ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 941 ความทะเยอทะยานไม่สอดคล้องกับความสามารถ
ตอนที่ 941 ความทะเยอทะยานไม่สอดคล้องกับความสามารถ
คำพูดของเฉินเจิ้นเจียงทำให้เฉินเจียซิ่งจมอยู่ในภวังค์ความคิด
เมื่อความทะเยอทะยานของคนไม่สอดคล้องกับความสามารถ ก็มักจะเดินผิดทาง…
การที่พ่อของเขาบอกว่าเดินผิดทาง ถือเป็นการดูถูกเขาอยู่บ้าง
แต่ความจริงที่ว่าความทะเยอทะยานไม่สอดคล้องกับความสามารถ ทำให้จิตใจเจ็บปวดอย่างมากนั้นเป็นเรื่องจริง
เฉินเจิ้นเจียงพูดต่อไปว่า
“ชีวิตคนเราจะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ตอนนี้หงเสียแค่มีโอกาสได้ไปเรียนรู้เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเมื่อหล่อนกลับมาจากการศึกษาต่อแล้วจะบรรลุถึงระดับสูงอะไรทันที พวกลูกอายุแค่ 20 กว่า ๆ เอง จะรีบร้อนไปทำไม? ถ้าพวกลูกทนการทดสอบแค่นี้ไม่ได้ ชีวิตแต่งงานก็คงไม่ยืนยาว”
“เส้นทางหลายสิบปีต้องค่อย ๆ เดิน กินคำเดียวไม่อ้วน ไม่หยิ่งไม่ร้อนรน เดินอย่างมั่นคง จึงจะเดินได้มั่นคงและไกลกว่า”
เฉินเจียซิ่งตอบรับเบา ๆ แต่ใจลอย ยังคงครุ่นคิดถึงปัญหาที่ความสามารถไม่สอดคล้องกับความทะเยอทะยานของเขา
เฉินเจียซิ่งไม่พอใจ เขากลอกตาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พ่อ นี่พ่อพูดอะไรออกมา อย่าขู่ผมบ่อยๆ ได้ไหม? ผมไม่ได้ทะเยอทะยานอะไรสักหน่อย ช่างเถอะ ผมอยู่แบบนี้ก็พอแล้วสินะ?”
เฉินเจิ้นเจียงกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่ว่าต้องพอใจกับสภาพปัจจุบันตลอดเวลา ต้องมีความมุ่งมั่นบ้าง ตั้งใจทำงานที่มีอยู่ให้ดีก่อน สั่งสมประสบการณ์ เมื่อลูกเติบโตขึ้น ถ้ามีโอกาสอื่นๆ ก็จะสามารถคว้าไว้ได้”
“โอ้ ผมรู้แล้ว”
เฉินเจิ้นเจียงดื่มเหล้ากับเฉินเจียซิ่ง สองพ่อลูกคุยกันหลายเรื่อง
เฉินเจิ้นเจียงรู้ว่าการใช้วิธีแข็งกร้าวไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนน้ำเสียงให้อ่อนลง ใช้น้ำเสียงปลอบเด็กในการพูดกับเฉินเจียซิ่ง
เฉินเจียซิ่งรับฟังคำพูดของพ่ออย่างตั้งใจ
ในที่สุดเขาก็ตระหนักถึงความเป็นจริงและรู้จักความสามารถของตัวเอง
คำพูดของพ่อยังคงก้องอยู่ในหัวของเขา
เมื่อความทะเยอทะยานของคนไม่สอดคล้องกับความสามารถ ปัญหาก็มักจะเกิดขึ้น
บทเรียนที่ได้จากอารองและอาสะใภ้รองนับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแล้ว
พวกเขาเคยมีชีวิตที่สุขสบาย แต่เพราะไม่รู้จักขีดความสามารถของตัวเอง ทำอะไรโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา ตอนนี้จึงสูญเสียทั้งทรัพย์สินและงาน ทั้งครอบครัวกำลังเผชิญกับการว่างงาน
นี่เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดเหลือเกิน
เมื่อพ่อลูกดื่มเหล้าจนถึงแก้วสุดท้าย เฉินเจียซิ่งก็รู้สึกเหมือนได้รับการชี้แนะจนเกิดความกระจ่างแจ้ง
เขารู้สึกโล่งอก ทันใดนั้นก็ไม่รู้สึกสับสนอีกต่อไป
ที่จริงแล้วเขาควรจะหวงแหนงานของตัวเองให้ดี งานของเขาในตำแหน่งผู้ดูแลฝ่ายการตลาดแม้จะไม่มีอนาคตที่สดใสนัก แต่ก็มั่นคง
ตอนนี้ยังทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านเช่าชุดแต่งงานของหลินเซี่ยได้อีกด้วย
นี่ก็ถือว่าชนะคนหนุ่มสาวอีกมากมายแล้ว
เฉินเจียหมิงทำอะไรหยิบโหย่ง ในที่สุดก็สูญเสียงานทั้งหมด
ตอนนี้เขาต้องรักษาสถานะให้มั่นคง
พ่อลูกคู่นี้ยิ่งคุยก็ยิ่งดื่ม จนกระทั่งฟ้ามืด ทั้งคู่ต่างดื่มกันไปมากพอสมควร ถึงระดับที่ขี่จักรยานกลับไม่ไหวแล้ว
เฉินเจียซิ่งจึงยืมโทรศัพท์บ้านของร้านเหล้าโทรหาพี่ใหญ่ของเขา ให้มารับพวกเขา
“นายบอกว่าพวกนายอยู่ที่ไหนนะ?” เขาถามย้ำกับเฉินเจียซิ่งอีกครั้ง
เฉินเจียซิ่งตอบชื่อร้านเหล้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงค่อนข้างภูมิใจ
เฉินเจียเหอได้ยินว่าพวกเขาเมา จึงสวมเสื้อนอกแล้วเตรียมออกไป “ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
เฉินเจียเหอขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับคน พ่อของเขาดื่มไปค่อนข้างมากแต่ไม่ถึงกับเมา ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้สั่งสอนเฉินเจียซิ่งอยู่
ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น พูดไม่หยุดปาก
เฉินเจียซิ่งพยักหน้ารับอย่างขอไปที แต่ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่เฉินเจียเหอที่เพิ่งเข้ามา
“ทำไมพวกนายสองคนถึงมาดื่มเหล้าที่นี่ล่ะ?” เฉินเจียเหอมองเฉินเจียซิ่งแล้วถาม “นายพาพ่อมาเหรอ?”
เฉินเจียซิ่งมีสีหน้าภาคภูมิใจอยู่บ้าง “พี่ใหญ่ คราวนี้พี่เดาผิดแล้วล่ะ”
เขายิ้มตาหยีมองเฉินเจิ้นเจียง แล้วพูดอย่างภูมิใจ “พ่อพาผมมาต่างหาก ท่านส่งเพจเจอร์มานัดผมเองเลยนะ”
เฉินเจียเหอตอบรับ “อ้อ”
น้ำเสียงของเฉินเจียซิ่งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เฉินเจียเหอพูดว่า “มีอะไรให้แปลกใจล่ะ? พ่อดื่มเหล้ากับลูกชายก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ?”
“แล้วพ่อเคยนัดพี่แบบนี้บ้างไหม?” เฉินเจียซิ่งมองเฉินเจียเหอด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง แล้วถามต่อ
เฉินเจียเหอส่ายหน้าตามตรง “ไม่เคย”
เฉินเจียซิ่ง “!!!”
แล้วยังจะบอกว่าปกติอีกเหรอ?
คำพูดของเขาทำให้เฉินเจียซิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้น
สิทธิพิเศษที่แม้แต่พี่ใหญ่ยังไม่มี เขากลับมี
ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสำคัญในใจของพ่อไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไปกันเถอะ ผมจะเรียกแท็กซี่ให้”
เฉินเจียเหอเห็นท่าทางของน้องชายคนรองแล้วก็รู้ว่าไม่ได้เมา พวกเขากลับบ้านเองได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนเขา
เขาถามเจ้าของร้านแล้วได้ยินว่ายังไม่ได้จ่ายเงิน เขาจึงจ่ายเงินแล้วออกไปเรียกรถแท็กซี่ จากนั้นก็พยุงพ่อเข้าไปในรถ
แล้วก็ยัดเฉินเจียซิ่งเข้าไปด้วย
เฉินเจียเหอกำชับเขาว่า “นายช่วยดูแลพ่อระหว่างทางด้วย คืนนี้พักที่บ้านคุณปู่นะ กลับถึงบ้านแล้วโทรหาน้องสะใภ้ด้วย”
“หงเสียกลับบ้านเกิดแล้ว ไม่ต้องโทรหรอก”
เฉินเจียซิ่งหลังจากดื่มสุรากับพ่อของเขาแล้ว ความรู้สึกก็สนิทสนมกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
หลังขึ้นแท็กซี่แล้ว เฉินเจียซิ่งยังเอาหัวพิงไหล่ของเฉินเจิ้นเจียงอย่างสนิทสนม คล้ายกับการออดอ้อน
วันนี้เพราะดื่มสุรา เฉินเจิ้นเจียงไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจการกระทำเช่นนี้ของลูกชาย แต่กลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนที่ไม่ได้เห็นมานานบนใบหน้า
ตัวเขาตามปกติมีท่าทางเคร่งขรึมเป็นนิสัย การอบรมลูกชายทั้งสามคนก็เข้มงวดมาก อย่างไรก็ตามพวกเขาล้วนเป็นลูกผู้ชาย เขาสอนให้พวกเขาเข้มแข็ง มีความรับผิดชอบ และเป็นคนแกร่งมาตั้งแต่เด็ก
แต่มาวันนี้ คนแก่ตัวลงแล้ว การที่ลูกชายแสดงอาการสนิทสนมกับเขาเช่นนี้ ทำให้ส่วนที่อ่อนโยนที่สุดในใจของเขาถูกสัมผัส
“ครับพ่อ ผมจะทำ ผมจะต้องเป็นความภาคภูมิใจของพ่อและแม่แน่นอน”
ไม่มีใครรู้ว่าผู้เฒ่าเฉินได้ฝากฝังหางานให้เฉินเจียหมิงหรือไม่ แต่หลังจากที่พวกเขาสามคนจากไป ก็ไม่ได้มาเมืองไห่เฉิงอีกเลย
ชีวิตของครอบครัวเฉินก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
ส่วนเซี่ยอวี่ก็ได้เข้าพักในโรงพยาบาลเพื่อรอคลอดแล้ว
เซี่ยอวี่รู้สึกเบื่อหน่ายมากที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล หลินเซี่ยจึงมาเยี่ยมหล่อนเกือบทุกวันเว้นวัน
หลี่เหม่ยเฟิ่งกับเย่เจิ้งหัวส่งอาหารให้เซี่ยอวี่ทุกวัน ส่วนเย่ไป๋พอเลิกงานแล้วก็จะรีบมาที่ห้องผู้ป่วยทันที การที่ภรรยาเข้าพักในโรงพยาบาลทำให้เขาสะดวกในการมาเยี่ยมหล่อนมากกว่าปกติหลายเท่า
ในช่วงเวลาว่างตอนเที่ยง เขาก็จะมาที่ห้องผู้ป่วยเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเซี่ยอวี่
ทั้งครอบครัวอยู่ในห้องผู้ป่วยโดยไม่มีอะไรทำ จึงคิดหาชื่อให้กับเด็ก
ภารกิจสำคัญนี้ถูกมอบหมายให้กับนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่อย่างเย่เจิ้งหัวที่มีความรู้อันลึกซึ้ง
เย่เจิ้งหัวรับหน้าที่ตั้งชื่อ ส่วนเซี่ยอวี่กับหลี่เหม่ยเฟิ่งรับหน้าที่ตัดสินใจ
เย่เจิ้งหัวเป็นไอดอลของเซี่ยอวี่ และเซี่ยอวี่ก็เป็นนักแสดงหญิงที่หลี่เหม่ยเฟิ่งชื่นชอบมากที่สุด ดังนั้นทั้งสามคนจึงเข้ากันได้อย่างดี
เย่เจิ้งหัวมีความรู้ที่ลึกซึ้งเกินไป ชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาในตอนแรกล้วนลึกลับซับซ้อนเกินไป จึงถูกหลี่เหม่ยเฟิ่งและเซี่ยอวี่คัดค้านเป็นเอกฉันท์
อย่างเช่น เย่ฉู่เย่ เย่เทียนรุ่ย เย่จื่อถง อะไรพวกนี้
เซี่ยอวี่รู้สึกว่าฟังดูไพเราะก็จริง แต่ไม่ติดปากเท่าใดนัก
“พ่อ ตั้งชื่อที่ฟังง่ายๆ ทั่วไปหน่อย แบบที่คนจำได้ทันทีน่ะ” เซี่ยอวี่พูด “ต้องมีจุดเด่นให้จดจำ”
หล่อนอยู่ในวงการบันเทิงมาสิบกว่าปี รู้ดีว่าชื่อที่ง่ายและจดจำได้นั้นสำคัญแค่ไหนสำหรับพวกเขา
บางคนแสดงมาหลายเรื่อง หน้าตาก็ดี แต่เพราะชื่อไม่โดดเด่นหรือจำยาก ผู้ชมก็มักจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร
ชื่อของบางคน ไม่ว่าจะเขียนหรือเรียก ล้วนมีจุดเด่นให้จดจำมาก
“งั้นลองคิดดูอีกที ค่อยๆ ตั้งไป”
เย่เจิ้งหัวฟังคำแนะนำของเซี่ยอวี่แล้ว สีหน้าก็ดูอึดอัดเล็กน้อย ตั้งใจจะกลับบ้านไปคิดอย่างช้าๆ
ตอนที่ตั้งชื่อลูกชายเมื่อก่อน ก็แค่รู้สึกว่าเพราะตอนเกิดมาผิวขาว ตัวอักษรนี้ขีดง่ายและจำง่าย ความหมายก็ดี
เย่เชี่ยนผู้เป็นลูกสาวก็เช่นกัน
พอมาถึงรุ่นหลาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับหลานชาย เมื่อไม่กี่วันก่อนถึงกับหยิบพจนานุกรมออกมา
ผลลัพธ์คือชื่อที่ตั้งให้ เซี่ยอวี่กลับไม่ถูกใจ
สมกับคำที่ว่า ไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกันย่อมไม่เข้าบ้านเดียวกัน
ทุกคนชอบอะไรที่เรียบง่ายกว่า
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นับว่าเป็นโมเมนต์พ่อลูกที่ดีฉากหนึ่งเลย คนเราพอแก่ตัวลงก็อยากได้ความอบอุ่นอ่อนโยนจากลูกหลานกันทั้งนั้น
สุดท้ายแล้วเด็กน้อยจะได้ชื่อว่าอะไรน้า
ไหหม่า(海馬)
………………..