ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 940 เฉินเจียซิ่งรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับความเอาใจใส่
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 940 เฉินเจียซิ่งรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับความเอาใจใส่
ตอนที่ 940 เฉินเจียซิ่งรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับความเอาใจใส่
เฉินเจียซิ่งเดินเข้าไป แต่ไม่รีบนั่งลง มองหน้าเฉินเจิ้นเจียงแล้วถามอย่างระมัดระวัง “พ่อครับ ทำไมพ่อถึงโทรเรียกผมมาที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอก นั่งลงสิ” เฉินเจิ้นเจียงชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ให้เฉินเจียซิ่งนั่งลง
น้ำเสียงของเฉินเจิ้นเจียงยังเป็นปกติ อีกทั้งยังอ่อนโยนกว่าปกติ แต่นั่นก็ไม่อาจขจัดความสงสัยและความกังวลใจของเฉินเจียซิ่งไปได้
เขายืนนิ่งไม่ขยับ ยิ้มมุมปากแล้วถามเฉินเจิ้นเจียงว่า “พ่อครับ พ่อบอกผมก่อนได้ไหมว่ามีเรื่องอะไร”
เฉินเจิ้นเจียงพูดเสียงเรียบๆ “บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร ให้นั่งก็นั่งสิ ยืนทำไมตรงนั้น เห็นฉันจะกินแกหรือไง?”
“ครับ” เฉินเจียซิ่งจำใจนั่งลงตรงข้ามพ่อของเขา แม้ว่าพ่อของเขาจะยิ้มตลอดเวลา แต่ใจของเขาก็ยังคงกังวลอยู่
พนักงานเสิร์ฟนำเหล้าและถั่วลิสงมาเสิร์ฟ พร้อมกับอาหารเรียกน้ำย่อยเย็นๆ อีกสองสามอย่าง
“พ่อครับ มีแค่เราสองคนเหรอครับ?” เฉินเจียซิ่งถามอย่างระมัดระวังหลังจากที่อาหารถูกเสิร์ฟแล้ว
เฉินเจิ้นเจียงรินเหล้าด้วยตัวเอง พยักหน้า “ใช่แล้ว มีแค่เราสองคน”
พ่อของเขาเป็นคนรินเหล้าให้เขาเอง และยังบอกว่าจะดื่มกับเขาตามลำพัง ทำให้เฉินเจียซิ่งรู้สึกตื่นเต้นจนแทบไม่อยากเชื่อ
ยิ่งเห็นพ่อแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนบนใบหน้า เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก
ใครจะเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนี้ได้? พ่อที่มักจะดูน่าเกรงขามและมองเขาด้วยสายตาดูแคลนอยู่เสมอ ตอนนี้กลับยิ้มให้และรินเหล้าให้เขาด้วยตัวเอง
ที่สำคัญที่สุดคือพี่ใหญ่และน้องสามไม่ได้มา มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น
การปฏิบัติเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
เขาลองถามอย่างระมัดระวัง “พ่อครับ พ่อเรียกผมมามีธุระอะไรหรือเปล่า? ถ้ามีอะไรก็บอกมาเลยนะครับ”
เฉินเจียซิ่งหวังว่าพ่อของเขามีเรื่องอะไรจะพูด ถ้าไม่มีก็จะได้กลับไป
อย่ามาทำตัวอบอุ่นแบบนี้เลย หัวใจดวงน้อยของเขาทนไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม เฉินเจิ้นเจียงกลับยิ้มและพูดว่า “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากคุยกับแกเฉยๆ ดื่มเหล้าด้วยกันเล็กๆ น้อยๆ”
เฉินเจิ้นเจียงดื่มเหล้าหมดแก้ว กินกับแกล้มเล็กน้อย ท่าทางสบายๆ
ครั้นเฉินเจียซิ่งรู้สึกว่าพ่อของเขาคงแค่อยากดื่มเหล้าคุยกันเล่นๆ ไม่มีเรื่องอื่น ใจที่เป็นกังวลค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เขาเริ่มรินเหล้าแก้วที่สอง
“เจียซิ่ง ลูกได้ยินเรื่องของอาสะใภ้รองแล้วใช่ไหม?” เฉินเจิ้นเจียงชวนคุยอย่างไม่เป็นทางการ
เฉินเจียซิ่งพยักหน้า “พ่อครับ ผมเพิ่งรู้เมื่อวานนี้เอง ถ้าผมรู้ก่อนว่าอาสะใภ้รองทำให้ห้องเต้นรำเกือบล้มละลาย แถมยังอาละวาดเพื่อรักษางานของตัวเอง ผมต้องกลับบ้านมาพูดแน่ๆ
ผมยังได้ยินว่าพวกเขาทำให้คุณปู่โมโหจนเป็นลมไปด้วย คนพวกนี้ช่างไร้ยางอายจริงๆ ทั้งครอบครัวสามคนเหมือนปลวกที่คอยกัดกิน ยิ่งอยู่ยิ่งถอยหลัง”
เฉินเจียซิ่งพูดด้วยความโกรธแค้น เฉินเจิ้นเจียงเห็นด้วยกับคำพูดของเขา “ใช่ ยิ่งอยู่ยิ่งถอยหลัง”
เขาถอนหายใจ “แต่ก่อนครอบครัวพวกเขาฐานะดีกว่าพวกเราอีกนะ เพราะครอบครัวเดิมของอาสะใภ้รองมีฐานะ ยังมีร้านค้าด้วย แต่ดูตอนนี้สิ ทั้งครอบครัวสามคนกำลังจะตกงานกันหมด เฉินเจียหมิงก็ไม่รู้จักถนอมงานตัวเอง คู่หมั้นก็เลิกรากันไปแล้ว เฮ้อ”
“ลูกไม่รู้หรอกว่าคุณปู่ผิดหวังและเจ็บปวดมากแค่ไหน”
เฉินเจียซิ่งพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้วครับ ก็ลูกชายและหลานชายของตัวเองทั้งคน ในใจของเขาต้องเจ็บปวดแน่ๆ”
เขาแสดงสีหน้าพอใจ “เจียซิ่งเอ๋ย พ่อดีใจมากที่ตอนนี้ลูกเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ทำงานและใช้ชีวิตอย่างดี มีทัศนคติที่มุ่งมั่นและก้าวหน้า”
“เมื่อเห็นลูกกับหงเสียสองคนสามารถใช้ชีวิตอย่างมั่นคงได้ พ่อก็สบายใจแล้ว ไม่อย่างนั้นพ่อก็กลัวจริงๆ ว่าอีกหลายสิบปีข้างหน้าพ่อจะเป็นเหมือนคุณปู่ของลูก…”
เฉินเจิ้นเจียงมองเฉินเจียซิ่งแล้วถาม
“ลูกเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อแบบนั้นไหม?”
“พ่อครับ ผมเข้าใจ” เฉินเจียซิ่งยิ้มเบาๆ “ผมรู้แล้วว่าทำไมวันนี้พ่อถึงนัดผมมาดื่มเหล้าตามลำพัง”
ที่แท้ก็กลัวว่าเขาจะกลายเป็นเหมือนครอบครัวของอารอง
เฉินเจียซิ่งแสดงท่าทีอย่างจริงจัง
“ผมจะไม่กลายเป็นเหมือนอารองหรอกครับ ส่วนหงเสียก็ไม่เหมือนอาสะใภ้รองของผม หล่อนทั้งอ่อนโยนและใจดี ไม่เคยขัดแย้งกับครอบครัวเพื่อผลประโยชน์เลย”
ในครอบครัวของอารองมีวังซูเฟินถืออำนาจเป็นใหญ่ อารองจึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรเลยในบ้าน
แต่หงเสียที่บ้านเขาเป็นคนรู้ความและใจดี หล่อนไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก
ท่าทีของเฉินเจียซิ่งทำให้เฉินเจิ้นเจียงรู้สึกปลื้มใจมาก “ลูกเอ๋ย การได้แต่งงานกับหงเสียถือเป็นโชคดีของลูกนะ การได้ภรรยาที่ดีจะทำให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรืองไปสามชั่วคน คำพูดนี้ไม่ได้เกินจริงเลย เราต้องทะนุถนอมนะ ต่อไปอย่าได้คิดไกลเกินตัวเป็นอันขาด ต้องเดินหน้าอย่างมั่นคงทีละก้าว
เงินเดือนน้อยไม่เป็นไร คุณค่าของคนไม่ควรวัดจากเงินเดือนสูงต่ำ ความสำเร็จของคนมีหลายมิติ ชีวิตสมรสที่มีความสุข ครอบครัวที่อบอุ่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมาตรฐานวัดความสำเร็จของลูก
หรือพูดอีกอย่างคือ ความสำเร็จไม่มีมาตรฐานตายตัว ถ้าตัวเองรู้สึกมีความสุขและพอใจ นั่นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว”
“พ่อครับ พูดแบบนั้นก็ถูก แต่ผมก็ยังอยากก้าวหน้า ผมหวังว่าจะเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ ไม่ใช่แค่ไม่สร้างปัญหาให้ทุกคนแล้วพ่อแม่ก็ดีใจเหลือเกินแล้ว
ผมก็เป็นลูกของพ่อแม่นะครับ ถึงแม้ผมจะธรรมดามาก ไม่มีสติปัญญาและความสามารถเหมือนพี่ใหญ่กับน้องสาม แต่ผมคิดว่าผมก็ไม่ได้โง่ หน้าตาก็ดูดี ผมคิดว่าผมควรจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้”
เฉินเจียซิ่งถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“สิ่งสำคัญที่สุดคือตอนนี้หงเสียก้าวหน้าเร็วมาก หล่อนประสบความสำเร็จตามพี่สะใภ้ใหญ่ไปติดๆ ทั้งยังจะไปเรียนเพิ่มเติมที่เซี่ยงไฮ้อีก ซึ่งผมยังไม่เคยไปที่นั่นเลย ผมจึงกลัวจริงๆ ว่าต่อไปจะไม่อาจเชิดหน้าชูตาต่อหน้าหล่อนได้ อารองก็เพราะแต่ก่อนทำงานและมีความสามารถด้านต่างๆ สู้อาสะใภ้รองไม่ได้ ถึงได้ถูกอาสะใภ้รองกดขี่
ดังนั้นตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมคิดการณ์ไกลเกินตัว แต่เป็นพวกเขาที่กำลังเร่งให้ผมก้าวหน้า ถ้าผมย่ำอยู่กับที่ ผมเกรงว่าภรรยาอาจจะหนีไปเสีย ผมจึงจำเป็นต้องรีบหาทางออกโดยเร็ว”
แม้ว่าหยางหงเสียจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับเขา แต่ในสภาพแวดล้อมครอบครัวที่ผู้หญิงเข้มแข็งกว่าผู้ชาย เขาก็อาจจะเดินตามรอยอารองได้จริงๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มันไม่ใช่ว่าใครเหนือกว่าใครหรอก สิ่งสำคัญคือทั้งสองฝ่ายต้องเดินไปพร้อมๆ กัน อาจจะประสบความสำเร็จกันคนละด้านก็ได้แต่ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ไหหม่า(海馬)
………………..