ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 973 การตัดสินใจของหลินเซี่ย
ตอนที่ 973 การตัดสินใจของหลินเซี่ย
เซี่ยไห่และลินดาต่างมองเธอด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น…
หลินเซี่ยไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องลุ้น เธอเผยความคิดของตัวเองออกมา “ฉันอยากจัดหางานอื่นให้เขา รอให้ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เมื่อการดำเนินงานด้านต่างๆ ของโรงเรียนเราเข้าที่เข้าทาง นักเรียนที่เรารับเข้ามาได้เข้าใจถึงคุณภาพของคณาจารย์และโอกาสในการทำงานในอนาคต รวมถึงทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติแล้ว ค่อยเชิญไมเรย์กลับมา”
ลินดาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถามว่า “แล้วตอนนี้เธอวางแผนจะให้งานอะไรเขา เธอคิดว่าเขาจะยอมรับไหม?”
หลินเซี่ยเดินเข้าไปหาลินดา กอดแขนหล่อนไว้ พูดด้วยน้ำเสียงประจบ “อาสะใภ้รองที่รักของฉัน เรื่องนี้ต้องพึ่งอาแล้วล่ะ”
ลินดา “!!!”
หลินเซี่ยพิงตัวเข้าหาหล่อนและอธิบายอย่างออดอ้อนว่า “ถ้าฉันบอกว่าจะชวนไมเรย์มาทำงานที่ร้านเช่าชุดแต่งงานของพวกเรา เทพผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาคงไม่ยอมหรอก เขาเคยไปศึกษาเพิ่มเติมที่เซี่ยงไฮ้มาแล้วนะ
ดังนั้นฉันกำลังคิดว่า กองถ่ายที่อาหญิงของฉันกำลังถ่ายทำอยู่ตอนนี้ต้องการช่างแต่งหน้าทำผมหรือเปล่า หรือกองถ่ายอื่นๆ หรือสถานีโทรทัศน์ก็ได้ อาสะใภ้รองช่วยใช้เครือข่ายความสัมพันธ์อันทรงพลังของตัวเองแนะนำเขาในวงการหน่อยนะคะ เขาเคยไปศึกษาเพิ่มเติมที่เซี่ยงไฮ้มาแล้ว ประสบการณ์การทำงานทุกด้านไม่มีปัญหาเลย ใครที่สามารถดึงตัวเขาไปได้ก็จะได้กำไรแน่นอน พวกเราต้องรักษาคนมีความสามารถคนนี้ไว้ในเครือข่ายความสัมพันธ์ของเราให้ได้”
ถ้าไม่พูดถึงรูปลักษณ์ภายนอกและบุคลิกของไมเรย์ การแสดงออกของเขาวันนี้ก็น่าประทับใจจริงๆ
การแต่งหน้า ทรงผม และการจับคู่เสื้อผ้า ทำให้คนตาลุกวาว
เป็นคนที่กล้าหาญมาก กล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆ
ลินดากลับยืนกอดอกอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร
หลินเซี่ยขยิบตาส่งสัญญาณให้เซี่ยไห่ ให้เขาพูดอะไรสักสองสามคำ
เซี่ยไห่ยิ้มแล้วเอ่ยปาก “ที่รัก คุณก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเซี่ยเซี่ย ใช่ไหม?”
ลินดาเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปที่ลุงหลานทั้งสอง “ให้เขาเป็นครูโดยตรงไม่ได้หรือ? ทำไมพวกคุณถึงสนใจรูปลักษณ์ภายนอกของคนมากขนาดนี้?”
หลินเซี่ยถอนหายใจ “อาสะใภ้รอง ไม่ใช่ว่าพวกเราสนใจหรอก พวกเราแน่นอนว่าไม่มีการเลือกปฏิบัติหรืออคติใดๆ ตรงกันข้าม ฉันชื่นชมเขามากที่เขากล้าเป็นตัวของตัวเอง แต่ฉันต้องคำนึงถึงภาพรวม ถ้านักเรียนไม่ยอมรับล่ะ? ถ้าผู้ปกครองนักเรียนไม่ยอมรับ พาลูกมาสมัครเรียนแล้วเห็นว่าคณาจารย์ของเราให้ความรู้สึกไม่เหมาะสม แล้วถูกห้ามปรามไม่ให้มาเรียนจะทำอย่างไร? เหมือนที่อารองพูดไว้ว่าโรงเรียนเพิ่งเปิด ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับมือกับการตรวจสอบดูแลจากผู้บริหารระดับสูง ฉันมีปัญหาที่ต้องพิจารณามากมายเหลือเกิน”
“ได้ งั้นฉันก็ช่วยแนะนำงานอื่นให้เขาได้ แค่กลัวว่าเขาจะไม่ยอมรับเท่านั้นเอง”
ลินดาขมวดคิ้ว “ถ้าเขารู้ว่าเราไม่รับเขาเข้าทำงานเพราะเหตุผลด้านรูปลักษณ์ภายนอก เธอคิดว่าคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองขนาดนั้นอย่างเขาจะรู้สึกอย่างไร? เขาต้องการให้เราแนะนำงานอื่นให้เขาด้วยหรือ?”
เซี่ยไห่อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง “ดูสิ คุณนี่ช่างตรงไปตรงมาจริงๆ ใครจะโง่พอที่จะบอกความจริงกับเขาล่ะ?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “โอ้ พอคนเข้ามาเราก็บอกเขาตรงๆ เลยว่า ‘คุณดูแต๋วเกินไป ไม่เหมาะที่จะเป็นครู ฉันจะแนะนำงานอื่นให้คุณแทน รอให้นักเรียนยอมรับคุณได้แล้วค่อยให้คุณกลับมา’ นั่นมันไม่โง่ไปหน่อยเหรอ? คนเขาจะยอมรับความช่วยเหลือของเราหรือ? ไม่ด่าเราสักคำก็แปลกแล้ว”
เซี่ยไห่พูดว่า “เราต้องให้เกียรติเขา ยกสถานะของเขาให้สูงขึ้น และยืนยันความสามารถของเขาอย่างเต็มที่”
เขาลูบคางคิดหาวิธี
“งั้นบอกเขาไปว่ายังเหลือเวลาอีกเดือนกว่าก่อนจะเปิดเทอม กองถ่ายของพวกคุณกำลังต้องการช่างแต่งหน้าที่มีประสบการณ์มาช่วยด่วน และอยากจ้างเขาด้วยเงินเดือนสูง”
“ถึงตอนนั้นเซี่ยเซี่ยก็จะแสดงตามบทด้วย โดยบอกว่าจำใจยอมให้ไมเรย์ไป แต่ในช่วงหลังจะต้องปล่อยตัวกลับมาแน่นอน พวกเธอทั้งสองคนก็ถือโอกาสโต้เถียงกันสักหน่อย”
“ให้เกียรติเขาอย่างเต็มที่ เรื่องนี้ก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบไม่ใช่หรือ?”
หลินเซี่ยฟังคำพูดของเซี่ยไห่จบ ก็ชูนิ้วโป้งให้เขาเช่นกัน “อารอง แผนของคุณดีมากเลย”
ลินดาดูเหมือนจะเห็นด้วยกับความคิดของเซี่ยไห่เช่นกัน สีหน้าของหล่อนผ่อนคลายลงบ้างแล้ว “งั้นก็ทำตามที่อารองเธอพูดแล้วกัน ดูซิว่าเขาจะยอมรับหรือเปล่า”
เซี่ยไห่หัวเราะพลางพูดว่า “ถ้าเขาไม่ยอมรับ เขาก็จะพลาดโอกาสในการทำงานสองงานเลยนะ”
จริงๆ แล้วหลินเซี่ยเองก็ชื่นชมไมเรย์มาก ในชาติก่อนเธอก็อยู่ในวงการนี้เหมือนกัน และเพื่อนร่วมงานของเธอหลายคนก็มีสไตล์แบบไมเรย์
แม้ว่าการแต่งตัวของพวกเขาอาจจะเอนเอียงไปทางเพศกลางมากกว่า แต่ต้องยอมรับว่าความสามารถในการทำงานของพวกเขานั้นไม่มีที่ติเลย
สไตลิสต์ชื่อดังหลายคนอาจจะดูแปลกไปหน่อยในบางคราว แต่พวกเขาก็มีความคิดที่หลากหลายมากกว่า และกล้าที่จะทดลองทำการแต่งหน้าทำผมในรูปแบบต่างๆ มากมาย
ซึ่งแฟชั่นที่อยู่ในกระแสนิยมต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่คนเหล่านี้สร้างขึ้นมา
วันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยโทรหาลินดาแต่เช้าตรู่ หวังว่าหล่อนจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่โดยไม่ทำร้ายความภาคภูมิใจของไมเรย์ และยังสามารถรักษาคนมีความสามารถคนนี้ไว้ได้
แม้ว่าลินดาจะเห็นด้วยกับความคิดของเซี่ยไห่ แต่หล่อนก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นการทำอะไรที่เกินความจำเป็น
ตามความคิดของหล่อน พวกเขาควรจะรับไมเรย์เข้าทำงานโดยตรง ให้เขาเป็นครูสอนในโรงเรียนสอนเทคนิคความงามและการแต่งผม
หล่อนคิดว่าการที่สไตลิสต์ระดับไมเรย์มาเป็นครูในโรงเรียนเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดใหม่และอนาคตยังไม่แน่นอนแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการเสียของแล้ว
พวกเขาจะมาเลือกมากอะไรได้อีก
หลินเซี่ยพูดทางโทรศัพท์ พยายามโน้มน้าวความคิดลินดาอีกครั้ง “อาสะใภ้รองที่รักของฉัน คุณก็พูดอยู่ว่าโรงเรียนของเรายังเล็ก อนาคตยังไม่แน่นอน พวกเรายังคงต้องคลำหาทางไปทีละก้าว ดังนั้นเราควรระมัดระวังให้มากขึ้น ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ฉันไม่กล้าเสี่ยงจริงๆ เมื่อฉันได้ก่อตั้งโรงเรียนนี้และกลายเป็นครูใหญ่ ฉันต้องคำนึงถึงภาพรวมเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ฉันไม่มีทุนรอนใดๆ ที่จะเลือกทำตามใจชอบได้ ฉันต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง และสังคม ขอให้เราทำให้ทุกอย่างมั่นคงก่อนแล้วค่อยว่ากันได้ไหมคะ?”
ถ้าย้อนเวลากลับไปสิบปี เธอคงไม่ลังเลขนาดนี้
หลินเซี่ยพูดด้วยความจริงใจ ลินดาก็รู้สึกซาบซึ้ง และเข้าใจความลำบากใจของหลินเซี่ยอย่างแท้จริง หล่อนตอบรับว่า “ได้ ฉันจะทำตามที่เธอว่า เดี๋ยวฉันจะไปที่นั่น”
หลินเซี่ยโทรศัพท์ไปบอกผลการรับสมัครโดยตรงกับช่างแต่งหน้าคนอื่นๆ ที่มาสมัคร
และเชิญพวกเขาไปเยี่ยมชมโรงเรียนพร้อมกันในอีกสามวันข้างหน้า
เธอแจ้งเพียงไมเรย์คนเดียวว่าอยากให้เขากลับมาอีกครั้ง
ไมเรย์สุภาพและมีมารยาทมาก เขาไม่ได้ถามอะไรทางโทรศัพท์ เพียงแค่ตอบรับว่าเขาจะมาถึงในอีกหนึ่งชั่วโมง
หลินเซี่ยและหลินเซี่ยยังคงค่อนข้างตื่นเต้นในระหว่างการรอคอย
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ในยุคนั้นการเป็น LGBTQ หรือกระทั่งชายหญิงที่มีลักษณะบุคลิกไม่ตรงกับมาตรฐานเพศสภาพของสังคมมันคงเป็นเรื่องยากกว่าสมัยนี้มาก ก็ถือว่าเซี่ยเซี่ยใจกว้างมากแล้วที่มองฝีมือเหนือเพศสภาพของผู้สมัคร
ไหหม่า(海馬)
………………..