ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 932 ดูว่าใครกล้ามาขอร้องแทนวังซูเฟิน
ตอนที่ 932 ดูว่าใครกล้ามาขอร้องแทนวังซูเฟิน
หลินเซี่ยพาลูกชายกลับบ้านแม่ ทำให้ครอบครัวเซี่ยมีความสุขมาก
เซี่ยไห่วันนี้โกรธมากพอแล้ว
เขาเดาว่าวังซูเฟินจะต้องไปหาคนมาช่วยแน่นอน
แต่เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย
แค่อยากดูว่าใครในตระกูลเฉินกล้ามาขอร้องเขาแทนวังซูเฟิน คอยดูว่าเขาจะเชือดกลับหรือไม่
ตอนนี้ได้ยินหลินเซี่ยบอกว่าเฉินเจิ้นเจียงกับโจวลี่หรงกลัวว่าวังซูเฟินจะมารบกวนเธอ จึงให้เธอกลับบ้านแม่เพื่อหลบความวุ่นวาย ส่วนพวกเขาจะจัดการเรื่องของวังซูเฟินเอง เซี่ยไห่ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
เขาแค่นเสียง “ดีที่พ่อแม่สามีเธอยังพอรู้เรื่องรู้ราว ถ้าพวกเขาเข้าข้างวังซูเฟินมาขอร้องฉันล่ะก็ ดูซิว่าฉันจะจัดการพวกเขายังไง”
เซี่ยเหลยมองเซี่ยไห่แวบหนึ่ง แก้ต่างให้ครอบครัวเฉิน “พ่อแม่สามีไม่ใช่คนไม่รู้เรื่องรู้ราวขนาดนั้น”
พวกเขาทั้งสองคนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ มีจิตสำนึกสูง มีหลักการที่แน่วแน่ ไม่มีทางที่จะทำให้ครอบครัวตัวเองลำบากเพราะคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผลของญาติๆ
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด คุณแม่เซี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ “เฮ้อ พี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันแท้ๆ ทำไมถึงได้มีความแตกต่างกันมากขนาดนี้นะ?”
เซี่ยเหลยพูดว่า “นี่อาจจะเป็นความสำคัญของการเลือกภรรยาที่ดีที่คนเขาพูดกันสินะ?”
พูดแล้วก็ไม่ลืมที่จะมองภรรยาของตัวเองด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความรัก
หลินเซี่ยในฐานะลูกสะใภ้ตระกูลเฉินกลับมีมุมมองต่อการวิเคราะห์ของเซี่ยเหลยที่แตกต่างออกไป
“พ่อ นั่นเป็นเพราะพ่อไม่รู้จักอารองของเจียเหอต่างหาก เขาเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนแอมาตั้งแต่ต้น ความสามารถก็ธรรมดามาก มีคนพูดว่านิสัยกำหนดชะตาชีวิต ผู้ชายแบบเขาไม่มีความมุ่งมั่น ไม่มีความรับผิดชอบ มักหลบกินแรงสบายๆ อยู่หลังภรรยาเป็นประจำ
คนเรามีหลายด้าน วังซูเฟินแม้จะน่ารังเกียจ แต่อย่างน้อยหล่อนก็กล้าที่จะลุยและพยายาม อีกทั้งยังขยันหาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรจะเป็นความรับผิดชอบของผู้ชายด้วยซ้ำ”
เซี่ยไห่แสดงความเห็นด้วย “เธอพูดถูกนะ ป้าคนนั้นทำงานได้ดีมากเมื่อปีที่แล้ว หล่อนพอมีความสามารถอยู่บ้าง น่าเสียดายที่นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ครั้งนี้ก็เพราะลูกชายก่อเรื่อง หล่อนเลยต้องจัดการปัดเป่าเรื่องให้ลูก ทำให้เกิดความเสียหาย”
แม้ว่าเซี่ยไห่จะขาดทุนไปไม่น้อยในครั้งนี้ แต่ก็ถือว่าได้กำจัดวังซูเฟินซึ่งเป็นเสมือนเนื้อร้ายออกไปได้ ถึงแม้หล่อนจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ด้วยจริยธรรมที่ต่ำเตี้ยกว่ามาตรฐาน บวกกับลูกชายไม่เอาไหนที่คอยถ่วง ไม่ช้าก็เร็วห้องเต้นรำก็ต้องพังในมือหล่อนอยู่ดี
ทำได้เพียงไล่หล่อนออกเร็วๆ แล้วเปลี่ยนคนมาบริหาร เท่านี้ก็ยังพอจะกู้สถานการณ์ห้องเต้นรำเมืองหนานเฉิงกลับมาได้
เซี่ยไห่พูดกับหลินจินซานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พรุ่งนี้นายไปช่วยเจิ้งอวี่นะ จัดการเรื่องเอกสารให้ฉันให้ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
จำเป็นต้องกำจัดวังซูเฟินออกไปจากห้องเต้นรำ
แต่เดิมแผนของเขาปีนี้คือจะเปิดร้านสาขาเพิ่มอีกหลายแห่งในเมืองหนานเฉิง แต่ตอนนี้กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เงินที่ขาดทุนไปคงไม่สามารถหาคืนมาได้ในเร็ววัน
“เข้าใจแล้วครับอารอง”
หลินจินซานเกรงว่าชุนฟางอยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืนแล้วจะเกิดความหวาดกลัว เขาจึงอยู่ต่ออีกสักพักแล้วค่อยกลับไป
คุณแม่เซี่ยได้ยินเรื่องวุ่นวายในครอบครัวอารองของเฉินเจียเหอแล้ว นางพลันรู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ลูกชายทั้งสองคนของนางมีความคิดเป็นของตัวเองและมีความรับผิดชอบ
ส่วนเซี่ยอวี่ประสบความสำเร็จมากกว่าพี่ใหญ่และน้องชายของหล่อนในบางแง่มุม แต่หล่อนก็ไม่ได้กลายเป็นผู้หญิงที่เหมือนแม่เสือ ในชีวิตแต่งงานหล่อนก็เป็นคนอ่อนโยนและเอาใจใส่มาก
คุณแม่เซี่ยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ
ถ้าลูกไม่ดี ต่อให้พ่อแม่จะทำงานจนเหนื่อยตายก็ไร้ประโยชน์
“พอเถอะ ไม่พูดถึงเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้แล้ว ยังไงพวกเราก็อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลยจะดีกว่า”
หลินเซี่ยถามคุณแม่เซี่ยว่า “คุณย่าคะ อาหญิงจะคลอดเมื่อไหร่? พวกเราไปเยี่ยมอาหญิงวันไหนดีคะ”
“ฉันกับลินดาไปเยี่ยมเมื่อวานแล้ว อีกสองวันจะเข้าโรงพยาบาลไปรอคลอด” คุณแม่เซี่ยกล่าว
หญิงชรายังพูดต่อว่า “อาเขยเธอบอกว่ารอคลอดที่โรงพยาบาลมันรู้สึกสบายใจกว่า และสะดวกด้วย มีหมอคอยดูแล พวกเราก็จะได้วางใจขึ้น”
คุณแม่เซี่ยรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวจริงๆ
มีคำกล่าวที่ว่าผู้หญิงยามคลอดลูกเสมือนเดินผ่านประตูนรก
เซี่ยอวี่มีอายุมากแล้ว คุณแม่เซี่ยในฐานะแม่ย่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกสาว ทำให้ช่วงนี้นางนอนไม่หลับเพราะกังวลทุกคืน
เย่ไป๋บอกว่าจะให้เซี่ยอวี่เข้าโรงพยาบาลก่อนกำหนดเพื่อรอคลอด ตอนแรกเซี่ยอวี่ดื้อรั้นไม่ยอม คุณแม่เซี่ยจึงบุกไปที่บ้านตระกูลเย่เพื่อตำหนิเซี่ยอวี่ และแสดงความเป็นห่วงในฐานะแม่
พอเซี่ยอวี่เห็นใบหน้าแก่ชราของแม่เต็มไปด้วยความกังวล หล่อนก็ไม่กล้าดื้อดึงอีกต่อไป และยอมเข้าโรงพยาบาลเพื่อรอคลอดอย่างว่าง่าย
หลินเซี่ยได้ยินคำพูดของคุณย่าก็รู้สึกสบายใจขึ้น “เป็นแบบนี้พวกเราทุกคนก็สบายใจแล้วค่ะ”
ตอนกลางคืน ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวเข้านอน หลิวกุ้ยอิงกลับวนเวียนอยู่รอบๆ หลินเซี่ยและหลินเยี่ยน ไม่ยอมกลับห้องไปนอน
หลินเซี่ยมองดูหลิวกุ้ยอิงที่ยังไม่ยอมจากไป จึงพูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้มว่า “แม่คะ แม่อยากนอนกับพวกเราหรือคะ?”
“ได้ไหมละ?” ดวงตาของหลิวกุ้ยอิงเป็นประกายขึ้นมาทันที
“แม่คะ ตอนกลางคืนเสี่ยวหู่จะซุกซนนะคะ กลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของแม่”
“สำคัญกว่านั้นคือ รวมเสี่ยวหู่แล้วสี่คน เตียงก็ไม่พอให้นอนนะคะ”
เซี่ยเหลยที่เดินมาเรียกหลิวกุ้ยอิงได้ยินบทสนทนาของแม่ลูกคู่นี้พอดี เขาจึงมองไปที่เสี่ยวหู่ที่กำลังเล่นอยู่บนเตียง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ให้เสี่ยวหู่นอนกับพ่อดีไหม?”
“พ่อคะ ตอนกลางคืนเขาจะร้องไห้นะคะ”
เซี่ยเหลย “ถ้าเขาร้องไห้พ่อก็จะปลอบเอง แม่กับพวกลูกไม่ได้อยู่ด้วยกันนานแล้ว นอนด้วยกันสักคืนเถอะ พ่อเห็นว่าเสี่ยวหู่เป็นเด็กดีมาก เขาคงจะเล่นจนดึก พ่อจะอุ้มเขาไปเล่นที่ห้องพ่อเอง”
เซี่ยเหลยรู้ว่าช่วงนี้หลิวกุ้ยอิงมีเรื่องกังวลใจ
หล่อนคงมีเรื่องในใจมากมายที่อยากคุยกับลูกสาวทั้งสองคน
หลังจากรู้เรื่องที่หลินเยี่ยนจะคบหาดูใจกับลู่เจิ้งอวี่ อารมณ์ของหลิวกุ้ยอิงก็ได้รับผลกระทบ
หล่อนถอนหายใจอยู่ตลอดเวลา
เขาพูดปลอบโยนหล่อนมากมาย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าใด
การได้ระบายกับลูกสาว และให้หลินเซี่ยช่วยปลอบโยน อาจจะทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นบ้าง
เสี่ยวหู่ชอบคุณปู่มาก เซี่ยเหลยก็เก่งเรื่องการเลี้ยงเด็ก ส่วนใหญ่ทำตามคำแนะนำของเซี่ยไห่ เตรียมของเล่นไว้ที่บ้านมากมาย แม้แต่นมผงและอาหารเสริมของเสี่ยวหูก็มีพร้อม
ตอนนี้เซี่ยเหลยอุ้มเสี่ยวหู่ออกไปข้างนอก เสี่ยวหู่ไม่แม้แต่จะมองหลินเซี่ย และตามคุณปู่ไปอย่างมีความสุข
เซี่ยเหลยวางเขาไว้หน้าเตียง วางของเล่นมากมายไว้ตรงหน้า เมื่อเสี่ยวหู่อยากลุกขึ้นเดินสองก้าว เซี่ยเหลยก็ให้เขาเกาะหัวเตียงเดินไปมา แถมยังร้องเพลงทหารให้ฟัง ทำหน้าตลก สรุปคือทำให้เสี่ยวหู่หัวเราะอย่างมีความสุขตลอดเวลา
ปกติเสี่ยวหู่ก็อยู่กับโจวลี่หรงอยู่แล้ว ตอนกลางคืนก็ไม่หาหลินเซี่ย
เด็กที่ถูกห้อมล้อมด้วยความรักก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้ติดแม่คนเดียวตลอดเวลา
หลิวกุ้ยอิงไม่วางใจ จึงแอบไปดูที่ประตูอีกครั้ง เห็นเสี่ยวหู่กับเซี่ยเหลยอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจ เล่นกันอย่างมีความสุขโดยไม่คิดถึงหลินเซี่ยเลย หล่อนก็รู้สึกดีใจและซาบซึ้งใจไปพร้อมกัน
หล่อนนึกถึงภาพตอนเลี้ยงดูหลินเยี่ยนโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่อยู่เดือน หล่อนเลี้ยงลูกคนเดียว หลินเยี่ยนแทบไม่เคยห่างจากอ้อมกอดของหล่อนเลย ตอนนั้นหลินต้าฝูทำงานนอกบ้าน และเพราะลูกคนที่สองเป็นผู้หญิงอีก แม่เฒ่าหลินจึงไม่สนใจหล่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงการมองหน้าเด็กสักครั้ง
หญิงชรายังทำหน้าบึ้งใส่เด็ก พูดจาประชดประชันรังเกียจหล่อน
แม่เฒ่าหลินเป็นคนเสียงดัง หน้าตาดุดัน หลินเยี่ยนเห็นคุณยายก็ร้องไห้ ต่อมาก็ยิ่งขี้อายและเก็บตัว พอเพื่อนบ้านอยากอุ้มสักหน่อย หล่อนก็กลัวคนแปลกหน้า ไม่กล้าออกจากอ้อมกอดของแม่เลย
สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายและกดดันตั้งแต่เด็กทำให้หลินเยี่ยนโตขึ้นมากลายเป็นคนขี้อายและเก็บตัว มักซ่อนตัวอยู่หลังหล่อน ไม่กล้าพูดคุยกับคนอื่นอย่างเปิดเผย
โชคดีที่หลังจากย้ายเข้าเมือง หลินเยี่ยนถูกสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ทำให้ตอนนี้หล่อนร่าเริงกว่าแต่ก่อนมาก
หลินเซี่ยกับหลินเยี่ยนนอนคุยกันบนเตียง จากนั้นหลิวกุ้ยอิงก็เข้ามา ถอดรองเท้าขึ้นเตียง และเล่าเรื่องของหลินเยี่ยนกับลู่เจิ้งอวี่ให้หลินเซี่ยฟัง
“โอ้ ในที่สุดก็คบกันแล้วเหรอ?” หลินเซี่ยนอนอยู่ตรงกลาง หันไปมองหลินเยี่ยนพลางยิ้มล้อเลียน
หลินเยี่ยนรู้สึกอึดอัด จึงหันหน้าหนีไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เรื่องบ้านไหนก็ให้บ้านนั้นจัดการไปค่ะ อย่ามาให้เซี่ยเซี่ยพูดแทนเลย
ได้อยู่กับลูกสาวทั้งคู่แล้ว แม่จะคลายกังวลได้ไหมนะ
ไหหม่า(海馬)