ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 966 ความชั่วร้าย
ตอนที่ 966 ความชั่วร้าย
ครอบครัวสี่คนกลับเข้าห้อง ซึ่งหู่จือทำตามที่เขาพูดไว้จริงๆ เมื่อเข้าห้องก็นั่งลงที่ขอบเตียง บอกให้พ่อของเขารีบนอน ส่วนเขาจะรับผิดชอบกล่อมน้องชายไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวน
เฉินเจียเหอมองดูลูกชายทั้งสองแล้วหันไปมองภรรยา ในดวงตาเต็มไปด้วยความสุข
ตลอดเวลาที่อยู่ข้างนอกมานาน ทุกวันเมื่อเสร็จจากงานยุ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงพวกเขา ตอนนี้ภรรยาและลูกๆ อยู่ข้างกายเขาแล้ว หัวใจของเขาก็อิ่มเอมด้วยความสุข
หลินเซี่ยเห็นเฉินเจียเหอจ้องมองพวกเขาแม่ลูกเขม็งโดยไม่ยอมนอนลง เธอจึงพูดว่า “นอนเถอะ พวกเราจะอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนคุณ”
“นอนด้วยกันเถอะ ผมเห็นคุณมีรอยคล้ำใต้ตาด้วย เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือ?”
“ใช่แล้ว เมื่อคืนพอจะเข้านอน ผู้อำนวยการหวังก็มาตีฆ้องร้องป่าวประกาศข่าวดีอยู่ชั้นล่าง พวกเราต่างตื่นเต้นกันมาก คืนนั้นเลยแทบไม่ได้นอนเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เฉินเจียเหอก็ดึงเธอลงมานอนบนเตียงด้วยกัน แล้วสั่งหู่จื่อว่า “หู่จื่อ คอยดูน้องชายหน่อยนะ พ่อกับแม่ง่วงแล้ว จะนอนสักงีบ ถ้าน้องไม่อยากอยู่แล้วก็เรียกย่าเข้ามาอุ้มออกไปนะ”
หลินเซี่ยรีบลุกขึ้นนั่งทันที “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ง่วง คุณนอนไปเถอะ ฉันจะคอยดูพวกเขาเอง ถ้าเรานอนทั้งคู่แล้วให้หู่จื่อดูน้องชาย คุณจะวางใจได้ยังไง ถ้าเกิดเสี่ยวหู่พลัดตกเตียงบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง?”
หลินเซี่ยหยิบหมอนให้เฉินเจียเหอ ให้เขานอนลง ส่วนเธอกับเด็กทั้งสองอยู่ในห้องเป็นเพื่อนเขา
แต่เพราะเสี่ยวหู่ยังเล็ก ไม่รู้เรื่องราวอะไร จึงไม่รู้ว่าพ่อของเขาต้องการความเงียบสงบในการนอน
เขาหัวเราะไม่หยุดด้วยความดีใจ คลานไปคลานมา แล้วยังจะปีนขึ้นไปบนตัวเฉินเจียเหอ
หลินเซี่ยเห็นว่าเขาซุกซนเกินไป กลัวว่าจะรบกวนเฉินเจียเหอ จึงอุ้มเสี่ยวหู่ขึ้นและพาเขาเดินลงบันไดออกไปข้างนอก
สิ่งที่สร้างความคึกคักที่สุดในบ้านก็คือเด็กๆ พอหลินเซี่ยลงไปก็เห็นคนชราทั้งหลายนั่งเฉยๆ อยู่ในห้องนั่งเล่น โทรทัศน์กำลังฉายข่าว แต่พวกเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจ นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้คุยกัน
เมื่อเห็นหลินเซี่ยและเด็กสองคนลงมา ใบหน้าของผู้เฒ่าเฉินก็ฉายรอยยิ้มทันที
“เด็กๆ ซนจนทนไม่ไหวใช่ไหม?” เขายิ้มและถาม
“ใช่ค่ะคุณปู่ เฉินเจียเหอต้องนอน แต่เสี่ยวหู่คลานไปมาและพยายามปีนขึ้นไปบนตัวเขาตลอด ฉันเลยอุ้มเขาลงมาค่ะ”
โจวลี่หรงรับเด็กน้อยจากมือของหลินเซี่ย แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ ให้ลูกอยู่กับพวกเราเถอะ ให้หู่จื่อเล่นกับเสี่ยวหู่ด้วยกัน ส่วนเธอขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนเจียเหอเถอะ พวกเธอสองคนไม่ได้เจอกันมานานแล้ว”
โจวลี่หรงเคยชินกับการดูแลเสี่ยวหู่ เมื่อเด็กไม่อยู่ข้างกาย หล่อนก็รู้สึกไม่คุ้นเคย มือไม้พันกันไปหมดจนไม่รู้จะทำอะไรดี
เธอขึ้นบันไดเข้าไปในห้อง เพราะกลัวจะรบกวนเฉินเจียเหอ จึงค่อยๆ เดินเบาๆ ไปที่ข้างเตียง ถอดรองเท้าขึ้นเตียง แล้วนอนลงข้างๆ เขา
เมื่อเธอเอนตัวลงนอน มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาโอบกอดเธอไว้แนบอก
หลินเซี่ยคิดว่าเขาตื่นแล้ว กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าดวงตาทั้งสองของชายหนุ่มปิดสนิท หลับสบายอย่างเป็นสุข บางทีเมื่อครู่นี้เขาอาจจะรับรู้ถึงกลิ่นอายของเธอในความฝัน จึงตอบสนองโดยสัญชาตญาณ
หลินเซี่ยซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา แล้วโอบเอวเขาเบาๆ แม้ว่าเมื่อคืนนี้เธอจะนอนหลับไม่ค่อยสบาย แต่พอได้นอนอยู่ในอ้อมกอดของเขาในตอนนี้ เธอกลับไม่มีอาการง่วงนอนเลย
เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาด้วยสายตาอ่อนโยน ในใจรู้สึกมั่นคงอย่างยิ่ง
ความสุข ความพึงพอใจ คือความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดของเธอในตอนนี้
รอมานานแสนนาน หวังมานานแสนนาน ในที่สุดเขาก็กลับมาหา งานของเขาสำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์ ในที่สุดก็มาถึงแล้ววันที่ทั้งโรงงานยานยนต์ของพวกเขาและระบบรถไฟทั้งหมดรอคอยมาโดยตลอด
เธอรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้แต่งงานกับชายที่โดดเด่นและยอดเยี่ยมเช่นนี้
หลินเซี่ยซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเฉินเจียเหอ และไม่รู้ว่าเมื่อใด เธอก็หลับไปเช่นกัน
เสี่ยวหู่เริ่มเรียกหาพ่อตั้งแต่ช่วงบ่าย ส่วนหู่จือก็พยายามจะวิ่งขึ้นไปชั้นบนหลายครั้ง แต่ถูกโจวลี่หรงห้ามไว้ทุกครั้ง
เฉินเจียซิ่งก็หยุดพักวันนี้เช่นกัน เขาจับมือหู่จือไว้ พลางยิ้มอย่างซุกซน “หู่จือ วันนี้เธออย่าขึ้นไปรบกวนพ่อแม่เธอเลย ไม่อย่างนั้นพ่อเธอจะลงมาตีเธอแน่”
หู่จือพูดว่า “อารอง ผมจะไม่รบกวน ผมแค่จะเข้าไปเงียบๆ ดูว่าพวกเขาตื่นหรือยัง ถ้ายังไม่ตื่น ผมก็จะลงมา”
เฉินเจียซิ่งยิ้มมุมปาก พูดด้วยน้ำเสียงมีความหมายลึกซึ้ง “เจ้าหนูนี่ เธอเข้าไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะทำให้พวกเขาตกใจเปล่าๆ”
ผู้เฒ่าเฉินเห็นเฉินเจียซิ่งพูดเรื่องไร้สาระกับหู่จือ ก็กลัวว่าเขาจะชักนำหู่จือไปในทางที่ไม่ดี จึงทำหน้าบึ้งเอ่ยเสียงดุ “พูดอะไรกับเด็กน่ะ? แกนี่ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เลยหรือไง?”
เฉินเจียซิ่งลูบจมูก กระแอมเบาๆ แล้วโต้แย้งว่า “คุณปู่ครับ ผมแค่บอกให้หู่จืออย่าไปรบกวนพวกพี่ใหญ่ คุณคิดมากไปแล้ว”
ผู้เฒ่าเฉินถลึงตาจ้องเขา ไม่อยากเถียงกับเขาอีก
เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็ก ชายชราก็ระวังคำพูด จึงไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาถามเขาว่า
“หงเสียได้โทรหาหลานหรือยัง? หล่อนเรียนที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อพูดถึงหยางหงเสีย สีหน้าของเฉินเจียซิ่งก็หม่นลงทันที “คุณปู่ครับ หล่อนไม่ได้โทรหาผมมาสามวันแล้ว ผมส่งเพจเจอร์ไปหาหล่อนก็ไม่ตอบ ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งอะไรอยู่”
วันนี้เฉินเจียซิ่งแท้จริงแล้วอารมณ์ดีมากเพราะพี่ใหญ่ของเขากลับมาอย่างมีชัย ความกังวลที่ติดต่อภรรยาไม่ได้ก็ถูกกลบไป แต่พอคุณปู่พูดถึง อารมณ์ของเขาก็กลับมาหนักอึ้งอีกครั้ง
“รอให้พี่สะใภ้ใหญ่ลงมาแล้วค่อยถามหล่อนดูแล้วกัน”
ผู้เฒ่าเฉินมองดูเฉินเจียซิ่งที่มีสีหน้าไม่สบายใจ แล้วเตือนเขาว่า “เธออย่าคิดมากไปเลย ตั้งใจทำงานให้ดีๆ”
เฉินเจียซิ่งคร่ำครวญว่า “คุณปู่ครับ ผมจะไม่คิดมากได้ยังไงล่ะ? ถ้าหงเสียเปลี่ยนใจล่ะจะทำยังไง? ถ้าหล่อนตัดสินใจอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ไม่กลับมา ผมก็จะไม่มีภรรยาแล้ว ถ้าชีวิตแต่งงานของผมล้มเหลวอีกครั้ง ผมคงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว หัวใจที่บอบช้ำของผมคงทนรับความเจ็บปวดอีกไม่ไหวแล้ว”
แต่เดิมเขาก็ไม่มีความมั่นใจอยู่แล้ว การที่หยางหงเสียไม่โทรหาเขา ทำให้จิตใจเขายิ่งกระวนกระวาย จนอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้
“ไอ้เด็กบ้า พูดอะไรออกมา?”
คุณย่าเฉินก็ปลอบใจเช่นกันว่า “เจียซิ่ง หงเสียไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ให้คิดในแง่ดีไว้ ถ้าเธอเอาแต่คอยระแวงสงสัยและคิดในแง่ลบตลอดเวลา บางทีสิ่งที่เธอกังวลอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ได้ นี่เรียกว่าคิดดีไม่เป็นจริง คิดร้ายกลับเป็นจริง”
เฉินเจียซิ่งได้ยินคำพูดของย่า ก็ตกใจจนต้องเอามือปิดปากไว้ “คุณย่า ผมไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น หงเสียรักผมที่สุด หล่อนจะไม่มีวันทิ้งผมไปหรอก”
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น หู่จื่อก็ฉวยโอกาสแอบขึ้นไปชั้นบนอย่างเงียบๆ
ในเวลานั้น ภายในห้องมีเงาร่างสองร่างกำลังกอดจูบกันอย่างแนบแน่น ชายหนุ่มหายใจหอบ จูบริมฝีปากแดงของเธอ พร้อมกับกระซิบคำหวานหู ส่วนหญิงสาวก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน เธอโอบรอบคอของเขา ตอบรับจูบของเขาอย่างเต็มใจ
ในขณะที่ศีรษะของเขาเริ่มเคลื่อนลงไปเรื่อยๆ จนซุกอยู่ที่หน้าอกของเธอ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หลินเซี่ยได้ยินเสียงหู่จือเรียกพวกเขาอยู่ข้างนอก เธอก็ค่อยๆ ผลักเขาเบาๆ “ลูกขึ้นมาแล้ว”
“ไม่ต้องสนใจ” เขาจูบริมฝีปากนุ่มนิ่มที่เขาคิดถึงทั้งวันทั้งคืน เสียงของเขาแหบพร่า
หู่จือเคาะประตูอีกครั้ง แล้วลองเรียกพ่อแม่อย่างระมัดระวัง เมื่อไม่มีใครตอบ เขาก็ไม่รบกวนอีก แล้วหันหลังเดินลงบันได
หลินเซี่ยไม่ได้ยินเสียงอะไรที่หน้าประตู แต่ก็ยังคงผลักเฉินเจียเหอต่อไป “ลุกขึ้นเถอะ เราลงไปดูลูกกัน กินอาหารเย็นเสร็จแล้วค่อยกลับไปที่ของเรา”
“กลับบ้านแล้วคุณจะได้ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่มีใครมารบกวน”
ประโยคสุดท้ายของหลินเซี่ยยั่วยวนชายที่อยู่บนตัวเธอ เขาจึงเงยหน้าขึ้นอย่างว่าง่าย “ตกลง”
ทั้งสองคนลุกขึ้นจากเตียง หลินเซี่ยหาเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดและกางเกงขายาวสีดำให้เขาเปลี่ยน “โชคดีที่เสื้อผ้าที่นี่ยังไม่ได้เอาไปหมด ไม่งั้นวันนี้คุณคงไม่มีอะไรใส่จริงๆ”
พอพูดจบ ก็เห็นเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยเดินลงมาจากชั้นบน
เฉินเจียซิ่งกระแอมเบาๆ กลบเกลื่อนแววขบขันในดวงตา แล้วทักทายพวกเขาว่า “พี่สะใภ้ ตื่นแล้วหรือ?”
“อืม”
เมื่อเห็นเฉินเจียเหอ เสี่ยวหู่ก็เดินเตาะแตะจะเข้าไปในอ้อมกอดของเขา เฉินเจียเหอรีบอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาทันที
“พ่อ แม่ เมื่อกี้ผมเคาะประตู พวกคุณได้ยินไหมครับ?” หู่จือวิ่งเข้ามาถามพวกเขา
หลินเซี่ยหัวเราะเบาๆ “ได้ยินแล้ว ลูกทำให้พวกเราตื่นน่ะ”
หลินเซี่ยรู้สึกเกรงใจเล็กน้อยต่อหน้าเด็กๆ เธอหันหลังหนีเหมือนกำลังหลบเลี่ยง “ฉันจะไปช่วยแม่ทำอาหาร”
แต่ผู้เฒ่าเฉินเรียกเธอไว้ “เซี่ยเซี่ย ให้เจียซิ่งไปเถอะ พวกเธอพักผ่อนกันก่อน”
เฉินเจียซิ่งได้ยินดังนั้น จึงชี้ที่ตัวเอง “ให้ผมไปเหรอ?”
“ทำไมล่ะ? เธอไม่ควรไปหรือไง?”
เฉินเจียซิ่งกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย จำใจต้องเดินเข้าไปในครัว
หยางหงเสียไม่อยู่ เขาอาศัยอยู่คนเดียวในช่วงเวลาที่เงียบเหงานี้ในบ้าน
ทุกวันเขาต้องช่วยทำอาหารให้คนแก่ ทำให้เขาคุ้นเคยกับงานในครัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หู่จือเอ๊ย เกือบมาเห็นฉากที่ไม่ควรเห็นของพ่อแม่ซะแล้ว ดีที่ปิดประตูไว้
ไหหม่า(海馬)