ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 933 การสนทนายามค่ำคืนของแม่ลูกสาวสามคน
ตอนที่ 933 การสนทนายามค่ำคืนของแม่ลูกสาวสามคน
ครั้งสุดท้ายที่แม่ลูกสาวทั้งสามนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน คือตอนที่หลินเซี่ยเพิ่งได้รู้จักพวกเขา
ตอนนี้เธอนอนอยู่ข้างน้องสาว มองแม่ที่นั่งอยู่บนเตียง รู้สึกตื้นตันใจอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม หลิวกุ้ยอิงกลับไม่มีอารมณ์ที่จะเพลิดเพลินในช่วงเวลาส่วนตัวของแม่กับลูกสาว
หล่อนยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับลูกสาวทั้งสอง
“เสี่ยวเยี่ยน วันนี้ลองพูดความคิดของลูกต่อหน้าแม่กับพี่สาวหน่อยซิ”
หลิวกุ้ยอิงนั่งขัดสมาธิบนเตียง มองลูกสาวที่นอนอยู่ตรงนั้น พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าลูกมีแฟนมันจะส่งผลกระทบต่องานไหม? หลังกลับจากการศึกษาต่อ ลูกจะทำงานกับพี่สาวอย่างจริงจัง หรือจะแต่งงานกับลู่เจิ้งอวี่?”
หลินเซี่ยเห็นสีหน้าจริงจังของแม่ เธอจึงหัวเราะและพูดว่า “แม่ ทำไมถึงให้เสี่ยวเยี่ยนเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งล่ะ? มันไม่ขัดแย้งกันนี่คะ”
“เซี่ยเซี่ย มันก็ขัดแย้งกันอยู่บ้างนะ ถ้าลูกเพิ่งกลับมาจากการศึกษาต่อ แล้วจู่ๆ ก็แต่งงานมีลูกไป มันจะไม่รบกวนงานของลูกหรอกเหรอ”
หลิวกุ้ยอิงในฐานะผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วย่อมเข้าใจดีกว่าใครว่าหลังจากแต่งงาน ผู้หญิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบมากแค่ไหน
หลินเยี่ยนมาจากชนบท ไม่สามารถเทียบกับหลินเซี่ยได้
สถานะทางครอบครัวของลู่เจิ้งอวี่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับตระกูลเฉินได้เช่นกัน
คนทั่วไปหลังแต่งงานแล้วมักจะมีสิ่งที่จำเป็นต้องทำมากมาย
ไม่ได้หมายความว่าในตอนนี้วางแผนไว้ดีแค่ไหน อนาคตจะสามารถดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ได้จริง
หลินเยี่ยนรู้ว่าแม่ของตนกังวลเรื่องอะไร จึงรีบแสดงท่าทีว่า “แม่คะ ตอนนี้ฉันยังไม่มีแผนจะแต่งงาน อยากทำงานกับพี่สาวให้ดีก่อน ฉันยังเด็กอยู่นะคะ”
“ลูกยังเด็กอยู่จริงๆ เพิ่งอายุ 20 ปีเอง แม่ก็หวังว่าลูกจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ทำงานกับพี่สาวให้ดี และช่วยเหลือหล่อนด้วย”
สีหน้าของหลิวกุ้ยอิงยังคงเคร่งเครียด หล่อนจ้องมองหลินเยี่ยนและพูดต่อว่า “แต่เสี่ยวลู่คงไม่คิดแบบนี้หรอก เขาแก่กว่าลูก 4-5 ปี ตอนนี้ก็ถึงวัยแต่งงานแล้ว เขาคบแฟนก็คงอยากแต่งงานเร็วๆ เรื่องนี้พวกเธอคุยกันยังไงบ้าง?”
หลินเยี่ยนก้มหน้าพูดเสียงอ่อย “พวกเรายังไม่ได้คุยเรื่องพวกนี้เลยค่ะ”
หลิวกุ้ยอิงไม่พอใจกับคำตอบของหลินเยี่ยนมาก หันไปพูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย ดูเด็กคนนี้สิ ไม่คุยอะไรกับเขาเลย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็คบกับเขาแบบงงๆ”
ตอนหลิวกุ้ยอิงยังสาว หล่อนไม่มีการวางแผน ทำอะไรตามอารมณ์เพราะความรัก ทำให้เสียเปรียบมากในเรื่องนี้ ภายหลังทำให้ทั้งตัวเองและลูกๆ ต้องลำบาก นั่นเป็นบทเรียนที่แลกมาด้วยเลือด
ดังนั้นหลิวกุ้ยอิงจึงระมัดระวังอย่างมากในเรื่องของลูกสาว
หลินเซี่ยรู้สึกว่าหลิวกุ้ยอิงเข้มงวดเกินไปหน่อย เธอยิ้มและพูดว่า “แม่ อย่าตื่นเต้นไปเลย เรามาคุยกันช้าๆ ดีกว่า พวกเขาแค่อยากจะคบเป็นแฟนเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น คนหนุ่มสาวแบบพวกเขาถ้ารักใคร่ชอบพอกันก็ให้คบกันไปก่อน ถ้ารู้สึกว่าเหมาะสมค่อยคุยเรื่องแต่งงาน แม่นี่ พวกเขายังไม่ทันได้คบกันเลย ก็พูดถึงเรื่องแต่งงานเสียแล้ว”
แต่หลิวกุ้ยอิงไม่เห็นด้วยกับความคิดของหลินเซี่ย “การคบเป็นแฟนก็เพื่อแต่งงานไม่ใช่หรือ? เธอจะคบกันแค่ไม่กี่วันแล้วเลิกกันไปหาคนใหม่หรือ นั่นไม่ได้เด็ดขาด”
หลิวกุ้ยอิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวดกับหลินเยี่ยน “วันนี้แม่จะพูดให้ชัดเจนนะ ถ้าลูกตั้งใจจะคบกับเสี่ยวลู่ ต่อไปพวกเธอต้องแต่งงานกัน ไม่อย่างนั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขา เมื่อเสี่ยวลู่มาที่บ้าน ฉันจะพูดกับเขาอีกครั้ง ถ้าพวกเธอแค่อยากคบกันเล่นๆ ก็จงเลิกคิดเถอะ แล้วตั้งใจทำงานกับพี่สาวของลูกซะ”
หลินเยี่ยนตกใจจนลุกขึ้นนั่ง มองหน้าหลิวกุ้ยอิง ใบหน้าขาวซีดเครียดขึงขัง รีบแสดงท่าทีว่า “แม่ ฉันจริงจังนะคะ แน่นอนว่าตั้งใจจะแต่งงาน แต่ฉันแค่หมายความว่าฉันยังเด็ก พวกเราคบกันก่อนแล้วค่อยแต่งงานทีหลัง”
“แม่รู้ความคิดของลูก แต่ลูกยังไม่ได้พูดแบบนี้กับลู่เจิ้งอวี่เลยนี่ ถ้าเกิดเขาคิดว่าพอคบกันแล้วก็จะเริ่มขั้นตอนหมั้นหมายแต่งงาน ตอนนั้นลูกจะทำยังไง? ถ้าปฏิเสธไป แน่นอนว่าเขาที่เป็นหนุ่มใหญ่ครอบครัวรอให้แต่งงานจะรู้สึกว่าลูกไม่น่าเชื่อถือ กำลังหลอกลวงความรู้สึกของเขา ทำให้ต่างฝ่ายต่างเสียเวลา”
ความหมายของหลิวกุ้ยอิงชัดเจนมาก เป็นการให้หลินเยี่ยนพูดกับลู่เจิ้งอวี่ให้ชัดเจนก่อนว่าตอนนี้หล่อนให้ความสำคัญกับอาชีพการงานเป็นหลัก ถ้าเขาเข้าใจและยอมรับได้ค่อยเริ่มคบกัน ไม่อย่างนั้นก็เลิกคิดไปเลย
หลินเซี่ยมองแม่กับน้องสาวนั่งหน้าชนกันบนเตียง ทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียด เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เธอนอนเอนหลัง เอาแขนรองศีรษะ ยิ้มและพูดว่า “แม่ ฉันว่าไม่จำเป็นต้องคิดซับซ้อนขนาดนั้น ปล่อยให้พวกเขาคบกันไปก่อน คบกันสักปีสองปี แล้วค่อยคุยเรื่องหมั้นหมายแต่งงาน รวมๆ แล้วก็ต้องใช้เวลาสักหนึ่งถึงสองปี ตอนนั้นเสี่ยวเยี่ยนก็อายุพอดีจะแต่งงานแล้ว
หลังแต่งงานมีลูกก็ให้ผู้ใหญ่ช่วยเลี้ยงบ้าง เสี่ยวเยี่ยนก็ยังทำงานที่นี่ต่อไป ทั้งครอบครัวและอาชีพการงานก็จะประสบความสำเร็จ ไม่ดีหรือ?”
“แม่พูดอยู่เรื่อยว่าให้เสี่ยวเยี่ยนแต่งงานช้าหน่อย ให้ตามฉันมาทำงาน แล้วแม่อยากให้เสี่ยวเยี่ยนแต่งช้าแค่ไหน? แล้วอยากให้หล่อนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างไร?” หลินเซี่ยมองหน้าหลิวกุ้ยอิง และถามอย่างจริงจัง
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาซักไซ้ของหลินเซี่ย หลิวกุ้ยอิงก็พูดไม่ออกชั่วขณะ ไม่รู้จะตอบอย่างไร
ใช่แล้ว หล่อนหวังให้ลูกสาวประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากแค่ไหนกัน?
ก็แค่หวังให้หล่อนพึ่งพาตัวเองได้ สามารถเลี้ยงชีพตัวเองด้วยความสามารถ และมีสิทธิ์มีเสียงในชีวิตสมรสในอนาคต ไม่เหมือนกับชีวิตที่น่าอับอายของหล่อนในอดีต
หลินเซี่ยพูดต่อว่า “ตอนนี้หล่อนเจอคนที่ถูกใจแล้ว ฉันคิดว่าเสี่ยวลู่เป็นคนไม่เลว พวกเราไม่ควรสละความรักเพื่อสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่การงาน ถ้าพลาดโอกาสไปจริงๆ ต่อให้งานของคุณประสบความสำเร็จแค่ไหน ในใจก็คงจะมีความเสียดายอยู่ดี”
ประเด็นสำคัญคือ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ถ้าเป็น เซี่ยอวี่ ลินดา แบบนั้น เธอคงจะเน้นเรื่องหน้าที่การงานเป็นหลักแน่นอน แต่หลินเยี่ยนน้องสาวของเธอมีนิสัยขี้อายและขลาดเขลา ไม่เหมาะที่จะเดินบนเส้นทางที่เรียกว่าสาวแกร่งนัก
ท้ายที่สุดแล้ว สภาพแวดล้อมตั้งแต่เด็ก นิสัย การศึกษา และประสบการณ์ในทุกด้าน ล้วนส่งผลต่อทิศทางการพัฒนาในอนาคตของคน
หลินเยี่ยนเหมาะที่จะเรียนรู้ทักษะอย่างหนึ่ง มีงานที่มั่นคง และใช้ชีวิตอย่างมั่นคง
แม้หล่อนจะมีความมุ่งมั่น แต่ด้วยนิสัยและความรู้ที่มีอยู่ คงยากที่จะรับผิดชอบงานใหญ่ในระดับผู้นำได้
เธอกับอารองสร้างโรงเรียน ในอนาคตจะรับสมัครผู้มีความสามารถด้านการบริหารมืออาชีพ และจะรับสมัครครูผู้เชี่ยวชาญมาสอนด้วย
หลินเยี่ยนกับชุนฟางแค่สอนวิชาปฏิบัติก็พอ
หรือในอนาคตอาจจะดำเนินกิจการร้านแต่งหน้าเจ้าสาวและทำผมของพวกหล่อนต่อไป
สามารถทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องและใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้
งานแบบนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการแต่งงานและมีลูกของพวกเธอเลย
ดังนั้น หลินเซี่ยจึงไม่อยากให้หลินเยี่ยนต้องสละความรักกับลู่เจิ้งอวี่เพราะงาน
การได้พบผู้ชายที่จริงใจกับหล่อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าพลาดไปก็จะน่าเสียดาย
แต่เธอก็เข้าใจความกังวลของแม่ของเธอดี
ตัวเองเคยเจอเรื่องเลวร้ายมาแล้ว จึงไม่อยากให้ลูกสาวต้องเจอเหมือนกัน
แต่ตอนนี้หลินเยี่ยนมีญาติพี่น้องมากมายคอยปกป้อง ไม่มีทางที่จะปล่อยให้หล่อนต้องเสียเปรียบในเรื่องความรักอย่างแน่นอน
หลิวกุ้ยอิงยังคงรับฟังคำพูดของหลินเซี่ยได้ เธอได้ให้คำแนะนำเล็กน้อย และหลิวกุ้ยอิงก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว
หล่อนก็รู้สึกว่าการวิเคราะห์ของหลินเซี่ยนั้นถูกต้อง
ลู่เจิ้งอวี่เป็นคนหนุ่มที่ดีจริงๆ
ที่จริงแล้วเมื่อคิดอย่างละเอียด สิ่งสำคัญที่สุดในการหาแฟนคือการมีฐานะทางสังคมที่เหมาะสมกัน และต้องเข้ากันได้
ลู่เจิ้งอวี่มาจากครอบครัวธรรมดา แต่มีความทะเยอทะยาน และเป็นคนซื่อสัตย์ นี่ไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกับหลินเยี่ยนหรอกหรือ?
เมื่อหลิวกุ้ยอิงคิดถึงเรื่องนี้ หล่อนก็พยักหน้าในที่สุด “ก็ได้ งั้นก็ฟังพี่สาวลูก ลูกไปศึกษาต่อให้ดีก่อน เมื่อกลับมาแล้วก็ทำงานกับพี่สาวให้ดี แล้วก็คบกับเสี่ยวลู่ไปด้วย เมื่อความสัมพันธ์มั่นคงแล้ว เราค่อยวางแผนขั้นต่อไป ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”
หลิวกุ้ยอิงเห็นด้วยกับการที่หลินเยี่ยนจะคบกับลู่เจิ้งอวี่
หลินเยี่ยนยังคงงงๆ หลินเซี่ยจึงสะกิดหล่อน “รีบขอบคุณแม่สิ ดูแม่ของเราช่างเปิดกว้างจริงๆ สนับสนุนพวกเราทุกอย่าง”
“ขอบคุณแม่ค่ะ แม่ใจดีจังเลย” หลินเยี่ยนพูดอย่างเขินอายและอาย ก้มหน้าพูดเสียงเบา แต่ไม่อาจซ่อนความดีใจไว้ได้
แม้ว่าหลิวกุ้ยอิงจะเห็นด้วยกับการที่หล่อนจะคบกับลู่เจิ้งอวี่ แต่ก็ยังไม่ได้ละทิ้งความคิดของตัวเอง “อย่าเพิ่งรีบขอบคุณแม่ อีกไม่กี่วันให้พาเสี่ยวลู่มาที่บ้าน พวกเราจะคุยกับเขาก่อน ถึงแม้จะรู้จักกัน แต่พวกเราก็ไม่ได้ติดต่อกับเขามากนัก ฉันกับย่าทวดของเธอจะช่วยกันพิจารณาเขาให้เธอก่อน”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่ลองปล่อยลูกสาวดูบ้างค่ะ ฝ่ายชายก็ดูไม่เลยเลยนะ
ไหหม่า(海馬)