ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 970 กลัวว่าจะบังคับเขาให้มีลูก
ตอนที่ 970 กลัวว่าจะบังคับเขาให้มีลูก
“แต่ว่าเหล่าเจียงไม่มีลูกชายนี่” หวังซิ่วฟางพูดความคิดในใจของตัวเองออกมา “หากเขาไม่มีลูกชาย ก็จะไม่มีทายาทสืบสกุล ต่อไปพอเขาแก่ตัวแล้วต้องเสียใจแน่ๆ อีกอย่างคนเขาก็พูดกันว่าลูกคือโซ่ทองคล้องใจ ฉันกับเขาไม่มีลูกด้วยกัน ถ้าวันไหนความรักของเราจืดจางลงแล้วแยกทางกันไป ก็ไม่มีอะไรผูกมัด…”
แม้จะแต่งงานกับเจียงกั๋วเซิ่งมานานแล้ว แต่ในใจของหวังซิ่วฟางก็ยังไม่รู้สึกมั่นคงปลอดภัย
บางทีคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันตอนอายุมากแล้วก็เป็นแบบนี้ รู้สึกว่าทั้งสองคนแค่อยู่ด้วยกันไปวันๆ จึงกลัวความล้มเหลว และกลัวการถูกทอดทิ้ง
“ผู้จัดการโรงงานเจียงอายุเท่าไหร่แล้ว? เขาได้แต่งงานกับคุณถือว่าคุ้มแล้ว จะเป็นไปได้ยังไงที่จะแยกทางกับคุณ? เขามีจิตสำนึกสูงนะ ไม่ใช่คนที่ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาวหรอก ถ้าเขาคิดอย่างที่คุณพูดจริงๆ เขาก็คงแต่งงานใหม่เพื่อมีลูกชายไปนานแล้ว จะมาเลือกคุณได้ยังไง?”
หลินเซี่ยพยายามให้คำแนะนำแก่หวังซิ่วฟางอย่างจริงจัง “พี่ต้องเปิดใจให้กว้าง อย่าใช้ความคิดแบบเดิมๆ มองปัญหา ฉันเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านพนักงานโรงงานเครื่องจักร ฉันเข้าใจผู้จัดการเจียงมากกว่าพี่ เขาเป็นคนที่มีปัญญาและวิสัยทัศน์กว้างไกล ไม่ได้ล้าสมัยอย่างที่พี่คิด”
“พี่กับเขาเป็นสามีภรรยากัน ต่อไปลูกสาวทั้งสองคนก็จะมีชีวิตของตัวเอง เมื่อแก่ตัวลงพวกพี่ก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันเอง ต่อให้มีลูกชายก็เหมือนกัน ลูกชายก็ต้องจากพวกพี่ไป มีแค่พวกพี่สองคนนั่นแหละที่จะเป็นเพื่อนคู่ชีวิตยามแก่เฒ่า”
หลินเซี่ยหัวเราะ “พี่ยังสาวขนาดนี้ คนที่ควรไม่สบายใจน่าจะเป็นผู้จัดการเจียงมากกว่า ในเมื่อเขามั่นใจในความรักของพี่ แล้วพี่จะกลัวอะไรล่ะ?”
“นโยบายไม่อนุญาตให้พวกพี่มีลูกอีกคนหรอก ถ้าพวกพี่ฝ่าฝืนกฎ เขาก็อาจจะรักษาตำแหน่งผู้จัดการโรงงานไว้ไม่ได้ พี่ต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียให้ดี”
“อ้า ถ้าอย่างนั้นปัญหานี้ก็ไม่มีทางแก้แล้ว ฉันคงมีลูกไม่ได้อีกแล้ว” หวังซิ่วฟางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรม “น่าเสียดายมดลูกของฉันเหลือเกิน ยังอายุน้อยอยู่เลย แต่กลับไม่ได้ใช้งานอีกแล้ว”
หลินเซี่ย “….”
เธอไม่รู้จะปลอบใจหล่อนอย่างไรแล้ว
เจียงกั๋วเซิ่งไม่ยอมมีลูกด้วย ทำให้หวังซิ่วฟางไม่อาจมีลูกได้สมใจนึก หล่อนจึงได้แต่เศร้าหมองอยู่คนเดียว
ประเด็นสำคัญคือนโยบายในปัจจุบันเข้มงวดเกินไป เจียงกั๋วเซิ่งในฐานะผู้จัดการโรงงานเครื่องจักร แม้ไม่พูดถึงอายุ แต่ลำพังเขาแล้วก็ไม่มีทางทำอะไรที่ขัดต่อนโยบายอย่างแน่นอน
หลินเซี่ยมองดูผู้หญิงที่ดูหมดกำลังใจและไร้ชีวิตชีวาตรงหน้า เธอจึงต้องอดทนพูดต่อไปว่า “พี่ควรคิดในแง่บวกหน่อย ชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องลูกเป็นเรื่องใหญ่ คุณเลี้ยงดูเสี่ยวฮวาให้ดี ทำงานให้ดี ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่มีความกดดันก็ดีแล้ว ถ้าพี่มีลูกอีกคน คุณภาพชีวิตจะลดลงมาก ถึงตอนนั้นพี่จะต้องลำบากแน่”
หวังซิ่วฟางตอบว่า “ถ้าฉันมีลูกจริงๆ ฉันก็ยอมลำบาก เหนื่อยแต่ก็มีความสุข ดีกว่าตอนนี้ที่ในใจรู้สึกว่างเปล่า รู้สึกไม่มั่นคง”
“พี่ไม่ควรคิดถึงแต่ตัวเอง คุณต้องคิดถึงเสี่ยวฮวาด้วย หล่อนอายุแปดขวบแล้ว ตัวหล่อนเองก็ไปอยู่อีกครอบครัวหนึ่ง มีพ่อเลี้ยงใหม่ ในใจคงรู้สึกไม่สบายใจแน่ ถ้าพี่มีลูกอีกคน ครอบครัวพี่มีความสุขกันเอง แล้วเสี่ยวฮวาจะคิดยังไง? แล้วยังมีอวี่เฟยอีกคน หล่อนก็อยู่ในวัยแต่งงานแล้ว ถ้าหล่อนจู่ๆ มีน้องชายหรือน้องสาว พี่คิดว่าหล่อนจะรู้สึกอึดอัดไหม?”
เหมือนกับตัวเธอเอง ถ้าพูดถึงอายุพ่อแม่ของเธอ พวกเขาก็ไม่ได้แก่มาก โดยเฉพาะแม่ของเธอที่มีอายุแค่สี่สิบปี ถ้าอยากมีลูกก็ยังมีลูกได้
พ่อของเธอก็ไม่มีลูกชาย แต่พวกเขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลย
แน่นอนว่าหวังซิ่วฟางยังสาว มีพลัง การที่อยากมีลูกอีกคนก็เข้าใจได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหล่อนเป็นคนที่มีแนวคิดค่อนข้างอนุรักษ์นิยม
หล่อนต้องการใช้ลูกชายมาเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิตสมรสของตนกับเจียงกั๋วเซิ่ง
“เซี่ยเซี่ย เธอพูดถูกแล้ว” ทันทีที่หลินเซี่ยพูดถึงเสี่ยวฮวา สีหน้าของหวังซิ่วฟาง ก็ผ่อนคลายลงทันที หล่อนเงียบไปสักครู่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกป้าเพื่อนบ้านในหมู่บ้านของเราแนะนำให้ฉันรีบมีลูกชายอีกคนเพื่อผูกใจเหล่าเจียงไว้นี่แหละ ฉันคิดว่าคำพูดของป้าหวังมีเหตุผลมากนะ”
พอได้ยินว่าเป็นความคิดของป้าหวัง หลินเซี่ยก็กลอกตาแล้วพูดว่า
“คำพูดของป้าหวังพี่แค่รับฟังไว้ก็พอ พี่ไม่รู้หรอกว่าหล่อนเป็นคนแบบไหน? วันทั้งวันเอาแต่ให้คำแนะนำคนนั้นคนนี้ ขณะที่ตัวเองก็ทะเลาะกับลูกสะใภ้ทุกวัน วุ่นวายไปหมด แต่ก่อนยังพยายามยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับแม่สามีอีก พี่อย่าได้ไปเชื่อคำพูดหล่อนเป็นจริงเป็นจังนักเลย”
“ไปกันเถอะ พวกเราออกไปดูพวกเขากัน”
หลินเซี่ยตั้งใจจะทำอาหารให้พวกเขา แต่เจียงกั๋วเซิ่งบอกว่ายังเร็วเกินไปสำหรับอาหารเย็น ไม่ให้เธอวุ่นวาย
เจียงกั๋วเซิ่งกระพริบตาเบาๆ แล้วหันไปพูดกับหวังซิ่วฟางว่า “ซิ่วฟาง คุณไม่ได้บอกหรอกหรือว่านานแล้วที่ไม่ได้เจอพี่หลิวจากโรงงานของพวกคุณ ไปเยี่ยมหล่อนสิ ผมจะคุยกับเสี่ยวเฉินสักหน่อยเป็นการรอคุณ”
เมื่อเจียงกั๋วเซิ่งเตือน หวังซิ่วฟางก็ตบหน้าผากตัวเอง “จริงด้วย พี่หลิวเกษียณก่อนกำหนด ฉันไม่ได้เจอเธอมาเกือบเดือนกว่าแล้ว”
หวังซิ่วฟางยังหยิบของขวัญอีกชิ้นมาให้พี่หลิวเป็นพิเศษ
หล่อนหันไปพูดกับหลินเซี่ยว่า
“เซี่ยเซี่ย ไปหาพี่หลิวกับฉันนะ”
หลินเซี่ยกำลังจะตอบ แต่เจียงกั๋วเซิ่งพูดขึ้นมาก่อน “คุณไปเองเถอะ เซี่ยเซี่ยกำลังดูแลลูกอยู่ ถ้าอุ้มลูกไปด้วยจะวุ่นวาย พวกคุณก็คงคุยกันไม่ได้”
หลินเซี่ยนึกขึ้นได้บางอย่าง รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ใช่แล้ว พี่สาวหวัง คุณไปเถอะ ไปคุยกับพี่สาวหลิวสิ ฉันจะดูแลลูกเอง”
“ได้” หวังซิ่วฟางตอบรับแล้วเดินออกไป พอหวังซิ่วฟางออกไปแล้ว เจียงกั๋วเซิ่งก็หันมามองหลินเซี่ย กระแอมเบาๆ ด้วยท่าทางอึดอัด “เซี่ยเซี่ย เมื่อกี้ซิ่วฟางคุยอะไรกับเธอหรือ หล่อนบอกว่าอยากมีลูกอีกคนใช่ไหม”
หลินเซี่ยยิ้ม “ใช่ค่ะ”
“แล้วหล่อนพูดว่ายังไง? หล่อนได้พยายามเกลี้ยกล่อมเธอหรือเปล่า?” เจียงกั๋วเซิ่งมีสีหน้าจนปัญญา มองหลินเซี่ยอย่างวิงวอน “เซี่ยเซี่ย เธอต้องพยายามเกลี้ยกล่อมหล่อนให้ดีๆ ให้หล่อนล้มเลิกความคิดนี้ สถานการณ์ของพวกเราตอนนี้จะมีลูกได้ยังไง? ฉันอายุปูนนี้แล้ว พูดออกไปฉันยังรู้สึกอายเลย”
เจียงกั๋วเซิ่งเองก็รู้สึกเหนื่อยใจกับเรื่องนี้มาก “ฉันเป็นผู้บริหารระดับสูงของโรงงานเครื่องจักร ถ้าฉันเป็นคนแรกที่ละเมิดกฎ งานของฉันก็คงจบแค่นี้ ถ้าเสียงานไป ต่อให้มีลูกแล้ว จะเอาอะไรมาเลี้ยงดู? ฉันอายุขนาดนี้แล้วก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามจริงๆ ที่สำคัญคือฉันก็ไม่อยากได้ลูกชายด้วย ถ้าฉันมีความคิดล้าสมัยขนาดนั้นจริงๆ ตอนที่อวี่เฟยยังเล็ก ฉันก็คงแต่งงานใหม่เพื่อมีลูกชายไปแล้ว จะมารอจนถึงตอนนี้ทำไม?”
คำพูดของเขาเหมือนกับที่หลินเซี่ยวิเคราะห์ให้หวังซิ่วฟางฟังไม่มีผิด
หลินเซี่ยยิ้มแล้วพูดว่า
“ลุงเจียง ฉันเข้าใจนิสัยของคุณ คุณไม่ใช่คนที่ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาว แต่คุณต้องอธิบายความคิดของคุณให้พี่หวังฟังอย่างใจเย็น ให้ความรู้สึกมั่นคงกับหล่อนให้มากพอ ทำให้หล่อนหายกังวล ฉันคิดว่าคนอย่างหล่อนแค่รู้สึกไม่มั่นใจ กลัวว่าถ้าไม่มีลูกที่เกิดจากคุณทั้งสองเป็นสายสัมพันธ์ กลัวว่าถ้าภายหลังมีความขัดแย้งกันแล้วจะแยกจากกันไป”
เจียงกั๋วเซิ่งเช็ดหน้าแล้วอธิบายว่า “ฉันบอกหล่อนหลายครั้งแล้วว่าอย่ากังวลแบบนี้ ฉันอายุสี่สิบกว่าแล้ว ไม่มีทางที่จะมีใจให้คนอื่น พออวี่เฟยแต่งงานออกไปมีชีวิตของตัวเอง หล่อนก็จะเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดในชีวิตของฉัน ตราบใดที่หล่อนไม่รังเกียจ เราสองคนก็จะคอยช่วยเหลือกันไปจนแก่เฒ่า มันก็แค่เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง แต่หล่อนกลับคิดไม่ตก”
“ฉันว่าหล่อนแค่อยากได้ลูกชายน่ะ” เจียงกั๋วเซิ่งถอนหายใจ “ลูกชายมันดีตรงไหน ซุกซนจนควบคุมไม่ได้ โตขึ้นมาก็ต้องคอยจัดการแต่งงานให้ คิดแล้วก็ปวดหัว”
พูดจบ เจียงกั๋วเซิ่งก็เห็นเสี่ยวหู่ในอ้อมแขนของหลินเซี่ยกำลังมองเขาด้วยสายตาไร้เดียงสา
เขาตระหนักว่าตัวเองพูดผิดไป จึงกระแอมเบาๆ แล้วอธิบายอย่างเก้อเขิน “ฉันไม่ได้หมายความว่าลูกชายไม่ดีนะ แต่ด้วยอายุของฉันตอนนี้คงไม่มีพลังพอแล้ว ถ้ามีลูกตอนนี้ก็เหมือนปู่เลี้ยงหลาน เด็กวิ่งพล่านทีฉันก็ไล่ไม่ทัน”
“ลุงเจียง นับว่าคุณยังมีสติรู้ตัวจริงๆ ค่ะ” หลินเซี่ยเห็นด้วยกับคำพูดของเจียงกั๋วเซิ่งอย่างสุดหัวใจ
การมีลูกเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำด้วยความตื่นเต้นชั่วขณะหรือด้วยอารมณ์ชั่ววูบเด็ดขาด
ต้องพิจารณาวางแผนเส้นทางชีวิตในอีกหลายสิบปีข้างหน้าให้ดี ดูว่าตัวเองมีความสามารถที่จะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งได้จริงๆ หรือไม่
ไม่ใช่แค่รับผิดชอบต่อลูกเท่านั้น แต่ยังเป็นการรับผิดชอบต่อตัวเองด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อย่าบ้าจี้มีลูกตามคำยุของป้าข้างบ้านเชียว เขาดีแต่ให้คำแนะนำแต่ไม่ได้มาเลี้ยงลูกกับเราหรอกพี่สาวหวัง กี่รายแล้วล่ะที่บ้าจี้มีลูกตามคำยุคนอื่น สุดท้ายคนที่ทุกข์กับการเลี้ยงลูกก็เป็นตัวเอง
ไหหม่า(海馬)