ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 944 ลำดับญาติของหู่จือ
ตอนที่ 944 ลำดับญาติของหู่จือ
เซี่ยไห่พูดกับเซี่ยเหลยว่า “พี่ใหญ่ พี่กับเซี่ยเซี่ยรออยู่ที่นี่นะ ผมจะไปรับแม่ที่บ้าน ตอนนี้แม่กำลังต้มโจ๊กให้พี่สาวอยู่ที่บ้าน รอให้ผมไปรับมาโรงพยาบาล”
“ได้ ไปเถอะ รอพวกนายมาถึง เสี่ยวอวี่ก็คงออกมาพอดี”
เซี่ยไห่รู้สึกดีใจจนแทบจะติดปีกบิน เขาเดินลงบันไดพลางโทรศัพท์แจ้งข่าวดีให้ลินดา
หลังเซี่ยอวี่ถูกเข็นออกมาจากห้องคลอด หล่อนก็ฟื้นตัวได้บ้างแล้ว แต่สีหน้ายังดูซีดเซียวและอ่อนเพลียอยู่ เมื่อกลับมาที่ห้องผู้ป่วย หล่อนก็ลืมตาขึ้นและสังเกตเห็นว่าพ่อสามี แม่สามี รวมถึงพี่สะใภ้และหลานสาวอยู่ที่นั่นด้วย มุมปากพลันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งความสุข
ทั้งยังโบกมือทักทายพวกเขาอีกด้วย
เซี่ยเหลยเห็นน้องสาวของตัวเองแล้วถามด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวอวี่ เป็นยังไงบ้าง?”
“พี่ใหญ่ ฉันเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
หล่อนบ่นด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ทำไมการคลอดลูกถึงได้เจ็บขนาดนี้ล่ะ? ฉันจะไม่คลอดลูกคนที่สองอีกแล้ว”
เซี่ยอวี่ถอนหายใจอย่างอ่อนแรง “มีหมอและพยาบาลช่วยคลอดตั้งมากมาย ฉันยังเจ็บปวดขนาดนี้ ตอนที่แม่คลอดพวกเราสามคน ท่านคงทรมานมากจริงๆ”
เขาว่ากันว่าหากไม่ได้เลี้ยงลูกเองก็ยังคงไม่รู้บุญคุณพ่อแม่
ในตอนที่เซี่ยอวี่ได้สัมผัสความเจ็บปวดจากการคลอดลูก ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือความสงสารแม่ หล่อนรู้สึกสงสารหญิงชราร่างผอมบางคนนั้นขึ้นมาจับใจ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากในยุคนั้น นางกลับให้กำเนิดลูกๆ ถึงสามคน
แม้แต่พี่สะใภ้ใหญ่ตอนที่คลอดเซี่ยเซี่ย แน่นอนว่าต้องทนทุกข์ทรมานมากมายในชนบท
ทั้งสองคนต่างเคยเดินผ่านประตูนรกมาแล้ว
พวกหล่อนล้วนเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและยอดเยี่ยมที่สุด
เย่ไป๋อุ้มเด็กเข้ามา
“เสี่ยวอวี่ ดูลูกหน่อย”
เขาพูดแต่ไม่ได้วางเด็กหญิงตัวน้อยลงบนเตียง ทำเพียงมองเซี่ยอวี่และเตือนเบาๆ “จำไว้นะ ห้ามบ่นว่าลูกขี้เหร่”
ภรรยาของเขาเป็นคนรักสวยรักงาม ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากที่สุด หากหล่อนเห็นใบหน้าลูกน้อยที่คลอดออกมาอย่างยากลำบากแล้วขี้เหร่ขนาดนี้ หล่อนคงจะร้องไห้เป็นแน่
เย่ไป๋อุ้มลูกสาวพลางมองเซี่ยอวี่ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ เอ่ยเตือนหล่อนด้วยความเป็นห่วง “อีกสองสามวันลูกก็จะน่ารักขึ้นแล้ว”
เซี่ยอวี่เห็นสีหน้าระมัดระวังของเย่ไป๋ มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย ลูกสาวที่หล่อนให้กำเนิดจะขี้เหร่ได้ขนาดไหนกันเชียว? เขาถึงกับต้องเตือนล่วงหน้าขนาดนี้?
เย่ไป๋วางลูกน้อยลงบนเตียงข้างๆ เซี่ยอวี่
เซี่ยอวี่มองร่างเล็กๆ เนื้อตัวเหี่ยวย่นนั้น หัวใจของหล่อนกลับอบอุ่นจนแทบละลาย
หล่อนเอื้อมมือไปสัมผัสลูกน้อยอย่างอ่อนโยน มุมปากยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
ทุกอย่างคุ้มค่าแล้ว แม้จะต้องเจ็บปวดแสนสาหัสเพียงใดก็คุ้มค่าแล้ว
สีหน้าของหล่อนในขณะนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกสะเทือนใจ
เซี่ยอวี่จ้องมองทารกน้อยอยู่พักใหญ่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเย่ไป๋อย่างดุดัน
“ลูกที่ฉันคลอดออกมาเองน่าเกลียดตรงไหน? ยังต้องให้คุณมาเตือนฉันอีกหรือ”
เย่ไป๋ยิ้มแห้ง ๆ
เป็นเซี่ยเหลยที่ไปทำซุปให้น้องสาวของเขาเองในห้องครัวสาธารณะของโรงพยาบาล
“ตอนนี้กินได้หรือยัง” เย่เจิ้งหัวถามเย่ไป๋
ทุกคนหันไปมอง เห็นเย่เจิ้งหัวถือกล่องข้าวอยู่ โดยมีเซี่ยเหลยเดินตามหลังมา
เซี่ยอวี่ได้ยินว่าพี่ชายทำอาหารให้เอง หล่อนก็พยักหน้า รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง บอกว่าตอนนี้หล่อนหิวจนไส้กิ่วแล้ว
หลังจากคลอดลูกเสร็จก็ไม่มีแรงเหลือเลยสักนิด
“เสี่ยวอวี่ ผมจะป้อนให้คุณนะ คุณนอนอยู่เฉย ๆ อย่าขยับ”
ขณะเย่ไป๋กำลังป้อนซุปให้เซี่ยอวี่อยู่ เซี่ยไห่และคุณแม่เซี่ยก็มาถึง
ระหว่างทาง เซี่ยไห่ได้เล่าเรื่องที่เซี่ยอวี่คลอดลูกให้หญิงชราฟังแล้ว
คุณแม่เซี่ยรีบก้าวฉับๆ ด้วยเท้าเล็กๆ ของนาง “ลูกสาวของแม่ เธอคลอดลูกสาวใช่ไหม”
เสียงของคุณแม่เซี่ยมาถึงก่อนตัว “ลูกสาว เธอเป็นยังไงบ้าง? เธอยังโอเคไหม? ทรมานมากใช่ไหม?”
นางเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย เย่เจิ้งหัวรีบยิ้มและเดินเข้าไปทักทาย คุณแม่เซี่ยตอบรับอย่างขอไปที แล้วตรงดิ่งไปที่เตียงผู้ป่วย
“แม่ อย่าตื่นเต้นไปค่ะ” เซี่ยอวี่เห็นแม่เข้ามา ฝืนยิ้มบนใบหน้าที่อ่อนเพลีย “ไม่เจ็บเลย ไม่เจ็บเลยสักนิด คลอดเร็วมากเลยค่ะ เร็วกว่าตอนเซี่ยเซี่ยคลอดเสี่ยวหู่อีก”
คุณแม่เซี่ยพูดว่า “เสี่ยวไห่บอกแม่หมดแล้ว คลอดตั้งสองชั่วโมงกว่า จะเรียกว่าเร็วได้ยังไง”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของนางแสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด มองดูลูกสาวที่หน้าซีดขาว ดวงตาของหญิงชราก็เริ่มชื้น
เซี่ยอวี่มองเซี่ยไห่ด้วยสายตาตำหนิ “นายนี่ปากโป้งจริงๆ”
เซี่ยไห่ลูบจมูกของตัวเองแล้วหัวเราะคิกคัก “ในเมื่อคลอดออกมาแล้ว จะมีอะไรที่พูดไม่ได้ล่ะ? นั่นมันการคลอดลูก ไม่ใช่การออกไข่ ถ้าผมบอกว่าห้านาทีแม่ก็คงไม่เชื่อหรอก”
ทุกคน “!!!”
ฝ่ายลินดาได้รับข่าวแล้วก็ทิ้งงานในมือและรีบมาทันที
คุณแม่เซี่ยนั่งอยู่ข้างเตียง จ้องมองลูกสาวไม่วางตา
เซี่ยอวี่รู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องมอง เพราะตอนนี้หล่อนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก รู้ว่าถ้าแม่เห็นเข้าจะต้องเป็นห่วง จึงรีบหันหน้าหนี “แม่คะ อย่าจ้องฉันแบบนั้นสิคะ ฉันสบายดี ดูหลานสาวของแม่ดีกว่า”
“ใช่ แม่ ลองดูเด็กดีกว่า” เย่ไป๋พูดเสริม
นิสัยที่หลินเซี่ยปลูกฝังให้ทุกคนตอนที่เสี่ยวหู่คลอดตอนนี้ได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของทุกคน กลายเป็นนิสัยที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ
เมื่อเห็นภาพนี้ เซี่ยไห่ก็อดนึกถึงโจวลี่หรงไม่ได้ เขาคิดถึงเรื่องราวมากมายในอดีต และก็นึกไปถึงคำพูดประชดประชันมากมายที่เคยพูดกับหล่อน
เซี่ยไห่รู้สึกสับสนในใจ เขาจึงเดินไปล้างมือ แล้วจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เด็ก
ทั้งสองครอบครัวต่างมารวมตัวกันในห้องผู้ป่วย มองดูเซี่ยอวี่กับลูกน้อย ทุกคนต่างมีรอยยิ้มปีติยินดีปรากฏบนใบหน้า
เมื่อเห็นว่าเซี่ยอวี่และลูกปลอดภัยดี ทุกคนก็ต่างโล่งใจ
เย่ไป๋และหลี่เหม่ยเฟิ่งยังคงอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนคนอื่นๆ กลับบ้านกันหมดแล้ว
เมื่อหลินเซี่ยกลับถึงบ้าน เฉินเจียเหอผู้เป็นสามีก็เพิ่งเลิกงานกลับมาเช่นกัน หลังเห็นว่าเธอไม่อยู่ เขาก็กำลังจะโทรศัพท์ถาม
หลินเซี่ยจึงบอกเขากับโจวลี่หรงว่าเซี่ยอวี่คลอดลูกสาวแล้ว ทั้งสองต่างรู้สึกยินดีอย่างจริงใจ
เฉินเจียเหอบอกว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมหลานสาว
หู่จือเพิ่งทำการบ้านเสร็จแต่ยังไม่ได้พักผ่อน เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เขาจึงถามด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว “แม่ครับ ถ้ายายรองของผมคลอดลูกสาว ผมควรเรียกหล่อนว่าอะไรครับ?”
หลินเซี่ยตอบว่า “เรียกว่าน้าจ้ะ”
“หา?” หู่จือมองหลินเซี่ยและเฉินเจียเหอด้วยความลำบากใจ “เรียกว่าน้าเหรอครับ?”
“ครั้งหน้าเจอกันก็เรียกว่าน้าเล็กก็พอ”
หู่จือโอดครวญ “แม่ครับ ผมต้องเรียกเด็กทารกคนหนึ่งว่าน้าเล็กเหรอครับ?”
ใบหน้าของหู่จือบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายสุดขีด
หลินเซี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “งั้นรอให้หล่อนโตขึ้นจนเข้าใจเรื่องราวแล้วค่อยเรียกว่าน้าก็ได้”
หู่จือดีใจขึ้นมาทันที พยักหน้าหงึกๆ ราวกับกำลังตำกระเทียม “ได้ๆ ต่อให้ตอนนี้ผมเรียกหล่อนว่าน้าเล็ก หล่อนก็ไม่ตอบอยู่ดี เรียกไปก็เปล่าประโยชน์”
พูดจบ เขาก็หยิบกระเป๋านักเรียนเดินกลับห้องไปอย่างร่าเริง
โจวลี่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าตัวแสบนี่จริงๆ เลย ไม่ยอมเสียเปรียบเลยสักนิด”
หลังจากที่เด็กๆ เข้านอนแล้ว เฉินเจียเหอก็เรียกโจวลี่หรงและหลินเซี่ยให้มานั่งที่โซฟา
เฉินเจียเหอมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าที่อ่านได้ยาก ราวกับว่าเขากำลังลำบากใจที่จะพูดออกมา
“พูดมาสิ เกิดอะไรขึ้นหรือ” หลินเซี่ยถามพลางมองเขา
เฉินเจียเหอครุ่นคิดอยู่สองสามวินาที แล้วเอ่ยปากว่า “ผมต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ รถไฟรุ่นใหม่ที่ทีมวิจัยและพัฒนาของเราประกอบเสร็จ กำลังจะเริ่มทดสอบใช้งานจริง อาจจะไม่ได้กลับบ้านเป็นหนึ่งเดือน”
เขากล่าวต่อว่า “พวกเราต้องไปทดสอบภาคสนาม ถ้ามีปัญหาระหว่างการทดสอบ เราต้องรับประกันว่าจะแก้ไขได้อย่างรวดเร็วทันที ผมเลยต้องไปด้วย”
หลินเซี่ยได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี “ในที่สุดก็จะได้เริ่มใช้งานแล้วสินะ”
“ใช่ คาดว่าจะเป็นเดือนพฤษภาคม”
หลินเซี่ยตื่นเต้นยิ่งกว่าเฉินเจียเหอเสียอีก เธอโบกมือแสดงท่าทีว่า “คุณไปยุ่งกับงานของคุณเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องที่บ้าน นี่เป็นข่าวดีจริงๆ พวกเรามีความสุขมาก”
โจวลี่หรงยิ้มพลางเอ่ยปากว่า “ใช่แล้ว หากประสบความสำเร็จในการเพิ่มความเร็วรถไฟแบบนี้ ก็หมายความว่าอุตสาหกรรมการขนส่งทางรถไฟของเราก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวใหญ่ สิ่งนี้จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนมากมาย และยังส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศอีกด้วย”
หล่อนชูนิ้วโป้งให้กับลูกชาย “พวกเธอทุกคนทำได้ดีมาก”
หลินเซี่ยรู้สึกตื่นเต้นมาก และเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของโจวลี่หรง “แม่พูดถูกแล้วค่ะ พวกคุณทุกคนยิ่งใหญ่มาก ในฐานะสมาชิกในครอบครัว พวกเราย่อมสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้ว”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เป็นหู่จือนี่ก็งงนะคะ ลำดับญาติชักจะยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
พี่เหอคราวนี้จากบ้านไปนานเลย ขอให้ไปทำงานราบรื่นนะ
ไหหม่า(海馬)