ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 972 สไตลิสต์ที่ยากจะแยกแยะเพศ
ตอนที่ 972 สไตลิสต์ที่ยากจะแยกแยะเพศ
ในช่วงไม่กี่วันต่อมา เฉินเจียเหอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างนอกเพื่อรับมือกับการพบปะผู้นำต่างๆ และรายงานถึงความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญในกระบวนการวิจัยและพัฒนารถไฟ รวมถึงความสำเร็จที่ได้รับ
จากนั้น ก็มีเพื่อนร่วมอาชีพจากโรงงานยานยนต์อื่นๆ ภายในประเทศเดินทางมายังโรงงานยานยนต์เมืองไห่เฉิงเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับพวกเขา และเตรียมความพร้อมสำหรับโครงการเพิ่มความเร็วรถไฟอย่างครอบคลุม
นอกจากนี้ ยังมีผู้นำจากฝ่ายรถไฟมาร่วมศึกษาเส้นทางรถไฟที่เหมาะสมกับรถไฟด่วนพิเศษรุ่นใหม่
ปัจจุบัน เส้นทางรถไฟหลักภายในประเทศยังค่อนข้างล้าหลัง แม้จะพัฒนารถไฟด่วนพิเศษได้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกเส้นทางรถไฟหลัก หากต้องการเพิ่มความเร็วอย่างครอบคลุม ยังมีภาระหน้าที่อีกมากและหนทางอีกยาวไกล
หลินเซี่ยรู้สึกว่าเฉินเจียเหอยุ่งเหมือนกับช่วงก่อนที่รถไฟจะเปิดให้บริการ
เขาออกจากบ้านแต่เช้าและกลับดึก ในช่วงสองวันแรกที่เขากลับมาเธอยังได้กลิ่นเหล้าจากตัวเขาด้วย
เขาบอกว่าหลังเสร็จสิ้นการต้อนรับผู้บริหารและคุยเรื่องงานกับเพื่อนร่วมอาชีพแล้ว เขาก็ไม่ได้ดื่มเหล้าอีกเลย
ส่วนหลินเซี่ยเองก็ยุ่งมากเช่นกันในช่วงนี้ อาคารเรียนของโรงเรียนสร้างเสร็จหมดแล้ว ประตู หน้าต่าง โต๊ะ และเก้าอี้ก็พร้อมหมดแล้ว
ด้วยความช่วยเหลือของเฉินเจิ้นเจียง ขั้นตอนทั้งหมดก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว
หลินเซี่ยทำการทดสอบช่างแต่งหน้าทำผมที่มาสมัครงานในร้านเช่าชุดแต่งงาน
เนื่องจากเธอได้เขียนไว้อย่างชัดเจนในประกาศรับสมัครงานว่าต้องการผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานสองปี ดังนั้นผู้ที่มาสัมภาษณ์ส่วนใหญ่จึงเป็นช่างแต่งหน้าและทำผมที่มีประสบการณ์สูง
นอกจากนี้ยังมีคนรู้จักแนะนำมา ทำให้ความสามารถในการทำงานของพวกเขาค่อนข้างดี หลินเซี่ยจึงยืมพนักงานบริการมาจากห้องเต้นรำของเซี่ยไห่เพื่อมาเป็นนางแบบ
เธอขอให้หลินจินซานพาผู้หญิงและผู้ชายมาด้วยกันสองสามคน
หลินจินซานบอกว่าพวกผู้ชายในห้องเต้นรำของพวกเขาพอได้ยินว่าต้องเป็นนายแบบให้แต่งหน้า ทุกคนก็ค่อนข้างต่อต้าน ทำให้เขาลากสองคนมาอย่างยากลำบาก แล้วก็อาสาใส่ตัวเองเข้าไปด้วย นับรวมเป็นหนึ่งคน
เซี่ยไห่และลินดาทำหน้าที่เป็นกรรมการเช่นเดียวกัน
หลังจากการสัมภาษณ์รอบแรก พวกเขาก็คัดออกไปหลายคน เหลือสี่คนที่พวกเขาค่อนข้างพอใจ
ช่างแต่งหน้าเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านเทคนิคการแต่งหน้าและการออกแบบเครื่องแต่งกาย พวกเขามีความไวต่อแฟชั่นอย่างมาก หลังคุยกับพวกเขาแล้วก็รู้สึกได้ว่าทุกคนเป็นช่างแต่งหน้าและสไตลิสต์มืออาชีพ
หลังจากจบการสัมภาษณ์ หลินเซี่ยตั้งใจจะตัดสินใจทันที แต่เซี่ยไห่กระแอมเบาๆ แล้วยิ้มอย่างสุภาพมองไปยังทุกคน บอกให้พวกเขากลับไปรอฟังข่าว โดยบอกว่าคณะกรรมการจะปรึกษากันก่อน แล้วพรุ่งนี้จะโทรศัพท์แจ้งผลให้ทุกคนทราบเป็นรายบุคคล
ช่างแต่งหน้าหลายคนที่มาสมัครงานได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ต่างมีสีหน้าผิดหวังและกังวลอยู่บ้าง
ทั้งๆ ที่การสัมภาษณ์ประสบความสำเร็จอย่างดี แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมกรรมการต้องปรึกษากันอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจ
หลินเซี่ยไม่เข้าใจว่าท่าทีของอารองหมายความว่าอย่างไร จึงคาดเดาว่าอารองคงจะไม่ค่อยพอใจช่างแต่งหน้าบางคนในกลุ่มนี้
ในตอนนี้เธอไม่อาจถามรายละเอียดได้มากนัก แต่เมื่อคิดอีกที เรื่องนี้ก็ควรจะตัดสินใจอย่างรอบคอบและระมัดระวังจริงๆ
เธอยิ้มแล้วเอ่ยปาก “ทุกคนกลับไปก่อนนะคะ ฉันจะสรุปข้อมูลก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าจะโทรหาทุกคน”
หลังจากส่งช่างแต่งหน้าหลายคนกลับไปแล้ว หลินเซี่ยให้หลินจินซานพาเพื่อนร่วมงานในห้องเต้นรำไปล้างเครื่องสำอาง จากนั้นให้พวกเขาไปรับประทานอาหาร โดยเธอเป็นเจ้ามือเลี้ยง
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว เธอก็เริ่มปรึกษาเรื่องการจ้างงานกับเซี่ยไห่และลินดา
“อารอง คุณคิดเห็นอย่างไรคะ?” หลินเซี่ยมองไปทางเซี่ยไห่ เพื่อขอความคิดเห็นจากเขา
คนอื่นๆ ไม่มีปัญหาอะไร พวกเขามีทักษะการแต่งหน้าที่ดีและมีใบรับรองคุณสมบัติที่เกี่ยวข้อง การรับพวกเขาเข้ามาเป็นครูสอนภาคปฏิบัติไม่มีปัญหาอะไรเลย
จุดที่มีข้อถกเถียงกันก็คือช่างแต่งหน้าชายคนนั้น
เซี่ยไห่มีสีหน้าเคร่งขรึม “ฉันคิดว่าสไตลิสต์ชายที่ชื่อว่าไมเรย์คนนั้นดูไม่เหมาะสม”
“มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ?” ลินดาพูด “คุณไม่เห็นหรือว่าการแต่งหน้าที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมานั้นน่าทึ่งที่สุด”
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด” เซี่ยไห่มีท่าทีแข็งกร้าวมาก “พวกคุณดูบุคลิกของเขาสิ เขาจะเป็นแบบอย่างให้คนอื่นได้อย่างไร?”
ลินดาขมวดคิ้ว โต้แย้งว่า “คุณอย่าตัดสินคนแค่รูปลักษณ์ภายนอกสิ คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าเขาเป็นช่างแต่งหน้าที่มีเทคนิคดีที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า ทรงผม หรือการจับคู่เสื้อผ้า ผลงานของเขามีเอกลักษณ์มาก ในทางกลับกัน ผลงานช่างแต่งหน้าคนอื่นๆ ล้วนดูธรรมดาทั่วไป การแต่งหน้าไม่มีจุดเด่นอะไรมากนัก”
แน่นอนว่าพวกเขาก็มองออก ช่างแต่งหน้าผู้หญิงคนอื่นๆ ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ระมัดระวัง อาจจะเป็นเพราะไม่รู้ว่าพวกเขาชอบดูอะไร จึงไม่ได้ปล่อยของเต็มที่
“การแต่งหน้าดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรากำลังรับสมัครครูให้โรงเรียน ไม่ใช่รับช่างแต่งหน้าให้ร้าน หรือรับสไตลิสต์ให้กองถ่ายของพวกคุณ พูดให้ชัดๆ คือเขาดูตุ้งติ้งออกสาว ดูไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง คนแบบนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะอยู่ในตำแหน่งครู มันส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์”
“แล้วมันจะมีผลกระทบอะไรล่ะ? ฉันว่าคุณนี่ช่างอนุรักษ์นิยมและล้าสมัยเหลือเกิน ฉันไม่คิดว่าความคิดของคุณจะคร่ำครึขนาดนี้ เดี๋ยวนี้มันยุคอะไรแล้ว ทุกอย่างเปิดกว้างไปหมดแล้ว คุณลองออกไปดูข้างนอกสิ ไปดูต่างประเทศบ้าง ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นชุดการแสดงบนเวทีหรือลุคของนักแสดงตอนถ่ายทำก็ล้วนแต่เปิดเผย ทันสมัย และกล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ อย่ามองปัญหาด้วยสายตาเก่าๆ อยู่เลย พวกเราต้องก้าวทันยุคสมัย และอย่าไปตัดสินนี่นั่นกับรูปลักษณ์ภายนอกของคนอื่นด้วย ต้องรู้จักเคารพความงามที่หลากหลาย”
หลินเซี่ยนั่งอยู่ข้างๆ เห็นด้วยกับคำพูดของลินดาอย่างมาก จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ยุค 90 โดยเฉพาะดาราทางฝั่งฮ่องกง เสื้อผ้าการแสดงบนเวทีของพวกเขาเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ การแต่งหน้าและทรงผมก็ดูเกินจริงและกล้าหาญมาก
เมื่อไม่กี่วันก่อน มีรายการวาไรตี้รายการหนึ่ง นักแสดงหญิงใส่ชุดเดรสสายเดี่ยวเซ็กซี่ ซึ่งเธออาจจะไม่กล้าใส่ออกมาจากบ้านด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพยนตร์บางเรื่องที่ถ่ายทำในตอนนี้รวมถึงบทพูดบางอย่าง ในอนาคตอาจจะไม่ผ่านการตรวจสอบเลยด้วยซ้ำ
ยุคนี้เป็นช่วงเวลาที่ศิลปะกำลังเบ่งบานอย่างหลากหลายจริงๆ
เป็นเพราะไม่มีข้อจำกัดมากเกินไป จึงสามารถสร้างสรรค์ตัวละครที่เป็นตำนานได้มากมาย
แต่ในขณะเดียวกัน หลินเซี่ยก็รู้สึกว่าสิ่งที่อารองคิดก็ไม่ได้ไร้เหตุผล
เซี่ยไห่พูดไม่ออกเมื่อเจอลินดา แน่นอนว่าเขาก็ไม่อยากให้ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเขากับลินดา
ความสัมพันธ์ของพวกเขาช่วงนี้กำลังหวานชื่น และได้วางแผนเรื่องการจดทะเบียนสมรสไว้ในตารางเวลาแล้ว เซี่ยไห่จึงกลัวมากว่าจะเกิดความขัดแย้งกับลินดาเพราะความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของโรงเรียนคือหลินเซี่ย และผู้อำนวยการก็คือหลินเซี่ย ปัญหานี้ควรจะโยนให้เธอ
ลินดาก็มองไปที่หลินเซี่ย หวังว่าเธอจะเป็นคนตัดสินใจ
สายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองคนช่างมีแรงกดดัน ทำให้ร่างเล็กของหลินเซี่ยสั่นไปหมด
ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นคนที่ไม่มีใครกล้าสร้างความขุ่นเคืองให้ และประเด็นสำคัญคือทั้งสองคนพูดจามีเหตุผล
เซี่ยไห่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของโรงเรียน ไม่อยากให้บุคลิกแปลกๆ ของครูทำให้นักเรียนและผู้ปกครองตกใจ ส่วนลินดาค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง หล่อนให้ความสำคัญกับความสามารถทางวิชาการของไมเรย์ คิดว่าไม่ควรตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก
หลินเซี่ยมองสบตาทั้งสองคน แล้วหัวเราะแห้งๆ “อารอง อาสะใภ้รองอย่ามองผมแบบนั้นสิคะ ฉันกลัวแล้ว”
เซี่ยไห่แค่นเสียงเบาๆ “พอเถอะ เธอเคยกลัวคนอื่นกับเขาด้วยหรือ รีบตัดสินใจเร็วเข้า”
หลินเซี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างจริงจัง “ฉันคิดว่าที่คุณทั้งสองพูดมาล้วนมีเหตุผล แต่สำหรับสถานการณ์ของโรงเรียนเราในตอนนี้ เพื่อความปลอดภัยและระมัดระวัง ไมเรย์อาจจะไม่เหมาะสมที่จะสอนในโรงเรียนของเราจริงๆ”
ลินดาได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย สีหน้าหล่อนก็เคร่งเครียดเล็กน้อย
หลินเซี่ยพูดต่อไปว่า “แต่ความสามารถของเขาก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน การละทิ้งคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ไป จริงๆ แล้วเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ดังนั้นการตัดสินใจของฉันคือ…”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขอให้เซี่ยเซี่ยเลือกไว้เถอะค่ะ คนฝีมือแบบนี้หายากมากนะ การรับสมัครครูก็เพื่อรับคนที่มีความสามารถมาทำงานไม่ใช่เหรอ
ไหหม่า(海馬)