ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 935 เถ้าแก่เซี่ยไม่เลี้ยงคนว่างงาน ยิ่งไม่เลี้ยงตัวก่อปัญหา
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 935 เถ้าแก่เซี่ยไม่เลี้ยงคนว่างงาน ยิ่งไม่เลี้ยงตัวก่อปัญหา
ตอนที่ 935 เถ้าแก่เซี่ยไม่เลี้ยงคนว่างงาน ยิ่งไม่เลี้ยงตัวก่อปัญหา
เฉินเจียเหอและโจวลี่หรงต่างไม่พูดอะไร สำหรับวิธีการทำงานอย่างเฉียบขาดของเซี่ยไห่ เฉินเจียเหอเห็นจนชินตาแล้ว
เขามีนิสัยโผงผาง และไม่สนใจรักษาหน้าใครทั้งนั้น
แน่นอนว่าเขาก็สนับสนุนการกระทำของเซี่ยไห่อย่างเต็มที่
จะสนับสนุนเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข
เมื่อมาถึงชุมชนบ้านพักทหาร ในบ้านยังคงมีแต่คู่สามีภรรยาผู้เฒ่าเฉินและครอบครัวของเฉินเจิ้งกั๋ว
เฉินเจิ้นเจียงยังอยู่ในที่ทำงานตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนเฉินเจียวั่งก็ไม่ได้ลงมาจากชั้นบน
ผู้เฒ่าเฉินไม่รู้เรื่องที่เซี่ยไห่ให้วังซูเฟินดำเนินการลาออกในเช้าวันนี้
เมื่อวานเฉินเจียหมิงคอยตามรบเร้าเขาตลอด สารภาพผิด ขอโทษ และทำการตรวจสอบตัวเอง
บอกว่าตัวเองเคยปล่อยตัวเกินไปในเมืองหนานเฉิง อยากให้คุณปู่จัดหางานให้ในเมืองไห่เฉิง เพื่อจะได้อยู่ใกล้ผู้เฒ่า ทั้งทำงานและดูแลรับใช้ผู้ใหญ่ไปพร้อมกัน
เฉินเจียหมิงพูดด้วยความจริงใจ แต่ผู้เฒ่าเฉินกลับไม่รู้สึกประทับใจแต่อย่างใด
เขารู้ดีกว่าใครว่าหลานชายคนนี้มีนิสัยเป็นอย่างไร
ตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แม้จะเป็นหลานแท้ๆ แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้สนิทสนมกันนัก
ประกอบกับวิธีการเลี้ยงดูของวังซูเฟิน ทำให้เฉินเจียหมิงไม่สนิทกับพี่น้องลูกพี่ลูกน้อง แถมยังมองพวกเขาเป็นคู่แข่งในจินตนาการ คอยแข่งขันกันทุกเรื่อง
ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเหมือนกับเป็นศัตรูกัน
ตอนนี้มาพูดจาสร้างความสัมพันธ์แบบนี้ ในใจของคนแก่ก็รู้แจ้งเห็นจริงดี
ผู้เฒ่าเฉินไม่ได้รับปากว่าจะจัดการหางานให้เฉินเจียหมิงในเมืองไห่เฉิง
ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาก็ไม่รู้ว่าเฉินเจียหมิงทำอะไรเป็นบ้าง
คนแก่รู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน
เฉินเจียซิ่งในตอนนี้ได้เดินมาถูกทางแล้ว เขาได้แต่งงานกับภรรยาที่ดีและมั่นคง เริ่มใช้ชีวิตอย่างดี แต่เฉินเจียหมิงยังคงไม่มีความมั่นคง
เมื่อปีที่แล้วทั้งครอบครัวมาที่เมืองไห่เฉิง ดูโก้หรูไม่มีที่ติ ทำท่าเหมือนกลับบ้านอย่างมีหน้ามีตา
ตอนนี้ไม่เพียงแต่เสียงานไป เลิกกับแฟน งานของวังซูเฟินก็ยุ่งเหยิงไปหมด
ผู้เฒ่าเฉินก็แสดงท่าทีของตัวเองต่อหน้าหลานชาย “เฉินเจียหมิง ฉันคิดไปคิดมาแล้ว รู้สึกว่าเธอยังไม่เหมาะที่จะอยู่ในเมืองไห่เฉิง เธอโตมาในเมืองหนานเฉิง คุ้นเคยกับที่นั่น ยังไงก็กลับไปกับพ่อแม่ของเธอที่เมืองหนานเฉิงแล้วหางานทำดีๆ เถอะ เธอเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ต่อไปใช้ชีวิตอย่างจริงจัง อย่าทำอะไรเหลวไหลอีก”
เฉินเจียหมิงรอมาทั้งคืน ไม่คิดว่าจะได้ผลลัพธ์แบบนี้ เขาจึงมองปู่อย่างผิดหวัง อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที เอ่ยด้วยเสียงกร้าว “ปู่ ผมเป็นหลานแท้ๆ ของปู่จริงๆ หรือเปล่า? ปู่ลำเอียงเกินไปแล้วนะ? เรื่องของพี่ชายกับน้องชายปู่สนใจมาก แต่แค่จัดการงานให้ผมปู่ยังไม่ยอมเลย”
ท่าทีของเฉินเจียหมิงที่มีต่อคนแก่อย่างเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือจากเมื่อวาน ทำให้ผู้เฒ่าเฉินที่ถูกเขาบ่นใส่ทั้งโกรธและผิดหวัง “พี่ชายกับน้องชายของเธอไม่เคยทำให้ฉันลำบากใจเรื่องงานเลย ฉันก็ไม่เคยทำอะไรที่ขัดกับหลักการเพื่อพวกเขา”
“งานของเฉินเจียซิ่งไม่ใช่ว่าปู่จัดการให้หรอกหรือ?” เฉินเจียหมิงสีหน้าบึ้งตึง มองผู้เฒ่าเฉินถามอย่างคาดคั้น
“ไม่ใช่”
เฉินเจียวั่งก็อยู่บ้านเมื่อคืน วันนี้เขาตั้งใจลางานพิเศษ ก็เพื่อจะดูว่าคนพวกนี้ตั้งใจจะทำอะไรที่บ้านกันแน่
เขากลัวว่าปู่ย่าแก่แล้ว อาจถูกคนหลอกให้ทำเรื่องผิดๆ ได้ง่าย
ก่อนหน้านี้เขามักจะหลบหน้าวังซูเฟิน กลัวว่าหล่อนจะสะกิดแผลเก่าของตัวเอง
แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่อ่อนแอและบอบบางอีกต่อไป
เขาเติบโตเป็นลูกผู้ชายตัวจริงแล้ว
เขาตื่นสายในตอนเช้า ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมในห้องนั่งเล่น จึงเดินลงบันไดอย่างเกียจคร้าน “เฉินเจียหมิง นายจะทำอะไร?”
เฉินเจียหมิงชำเลืองมองเฉินเจียวั่ง แล้วแค่นเสียงอย่างเย็นชา “คุณปู่ก็ลำเอียงเข้าข้างพวกนายเกินไปแล้ว ยังไม่ให้ฉันพูดอีก?”
“มันเป็นเพราะนายไม่มีความสามารถ ทำตัวเองให้แย่ จะโทษคนอื่นไม่ได้หรอก คุณปู่ลำเอียงเข้าข้างฉัน เพราะท่านชอบคนที่ขยันพยายามและมีนิสัยดี”
ตอนที่เฉินเจียวั่งเดินลงบันได เขาก็ตั้งใจถือใบประกาศเกียรติคุณของตัวเองมาด้วย แล้วเปิดให้ดูทันที “เห็นนี่ไหม? นี่คือใบประกาศรางวัลจากการแข่งขันสถาปัตยกรรมของประเทศ M”
“อันนี้คงไม่ใช่เพราะคุณปู่ลำเอียงใช้เส้นสายให้ฉันได้มาหรอกนะ?”
เฉินเจียวั่งโต้ตอบด้วยการอวดใบประกาศต่อหน้าครอบครัวของพวกเขา เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนเห็นอย่างชัดเจน
“เฉินเจียหมิง ถ้านายยังมีหน้าอยู่ ก็ไม่ควรพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่ ไปสำรวจตัวเองก่อนเถอะ”
หลังจากที่เขาดุด่าเฉินเจียหมิงเสร็จแล้ว เขาก็หันไปมองวังซูเฟิน “อีกอย่างนะ อาสะใภ้รอง ถึงตอนนี้แล้วยังไม่ไปดำเนินเรื่องลาออกอีกหรือครับ?”
คำพูดของเฉินเจียวั่งทำให้สีหน้าของวังซูเฟินยิ่งดูแย่ลงไปอีก
แน่นอนว่าหล่อนไม่ได้ลืมเรื่องที่ต้องไปดำเนินการเช้านี้ แต่หล่อนเพียงยังลังเลที่จะออกไป ในใจยังคงหวังลมๆ แล้งๆ
หล่อนยังหวังว่าคนแก่จะเปลี่ยนใจ ช่วยพูดแทนตนสักหน่อย
ให้เรื่องนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
แต่ตอนนี้ คุณปู่โกรธเฉินเจียหมิงเสียแล้ว หล่อนคิดจะพูดเรื่องของหล่อนก็ไม่มีโอกาส
เฉินเจิ้นเจียงกับโจวลี่หรงก็คงหวังพึ่งไม่ได้แล้ว
หลินเซี่ยก็หลบหน้าหายไป
สุดท้ายหล่อนก็คิดว่าคงต้องพึ่งคนแก่เท่านั้น
ถึงอย่างไรเฉินเจิ้งกั๋วก็เป็นลูกชายของพวกเขา พวกเขาคงต้องคำนึงถึงความเป็นความตายของลูกชายบ้างสิ?
“แกจะมายุ่งเรื่องของแม่ฉันได้ยังไง?” เฉินเจียหมิงจ้องมองเฉินเจียวั่งด้วยสายตาดุดัน
วังซูเฟินดึงแขนเฉินเจียหมิงแล้วพูดว่า “เจียหมิง แกพูดน้อยลงหน่อย”
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาปะทะคารมกับเฉินเจียวั่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินเจียวั่งในตอนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ลูกชายของพวกเขาจะเทียบได้
เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย ฝึกงานที่สถาบันสถาปัตยกรรม และยังได้รับรางวัลจากต่างประเทศ
อนาคตสดใส
ในขณะที่เฉินเจียหมิงไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย
เคยติดคุกมาครั้งหนึ่ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีงานทำ
จริงๆ แล้วการที่ครอบครัวของพวกเขามาที่นี่ครั้งนี้ นอกจากหล่อนจะมาประชุมแล้ว ก็หวังว่าลูกชายจะได้สานสัมพันธ์กับลูกพี่ลูกน้องบ้าง
แม้ว่าพวกเขาจะคิดเสมอว่าลูกชายของตัวเองเยี่ยมที่สุดก็ตาม
แต่หากไม่คำนึงถึงความเห็นแก่ตัว ก็ต้องยอมรับว่าพี่น้องสามคนของเฉินเจียเหอตอนนี้ประสบความสำเร็จไม่เลว
ลูกชายของพวกเขาต้องการเส้นสายเหล่านี้
“พ่อ เจียหมิงก็แค่อยากอยู่ในเมืองไห่เฉิงเพื่อดูแลพ่อกับแม่ พอพ่อไม่เห็นด้วย เขาก็เลยกังวลและอารมณ์พลุ่งพล่าน พ่ออย่าไปใส่ใจเลย”
“เรื่องงานของเจียหมิงเอาไว้ก่อน เดี๋ยวเราค่อยๆ ปรึกษากันทีหลังก็ได้ค่ะ” วังซูเฟินพูดพร้อมรอยยิ้มเสแสร้งอย่างกระตือรือร้น ตั้งใจจะจัดลำดับความสำคัญ แก้ปัญหาของตัวเองก่อน
“พ่อ ฉันขอร้องละ พ่อช่วยฉันหน่อย ช่วยรักษางานของฉันไว้ได้ไหม? ถ้าฉันไม่ได้ทำงานที่ห้องเต้นรำ ครอบครัวเราก็จบเห่แล้ว เงินที่ขายร้านไปก็ให้เฉินเจียหมิงเอาไปทำธุรกิจจนขาดทุนหมด ตอนนี้ครอบครัวเราต้องพึ่งพาเงินที่พวกเราทำงานหาเท่านั้น”
ทรัพย์สินทั้งหมดก็ขาดทุนไปหมดแล้ว
หล่อนกลัวว่าพ่อสามีจะไม่ยอม ดวงตาเคลื่อนไหวเล็กน้อย เริ่มบ่นถึงความยากลำบาก เพื่อให้คนแก่รู้สึกผิด “ลูกชายของพ่อเงินเดือนแค่ร้อยกว่าหยวนเอง ช่วงนี้สถานการณ์ในโรงงานก็ไม่ค่อยดี ได้ยินว่าคนจำนวนมากต้องถูกเลิกจ้าง พ่อก็รู้นะ ความสามารถในการทำงานของเขา ถ้ามีการปลดคนงาน เขาต้องเป็นกลุ่มแรกแน่ๆ แล้วครอบครัวเราจะอยู่กันยังไง?”
เฉินเจิ้งกั๋วผู้ “ไม่มีความสามารถในการทำงาน” ยืนอยู่ตรงนั้น ได้ยินภรรยาของเขาบ่นถึงเขา ก็กลอกตาอย่างไม่พอใจ
แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
วังซูเฟินพยายามโน้มน้าวความคิดของคนแก่ต่อไป “พ่อ ฉันมีความสามารถในการทำงานนะ เรื่องนี้เถ้าแก่เซี่ยก็ยืนยันได้ ปีที่แล้วเขายังชมฉัน ให้โบนัสฉันด้วย ครั้งนี้ฉันก็ไม่มีทางเลือก ก็เพราะลูกชายที่ไม่เอาไหนคนนี้นี่แหละ”
“ต่อไปฉันจะต้องบริหารจัดการห้องเต้นรำให้ดี……”
วังซูเฟินพูดด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง
คุณย่าเฉินได้ยินว่าครอบครัวลูกชายคนรองกำลังเผชิญกับการตกงานทั้งหมด นางก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที
ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นลูกชายและลูกสะใภ้ของตัวเอง ถ้าทุกคนในครอบครัวตกงาน แล้วจะใช้ชีวิตกันอย่างไร?
หญิงชราใจอ่อนลงแล้ว
นางมองไปที่สามีของตัวเอง อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก
วังซูเฟินมีสายตาเฉียบคม หล่อนสังเกตเห็นสีหน้าของหญิงชราแล้วก็รีบเข้าหา คล้องแขนหญิงชราไว้ “แม่คะ ช่วยพูดกับพ่อหน่อยนะคะ ถ้าเรื่องนี้พ่อไม่ออกหน้า ก็ไม่มีใครช่วยฉันได้แล้ว พวกเราจะอยู่กันไม่ได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราสามคนก็จะอยู่ที่เมืองไห่เฉิง พวกเราเป็นลูกหลานของพ่อแม่ พ่อแม่คงไม่ปล่อยให้พวกเราหมดหนทางหรอกนะคะ”
“นี่……” คุณย่าเฉินกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเองเสียงไขกุญแจเปิดประตูก็ดังมาจากทางเข้า
โจวลี่หรงเปิดประตูเข้ามา ตามด้วยเฉินเจียเหอและเซี่ยไห่
เมื่อเห็นเซี่ยไห่เดินเข้ามา คู่สามีภรรยาผู้เฒ่าตระกูลเฉินต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ
ส่วนวังซูเฟินมีดวงตาเป็นประกายวาววับ
หล่อนคิดว่าการที่เถ้าแก่เซี่ยมาในเวลานี้ เรื่องราวน่าจะมีทางพลิกผัน
วังซูเฟินรีบดึงแขนเฉินเจิ้งกั๋ว สามีภรรยาทั้งสองเดินเข้าไปหา ยิ้มประจบและทักทายเซี่ยไห่
เซี่ยไห่เมินเฉยต่อความกระตือรือร้นของวังซูเฟิน เขาเดินตรงไปหาคู่สามีภรรยาผู้เฒ่า ทักทายพวกเขาอย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณลุงเฉิน สวัสดีครับคุณน้าเฉิน”
“เซี่ยไห่มาแล้วหรือ? เชิญนั่งเร็วเข้า”
เพราะคู่สามีภรรยาลูกชายคนรองที่ไร้ยางอายคู่นี้ ผู้เฒ่าเฉินจึงรู้สึกอับอายขายหน้าต่อหน้าเซี่ยไห่
ตอนนี้พวกเขาจึงยิ้มแหยๆ อย่างเก้อเขิน เชิญให้เซี่ยไห่นั่งลง
“พี่สาววัง เมื่อวานไม่ได้ตกลงกันแล้วหรือว่าวันนี้จะไปจัดการเรื่องลาออก? ทำไมคุณถึงไม่ไป?” เซี่ยไห่นั่งลงบนโซฟา มองวังซูเฟินที่ยืนอยู่ตรงนั้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เถ้าแก่เซี่ย ฉันยังหวังว่าคุณจะให้โอกาสฉันอีกสักครั้ง คราวนี้ฉันจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่แน่นอน”
สำหรับคำพูดของวังซูเฟิน เซี่ยไห่ยังคงไม่สนใจ
เขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
วังซูเฟินมีสีหน้ากระวนกระวาย ขยิบตาให้ผู้เฒ่าเฉิน “พ่อ พูดอะไรสักหน่อยสิคะ”
ผู้เฒ่าเฉินยังไม่ทันเอ่ยปาก เซี่ยไห่ก็รีบพูดขัดขึ้นมาก่อน “ลุงเฉิน เรื่องนี้คุณไม่ควรเข้ามายุ่ง ผมจะไม่เกรงใจใครทั้งนั้น”
“ตอนแรกผมตกลงเพราะเห็นแก่หน้าอาสะใภ้รองของเจียเหอ แล้วผลเป็นยังไงล่ะ?”
เซี่ยไห่ยักไหล่ แล้วหัวเราะเยาะ “ทำให้ผมต้องมาจัดการกับความยุ่งเหยิงนี่”
เฉินเจิ้งกั๋วดึงเฉินเจียเหอไปด้านข้าง กระซิบเบาๆ “เจียเหอ แกช่วยพูดกับเถ้าแก่เซี่ยหน่อยสิ สถานการณ์ครอบครัวเราตอนนี้ไม่ค่อยดีเลย ฉันกำลังจะตกงาน เจียหมิงก็เพิ่งตกงานไป อาสะใภ้รองของแกไม่ควรตกงานอีกคนนะ”
“อารอง เถ้าแก่เซี่ยไม่เลี้ยงคนว่างงาน ยิ่งไม่เลี้ยงคนที่สร้างปัญหา”
เฉินเจิ้งกั๋วพูดกระซิบ แต่เฉินเจียเหอกลับพูดเสียงดัง
เฉินเจิ้งกั๋ว “!!!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มาได้ทันเวลาพอดีเลยเซี่ยไห่ ตัดทางหนีทีไล่ของยัยป้านี่หมดเลย
ไหหม่า(海馬)