื่นๆ เด็ดขาด”
โจวลี่หรงทำอาหารเสร็จแล้ว ตั้งใจจะให้เฉินเจิ้นเจียงกินเสร็จแล้วกลับไปที่ชุมชนบ้านพักทหาร เพื่อไปอธิบายให้ครอบครัวของน้องชายคนรองเข้าใจ
หล่อนผัดอาหารสองอย่างและต้มข้าวต้ม พอวางอาหารบนโต๊ะ หู่จือกับเฉินเจิ้นเจียงก็นั่งลงและหยิบตะเกียบขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เสียงเคาะยังดังอย่างเร่งรีบอีกด้วย
พอได้ยินเสียงเคาะประตูที่ไร้มารยาทนี้ สีหน้าของเฉินเจิ้นเจียงก็เปลี่ยนไปในทันที มองอาหารตรงหน้าแล้วก็หมดอารมณ์อยากกิน
เขาวางตะเกียบลงอย่างโมโห
“คุณปู่ครับ มีคนเคาะประตูนะ” หู่จือลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น ตั้งใจจะไปเปิดประตู
“รอก่อน” เฉินเจิ้นเจียงห้ามหู่จือไว้
โจวลี่หรงที่ถือจานข้าวของตัวเองออกมาจากครัวก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเช่นกัน
คนพวกนี้ อย่างน้อยก็รอให้พวกเขากินข้าวเสร็จก่อนแล้วค่อยบุกเข้ามาสิ
ทำเอาคนอื่นหมดความอยากอาหารเลย
“เหล่าเฉิน อย่างไรก็ต้องกินข้าวนะ สุขภาพสำคัญกว่าเรื่องไหนๆ”
โจวลี่หรงตักอาหารเพิ่มให้หู่จือ แล้วถือชามและตะเกียบของเขาเข้าไปในห้องนอน วางลงบนโต๊ะเล็ก แล้วให้เขานั่งลง “หู่จือ กินข้าวไปนะ เวลาผู้ใหญ่คุยกันก็ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน ตั้งใจกินข้าวล่ะ”
“อ่า ครับ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อยๆ วังซูเฟินยังคงตะโกนเรียกเซี่ยเซี่ยอยู่นอกประตู
โจวลี่หรงจึงจำต้องไปเปิดประตูต้อนรับ
“พี่สะใภ้ใหญ่อยู่บ้านนี้เองเหรอ? ทำไมฉันเคาะเรียกตั้งนานแล้วไม่เปิดประตู”
วังซูเฟินรีบเบียดเข้ามาก่อน จากนั้นตามมาด้วยเฉินเจิ้งกั๋วที่ทักทายโจวลี่หรง
แต่ไร้ซึ่งเงาของเฉินเจียหมิง
คู่สามีภรรยาเดินเข้ามา โจวลี่หรงทักทายเฉินเจิ้งกั๋วที่ดูเหมือนจะเหนื่อยอ่อนด้วยความสุภาพว่า “น้องรอง กินข้าวหรือยัง?”
“ยังไม่ได้กินครับ พวกเรามีเรื่องกลุ้มใจ กินไม่ลง”
วังซูเฟินมองไปรอบๆ ห้องรับแขก แต่ไม่เห็นหลินเซี่ยกับเฉินเจียเหอ จึงถามว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ เซี่ยเซี่ยล่ะ?”
บนโต๊ะอาหารก็ไม่มีชามและตะเกียบของพวกเขา
โจวลี่หรงตอบตามตรงว่า “เซี่ยเซี่ยกลับบ้านแม่ไปแล้ว”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วังซูเฟินก็ไม่กล้าไปตามหาคนที่บ้านตระกูลเซี่ย
เมื่อหลินเซี่ยไม่อยู่ วังซูเฟินจึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับเฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรง “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกคุณต้องช่วยฉันนะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โชคดีเหลือเกินที่เซี่ยเซี่ยหนีไปบ้านแม่ทัน ไม่งั้นได้ปวดหัวกับอาสะใภ้รองแน่ๆ
ไหหม่า(海馬)