ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 964 วีรบุรุษกลับบ้านอย่างมีชัย
ตอนที่ 964 วีรบุรุษกลับบ้านอย่างมีชัย
หลินเซี่ยและสมาชิกครอบครัวพนักงานคนอื่นๆ ได้ฝึกซ้อมระบำยางเกอชุดใหญ่ภายใต้การนำของผู้อำนวยการหวัง
พวกเขาสวมชุดที่เคยใช้เต้นรำในอดีต ถือผ้าไหมสีแดงสดหรือพัดใหญ่ในมือ แล้วเต้นระบำยางเกอชุดใหญ่
ผู้อำนวยการหวังบอกว่าจะออกเดินทางในตอนเช้า พวกเขาจะต้องเต้นไปตลอดทางจากโรงงานรถยนต์ไปจนถึงสถานีรถไฟ
พวกเขาต้องการให้ผู้คนทั้งเมืองได้รับรู้ข่าวดีนี้
พี่สาวหลิวพูดว่า “ผู้อำนวยการหวัง จากโรงงานรถของเราไปถึงสถานีรถไฟมีระยะทาง 20 กิโลเมตร พวกเราเดินไปเต้นรำไปไม่ไหวหรอกค่ะ”
“ผู้หญิงอย่างพวกเธอนี่ทนความลำบากไม่ได้เลยสักนิด แค่ 20 กิโลเมตรทำไมจะเต้นไม่ได้? ลองนึกถึงสมัยก่อนที่พวกเรา…”
ผู้อำนวยการหวังยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกสหายหญิงอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา “ผู้อำนวยการหวัง อย่าคิดถึงสมัยก่อนเลยค่ะ พวกเราเต้นกันไม่ไหวจริงๆ รถบรรทุกคันใหญ่ในโรงงานของเราก็ว่างอยู่ไม่ใช่หรือ? ขับพาทุกคนไปที่สถานีรถไฟจะดีกว่าไหม? ไปถึงสถานีแล้วค่อยแสดงก็ได้”
“ให้ขับรถช้าๆ แล้วพวกเราจะตีกลองลั่นฆ้องป่าวประกาศบนรถวนรอบเมืองไห่เฉิงสักรอบ คนทั้งเมืองก็จะได้รู้ แบบนี้ดีกว่าให้พวกเราเต้นรำไปถึงสถานีรถไฟอีกไม่ใช่เหรอคะ?”
หลินเซี่ย “!!!”
เมื่อผู้อำนวยการหวังพูดจบ สายตาของทุกคนก็จับจ้องมาที่ใบหน้าของหลินเซี่ย
จากคำพูดของผู้อำนวยการหวัง หากหลินเซี่ยบอกว่าไม่มีปัญหา เขาก็คงไม่ยอมให้ทุกคนนั่งรถไปแน่
หลินเซี่ยหัวเราะแห้งๆ แล้วเอ่ยปากว่า “ผู้อำนวยการหวังคะ สิ่งที่คุณทำเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ อากาศร้อนขนาดนี้ พวกเราเป็นผู้หญิงทั้งนั้นทนความลำบากแบบนี้ไม่ไหวหรอกค่ะ ฉันเดินไม่ไหวแน่ๆ”
เมื่อหลินเซี่ยพูดเช่นนั้น ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพากันพูดเสียงดังอื้ออึงว่า “เสี่ยวหลินพูดถูกค่ะ ผู้อำนวยการหวังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ มีรถบรรทุกคันใหญ่อยู่แท้ๆ แต่ไม่ให้นั่ง กลับให้พวกเราเดินไป พวกเราเดินกันไม่ไหวหรอกค่ะ”
“ผู้อำนวยการหวัง นี่มันยุคไหนแล้วคะ พวกเราไม่ควรยึดติดกับความคิดที่ว่าความลำบากคือความสุขอีกต่อไป”
มันเป็นเพียงการทนทุกข์โดยไม่จำเป็นเท่านั้น
ผู้อำนวยการหวังพูดไม่ออกเมื่อเจอกับกลุ่มสหายหญิงเหล่านี้ สุดท้ายจึงต้องยอมประนีประนอม “ได้ๆๆ งั้นก็นั่งรถบรรทุกกันแล้วกัน ฉันจะไปหากลองหนังวัวมาอีกสองใบ พวกเราต้องทำให้ทั้งเมืองรู้ข่าวดีนี้”
แม้จะเป็นฤดูร้อนที่อากาศร้อน แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความกระตือรือร้นของพนักงานโรงงานรถยนต์เมืองไห่เฉิงและครอบครัวของพวกเขาแต่อย่างใด หลินเซี่ยและเพื่อนๆ ซ้อมตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย แม้แต่อาหารกลางวันก็ยังกินที่โรงอาหารของโรงงานยานยนต์ พอถึงตอนบ่าย เหล่าสหายหญิงก็ซ้อมเต้นรำกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เมื่อหลินเซี่ยกลับถึงบ้าน ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว
พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ หู่จือไม่ต้องไปโรงเรียน จึงเรียกร้องอยากไปกับหลินเซี่ยด้วย
“ไปสิ พวกเราไปกันทั้งครอบครัวเลย”
หลินเซี่ยตั้งใจส่งเพจเจอร์ไปหาเฉินเจียซิ่งเป็นพิเศษ รวมถึงเฉินเจียวั่งด้วย หวังว่าพี่น้องทั้งสองคนจะมาด้วยกันได้ ทั้งครอบครัวจะได้ไปต้อนรับเฉินเจียเหอพร้อมกัน
ทุกคนในครอบครัวเฉินต่างตื่นเต้น เริ่มเตรียมตัวตั้งแต่คืนก่อนหน้า พรุ่งนี้ทั้งครอบครัวจะไปที่สถานีรถไฟด้วยกันเช้าวันรุ่งขึ้น
เฉินเจียวั่งไม่รอคนอื่นๆ ในบ้าน พอฟ้าสางก็พาเจียงอวี่เฟยมาที่บ้านของหลินเซี่ย
เจียงอวี่เฟยมากับเฉินเจียวั่งแต่เช้าตรู่
“พี่สะใภ้ใหญ่ ให้อวี่เฟยเข้าร่วมกับพวกคุณด้วยเถอะ” เฉินเจียวั่งคิดว่าต่อให้เจียงอวี่เฟยจะไม่ใช่ญาติของโรงงานยานยนต์ แต่หล่อนจะเป็นคนในตระกูลเฉินในอนาคต และยังเรียนเต้นรำมาโดยเฉพาะ ควรจะได้เข้าร่วมกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่และมีความหมายนี้ด้วย
หลินเซี่ยมองไปที่เจียงอวี่เฟย วันนี้หล่อนสวมชุดกระโปรงสีแดง ดูสวยงามอ้อนแอ้นสะดุดตา
เธอยิ้มพูดว่า “พวกเราคราวนี้ก็แค่เต้นระบำยางเกอ ถ้าเธออยากเต้น ก็เต้นตามพวกเราได้เลย ชุดของพวกเราก็เป็นชุดที่เคยใส่เต้นมาก่อน เธอแต่งแบบนี้ก็ได้”
“ได้ ทุกคนช่วยดูแลเด็กสองคนนี้ด้วย แล้วดูฉันแสดงนะ”
ผู้บริหารและพนักงานทุกคนที่มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาโครงการนี้จากโรงงานผลิตยานยนต์จะโดยสารมากับรถไฟรุ่นใหม่ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นเอง เพื่อเดินทางไปลงที่สถานีเมืองไห่เฉิง
ผู้อำนวยการหวังจัดการให้ทุกคนเริ่มออกเดินทางตั้งแต่แปดโมงเช้า
รถของโรงงานจะพาพวกเขาไปส่งที่บริเวณใกล้สถานีรถไฟแล้วให้ลงรถ
ทางสถานีรถไฟก็ได้ติดป้ายผ้าไว้ด้านนอกสถานีเรียบร้อยแล้ว เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จในการเดินรถไฟด่วนพิเศษ
ทางรัฐบาลได้ส่งผู้นำมาที่สถานีรถไฟเพื่อให้กำลังใจและต้อนรับด้วย
ในขณะนี้ ลานสถานีรถไฟเต็มไปด้วยเสียงฆ้องกลองดังประโคม เหล่าสตรีกำลังเต้นระบำยางเกอที่สถานี ร้องเพลงปฏิวัติ บรรยากาศคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ผู้โดยสารทั้งหลายต่างหยุดยืนปรบมือ
ผู้อำนวยการหวังกำลังจัดการทุกคน “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว รีบเอาดอกไม้สีแดงใหญ่ที่พวกเราเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาเร็ว”
ผู้อำนวยการหวังตั้งใจเชิญเพื่อนร่วมงานอาวุโสที่เกษียณแล้วจากโรงงานมา เพื่อร่วมกับผู้นำเมืองในการมอบดอกไม้สีแดงใหญ่ให้กับวีรบุรุษที่กลับมาอย่างมีชัย
ผู้เฒ่าเฉินและผู้เฒ่าเจิ้งก็อยู่ในรายชื่อผู้ได้รับเชิญด้วย
ผู้อำนวยการหวังพูดกับผู้เฒ่าเฉินอย่างเอาใจใส่ว่า “ผู้อาวุโสเฉิน คุณช่วยมอบดอกไม้ให้เสี่ยวเฉินด้วยเถอะ”
“ได้” ผู้เฒ่าเฉินรู้สึกตื่นเต้นและปลาบปลื้มอย่างที่สุดในขณะนี้
เวลา 10 นาฬิกาตรง พร้อมกับเสียงหวูดรถไฟดังสนั่น รถไฟด่วนรุ่นใหม่หัวรถจักรสีแดงสดก็เข้าจอดที่สถานีรถไฟเมืองไห่เฉิง จากนั้นกลุ่มคนก็เริ่มทยอยลงมาจากรถไฟขบวนที่หนึ่ง
คนที่เดินนำหน้าสุดคือ หยางเจี้ยนเย่ รองผู้จัดการโรงงานยานยนต์เมืองไห่เฉิง
เฉินเจียเหอและผู้อำนวยการหวังเดินตามมาด้านหลัง
เทียบกับตอนก่อนออกเดินทาง เฉินเจียเหอดูผอมลงเป็นกอง ดวงตาลึกโบ๋ มีรอยคล้ำใต้ตาเห็นได้ชัด แม้จะโกนหนวดเคราแล้ว แต่ดูจากสีหน้าก็เห็นได้ว่าเหนื่อยล้ามาก
แน่นอนว่าคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่านี้
ทันทีที่เข้าสู่ชานชาลา เพื่อนเก่าหลายคนเข้ามาหาพวกเขาและติดดอกไม้สีแดงใหญ่ให้กับทุกคน
ดวงตาของเฉินเจียเหอเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง เมื่อเห็นคุณปู่ของเขาให้ดอกไม้สีแดงใหญ่แก่เขา สีหน้าของเขาดูประหลาดใจเล็กน้อย
ไม่คิดว่าคุณปู่ของเขาจะมาด้วย
“เจียเหอ เก่งมาก เก่งมาก” ผู้เฒ่าเฉินมองหลานชายคนโตตรงหน้า อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาชูนิ้วโป้งให้เฉินเจียเหอ เสียงสั่นเครือ และกอดเขาไว้
เฉินเจียเหอกอดคุณปู่ จากนั้นถามเบาๆ ว่า “คุณปู่ครับ เซี่ยเซี่ยไม่ได้มาหรือครับ?”
ผู้เฒ่าเฉินยิ้มแล้วตอบว่า “มาแล้ว ทุกคนมาแล้ว”
ขณะที่ขบวนเดินออกจากประตูทางออกก็ได้ยินเสียงฆ้องกลองดังอึกทึกแต่ไกล ตามมาด้วยภาพของเหล่าสหายสตรีที่กำลังสะบัดผ้าไหมสีแดงในมือขณะเต้นระบำยางเกอ
เฉินเจียเหอมองเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดทันที ใบหน้าเธอเปี่ยมด้วยรอยยิ้มสดใส กำลังเต้นอย่างสนุกสนาน
หลินเซี่ยก็เห็นร่างสูงสง่าที่สวมดอกไม้สีแดงใหญ่เดินออกมาเช่นกัน
เขาแผ่กางแขนทั้งสองข้างไปยังเงาร่างนั้น
หลินเซี่ยลังเลอยู่สองวินาที แล้วก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก วิ่งเข้าไปหาและกอดเขา
เมื่อหลินเซี่ยวิ่งไป กลุ่มเต้นระบำยางเกอก็วุ่นวายขึ้นทันที พวกผู้หญิงก็ไม่รักษาความสงบเรียบร้อยอีกต่อไป ต่างวิ่งไปหาสามีของตัวเอง
เหลือเพียงคุณป้าที่อายุมากหน่อยยังคงเต้นรำยางเกออย่างตั้งใจและเอาจริงเอาจัง
เสียงฆ้องและกลองดังกึกก้อง ทำให้สถานีรถไฟดูคึกคักเป็นอย่างมาก
หลินเซี่ยเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตาของเฉินเจียเหอ เธอมองเขาด้วยความเป็นห่วงอย่างเต็มตา “คุณเหนื่อยมากเลยนะ”
เฉินเจียเหอกอดเธอแน่น พูดเสียงนุ่มนวล “ไม่เหนื่อยหรอก”
“คุณผอมลงนะ”
“ไม่”
สองคนกอดกันอยู่นาน หลินเซี่ยจึงผลักเขาออก แล้วจูงมือเขาเดินไปหาครอบครัว “ไปดูลูกกัน”
จากนั้นก็อุ้มหู่จือขึ้นมาด้วยอีกมือหนึ่ง
“อุ้มสองคนมันเหนื่อยนะ วางลงเร็ว” โจวลี่หรงเห็นว่าลูกชายผอมลงไปมาก ก็รู้สึกสงสารจับใจ กลัวว่าแขนของเขาจะรับน้ำหนักไม่ไหวเมื่อเขาอุ้มเด็กคนละมือ
“พ่อครับ ปล่อยผมลงเถอะ ตอนนี้ผมตัวหนักแล้วนะ”
หู่จือดิ้นหลุดออกจากอ้อมกอดของเฉินเจียเหอ แล้วรีบล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างตื่นเต้น
เขาหยิบภาพวาดที่ตัวเองวาดออกมา
“พ่อครับ นี่เป็นของขวัญที่ผมมอบให้พ่อ ดูสิครับ นี่คือรถไฟที่พ่อสร้างที่ผมวาดไว้ เหมือนไหมครับ?”
หู่จือเงยหน้ามองเฉินเจียเหอ ในสายตาของเขา พ่อของเขาช่างสง่างามและยิ่งใหญ่เหลือเกิน
เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้
“ลูกชายพ่อเก่งจริงๆ”
เฉินเจียเหอรับภาพวาดจากหู่จือ
รองผู้จัดการโรงงานหยางยืนอยู่ด้านหน้าและกล่าวด้วยความกระตือรือร้น ทั้งสถานีรถไฟก็ดังขึ้นด้วยเสียงปรบมือดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง
หลินเซี่ยในตอนนี้ไม่ได้ยินอะไรที่ผู้นำพูดเลย ทั้งสายตาและหัวใจของเธอมีแต่เฉินเจียเหอเท่านั้น
คนรักของเธอช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
พวกเขาใช้สองมือและสติปัญญาของตัวเองช่วยกันวิจัยและพัฒนาสร้างรถไฟความเร็วสูงขึ้นมา พวกเขาช่างยิ่งใหญ่จริงๆ
หลินเซี่ยและลูกชายจ้องมองเฉินเจียเหออย่างโง่งม
เฉินเจียเหอรู้สึกอึดอัดที่ถูกแม่ลูกคู่นี้มอง เขาลูบหัวพวกเขาทีละคน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ไม่ต้องมองแล้ว กลับไปค่อยมองต่อเถอะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
สงสารพี่เหอจังเลย สภาพแบบแบตฯเหลือขีดเดียว กลับไปพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายนะคะ
ไหหม่า(海馬)