ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 938 ฉันแกล้งทำ
ตอนที่ 938 ฉันแกล้งทำ
วันรุ่งขึ้น เซี่ยไห่ก็พาลู่เจิ้งอวี่ไปที่ห้องเต้นรำในเมืองหนานเฉิง เพื่อจัดการใหม่ทั้งหมด
ส่วนครอบครัวของเฉินเจิ้นกั๋วยังคงอยู่ที่ชุมชนบ้านพักทหาร ไม่ยอมหยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
อย่างน้อยก็ต้องให้เฉินเจียหมิงได้ตั้งรกรากในเมืองไห่เฉิง
วังซูเฟินสูญเสียงาน ลูกชายก็ว่างงานอยู่ ทั้งครอบครัวสามคนจึงตัดสินใจอาศัยอยู่ในเมืองไห่เฉิง
เฉินเจิ้นกั๋วกำลังเผชิญกับการถูกเลิกจ้าง ก็เริ่มปล่อยตัวตามภรรยาและลูกชาย
พอตื่นเช้ามา สองสามีภรรยาก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น พอคนแก่ออกมาจากห้องนอน พวกเขาก็เริ่มผลัดกันอ้อนวอนพยายามโน้มน้าวคนแก่
ผู้เฒ่าเฉินแทบจะโมโหตายเพราะพวกเขา
เขายังคงยืนกรานท่าทีแข็งกร้าว “ฉันบอกพวกเธอแล้วว่าฉันไม่มีทางจัดหางานอะไรให้พวกเธอได้ ฉันไม่มีความสามารถนั้นแล้ว และฉันก็จะไม่ทำอะไรที่ขัดกับหลักการของฉัน”
เฉินเจิ้นกั๋วทำหน้าบึ้งตึง บ่นว่า “พ่อ แค่พูดคำเดียวเท่านั้นเอง พ่อจะปล่อยให้ครอบครัวเราสามคนหมดหนทางเลยหรือ?”
วันนี้เฉินเจียหมิงก็อยู่ที่บ้านด้วย ซึ่งเป็นเรื่องแปลก
เฉินเจียหมิงไม่ค่อยอยู่บ้าน เขามักจะออกไปเที่ยวตั้งแต่เที่ยงและกลับมานอนตอนกลางคืน
ส่วนเรื่องงาน เขาแค่รอให้พ่อแม่ของเขาโน้มน้าวคุณปู่ให้จัดการให้
เมื่อสองวันก่อน เฉินเจิ้นเจียงแค่เตือนคุณปู่เป็นการส่วนตัวว่าอย่าตกลงอะไรกับพวกเขา
แต่เขายังคงมีท่าทีที่ดีต่อครอบครัวของเฉินเจิ้นกั๋ว
นี่เป็นบ้านของคุณปู่ ถ้าครอบครัวลูกชายคนรองอยากอยู่ก็อยู่ได้ การอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ก็ถือเป็นการกตัญญู
แต่ตอนนี้…
ครอบครัวหน้าด้านพวกนี้กำลังบีบบังคับพ่อตัวเองอย่างไร้ยางอาย
เห็นได้ชัดว่าวันนี้สีหน้าของคุณปู่ดูแย่กว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน รอบดวงตาเป็นร่องลึก ดูไม่มีชีวิตชีวาเลย
เฉินเจิ้นเจียงรู้สึกว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจำเป็นต้องออกหน้าเข้าไปแทรกแซงแล้ว
“พี่ใหญ่ พี่พูดง่ายเพราะไม่ต้องเจ็บปวด ตัวพี่เองก็มีชามข้าวเหล็ก ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ลูกๆ ก็มีครอบครัวและอาชีพการงานกันหมดแล้ว พี่เคยคิดถึงชีวิตของฉันบ้างไหม?” เฉินเจิ้นกั๋วแต่ก่อนเคยใจเย็น แต่ตอนนี้คำพูดของเขาแฝงไปด้วยความอิจฉา
“เส้นทางชีวิตของพวกนายก็เดินกันมาเอง จะโทษใคร?”
วังซูเฟินหน้าตาบิดเบี้ยว เบียดเฉินเจิ้นกั๋วออก ขมวดคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “พวกเราไม่คุยกับพี่หรอก พี่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ถือว่าเก่งนักสินะ ครอบครัวของเราเคยหวังพึ่งพี่ตอนไหน? อะไรก็พึ่งไม่ได้ มีแต่จะทำหน้าบึ้งมาดุด่าพวกเรา”
เฉินเจิ้นกั๋วเสริม “ใช่ ผมที่เป็นน้องชายก็ไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไรจากพี่เลย”
คำพูดของเฉินเจิ้นกั๋วทำให้เฉินเจิ้นเจียงทั้งโกรธและเจ็บปวด
เขาหน้าตาบึ้งตึง แล้วหัวเราะเยาะ “ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่นี้ไป เราตัดขาดความสัมพันธ์พี่น้องกัน ต่อไปอย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีก”
พวกคนไร้สำนึกบุญคุณพวกนี้
เฉินเจียวั่งช่วงนี้กลับบ้านเร็วตลอด เมื่อครู่เพิ่งขึ้นไปวางของบนชั้นบน พอได้ยินเสียงพ่อกลับมา เขาก็วิ่งลงมาจากชั้นบนทันที
พอลงมาถึงชั้นล่าง ก็ได้ยินคำพูดของคุณปู่
“หลายปีมานี้ ฉันก็ไม่เคยพึ่งพาแกเลยสักนิด ฉันแค่หวังว่าครอบครัวของพวกแกจะใช้ชีวิตกันอย่างดี ไม่ได้คาดหวังให้แกกตัญญูต่อพวกเรา หรือเลี้ยงดูพวกเราตอนแก่”
“แกอายุห้าสิบแล้ว ดูสิว่าพวกแกเป็นยังไงบ้าง? สั่งสอนลูกไม่ดี ตัวเองแก่ปูนนี้แล้วยังไม่รู้จักความเป็นจริง ใช้ชีวิตมาเปล่าๆ ทั้งนั้น”
“บอกว่าแกเป็นลูกชายฉัน ฉันอับอายจริงๆ”
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับแก พวกแกออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ถึงฉันตาย แกก็ไม่ต้องมาไว้ทุกข์ให้ฉัน”
ผู้เฒ่าเฉินหน้าแดงก่ำ คอปูด อารมณ์พลุ่งพล่านมาก
คนแก่ผิดหวังอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่เฉินเจิ้นกั๋วกลับไม่มีทีท่าจะสำนึกผิด ยังเถียงกลับ “ไม่ไว้ทุกข์ก็ไม่ไว้ ฮึ”
“แก… ดี ดีมาก!” เขาหายใจหอบเพราะความโกรธ
เฉินเจียวั่งรีบเข้าไปประคองเขาไว้ “คุณปู่ อย่าตื่นเต้นไปเลยครับ พวกเขาไม่คุ้มค่าให้คุณปู่ต้องเป็นแบบนี้หรอก”
ผู้เฒ่าเฉินถูกเฉินเจียวั่งประคองไว้ เขาสูดหายใจลึก ดวงตาจ้องมองเฉินเจิ้นกั๋วอย่างดุดัน พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “พวกแกไสหัวไปซะ อย่ากลับมาอีก ฉันไม่มีลูกชายไร้ยางอายแบบแก”
“จะไสหัวไปเองหรือให้ฉันไล่ออกไป?”
สีหน้าของผู้เฒ่าเฉินดูย่ำแย่มาก ลมหายใจเริ่มถี่ขึ้น เฉินเจียวั่งรีบพาคนเฒ่าไปนั่งที่โซฟา เขาพูดอย่างรีบร้อน “พ่อครับ ความดันคุณปู่ดูเหมือนจะสูงขึ้น คุณย่าช่วยหายามาเร็ว”
คุณย่าเฉินเพิ่งเข้าไปในห้องนอน เฉินเจิ้นเจียงก็ลนลานยื่นน้ำให้คนแก่ แต่แล้วผู้เฒ่าเฉินก็หลับตาลงและเป็นลมไปทันที
ร่างทั้งร่างล้มลงบนโซฟา เฉินเจิ้นเจียงและคนอื่นๆ ตกใจมาก “รีบไปเรียกคนขับรถ พาคุณปู่ไปโรงพยาบาลเร็ว”
เฉินเจียวั่งก็ตกใจจนงงไปชั่วขณะ เขาตอบรับแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
เฉินเจิ้นเจียงตะโกนใส่สามคนสัตว์เดรัจฉานที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก? จะยืนดูพ่อโกรธจนตายต่อหน้าต่อตาเลยหรือไงถึงจะพอใจ?”
เฉินเจิ้นกั๋วเห็นคนแก่หมดสติล้มลง เขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก อยากจะเข้าไปแตะตัวคนแก่ดู แต่เฉินเจิ้นเจียงไม่ให้โอกาสเลย
เขาคำรามเสียงต่ำ “อย่าเข้ามา ถ้าไม่ไปเดี๋ยวนี้ฉันจะแจ้งตำรวจ”
เฉินเจิ้นกั๋วกับวังซูเฟินกลัวว่าจะเกิดเรื่องถึงชีวิต ก็ไม่กล้าทำอะไรอีก
สำคัญที่สุดคือดวงตาของเฉินเจิ้นเจียงแดงก่ำ ทั้งตัวเหมือนสัตว์ป่าที่โกรธจัด ถ้าพวกเขาไม่ไปตอนนี้ เกรงว่าเฉินเจิ้นเจียงจะฆ่าพวกเขาจริงๆ
วังซูเฟินเห็นผู้เฒ่าเฉินหมดสติล้มลงบนโซฟา รีบถอยหลังสองก้าว ดึงแขนเฉินเจียหมิง “พวกเราไปกันเร็ว ไม่งั้นจะไปไม่ได้แล้ว”
ถ้าคุณปู่ตายจริงๆ เพราะโกรธพวกเขา ด้วยวิธีการของเฉินเจิ้นเจียง พวกเขาจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตและติดคุกแน่
หล่อนอยากจะพูดอะไรดีๆ เพื่อปลอบอารมณ์คนแก่ แล้วอยู่ต่อ
หล่อนนึกเสียใจที่ตัวเองใจร้อนเกินไปเมื่อครู่ พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น
วังซูเฟินกับเฉินเจียหมิงแอบหลบออกไป
เฉินเจิ้นกั๋วเห็นพ่อหมดสติ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น พร่ำพูดอย่างสับสน “พ่อครับ อย่าเป็นอะไรไปนะ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ ต่อไปผมจะไม่มาทำให้พ่อโกรธอีกแล้ว พ่อต้องไม่เป็นอะไรนะครับ”
“ไสหัวไปซะ พ่อเกือบตายเพราะแกแล้ว แกยังจะเอาอะไรอีก ไอ้น้องชาติหมา ฉันจะไม่ปล่อยแกไปง่ายๆ”
เฉินเจิ้นเจียงอารมณ์เสียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง เฉินเจิ้นกั๋วตกใจจนต้องถอยออกไปอย่างหวาดกลัว
เฉินเจียวั่งเรียกคนขับรถกลับมาแล้ว
แต่หลังจากเฉินเจิ้นกั๋วและคนอื่นๆ ออกไป ชายชราบนโซฟาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เขามองชายชราแล้วพูดด้วยความเป็นห่วง “พ่อครับ เมื่อกี้พ่อเป็นลมไป เราต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลนะครับ”
ผู้เฒ่าเฉิน “ฉันแกล้งทำ!”
เฉินเจิ้นเจียง “!!!”
เฉินเจียวั่ง “…….”
“คุณปู่ครับ ท่านทำให้พวกเราตกใจแทบตายเลย”
แม้ว่าผู้เฒ่าเฉินจะบอกว่าเมื่อครู่นี้ท่านแกล้งทำ แต่สีหน้าของคนแก่ก็ดูไม่ดีจริงๆ
ถูกครอบครัวนั้นทำให้โมโหไม่น้อย
การหายใจหอบเมื่อครู่นี้ก็เป็นเรื่องจริง
เพียงแต่ว่า คนแก่ฉลาดหลักแหลม ในตอนที่ตัวเองกำลังจะโมโหจนแทบตาย จึงเลือกที่จะแกล้งเป็นลม
ถ้าไม่ทำแบบนี้ ป่านนี้คงจะเป็นลมจริงๆ แล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ในเมื่อสอนไม่ได้ก็ต้องตัดขาดกันไป ปล่อยให้ครอบครัวนั้นเผชิญชีวิตกันเอง
ไหหม่า(海馬)